ปวดเหตุเส้นประสาทต้นคอ ทำไงดี รักษายังไงให้ได้ผล

         หลายคนคงเคยมีอาการปวดจี๊ดๆ ปวดแปล๊บๆ ที่บริเวณต้นคอ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้มีทีท่าว่าจะมีอาการดังกล่าว เช่น ไม่เคยออกกำลังหนักๆ ไม่ได้เป็นมนุษย์ออฟฟิศนั่งหน้าคอมนานๆ หรือไม่ได้เกิดอุบัติเหตุใดๆเลยบริเวณต้น แต่อาการปวดเหมือนเข็มทิ่ม เหมือนมีแมลงมากัดต่อย ก็ยังมากลัวใจอยู่เรื่อยๆ เป็นๆหายๆ พอไปหาหมอบางครั้งก็ได้โรคใหม่ๆ เช่น ไมเกรน กล้ามเนื้ออักเสบ เส้นประสาทอักเสบ เป็นต้น ซึ่งจริงๆแล้ว อาการผิดปกติเหล่านี้เรียกกว่า “ปวดเหตุเส้นประสาทต้นคอ” ถ้ายังสงสัยว่ามันคืออะไร บทความนี้มีคำตอบ

        


ปวดเหตุเส้นประสาทต้นคอ คืออะไร

         ข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลและแพทย์ ในเว็บไซต์หาหมอ.คอม ระบุไว้ว่าโรคปวดเหตุเส้นประสาทคอ (Cervical radiculopathy) เกิดจากเส้นประสาทบริเวณคอ (Cervical nerve) คือ เส้นที่ 4,5,6,7 ถูกกดทับจากกระดูกคอเสื่อม หรือจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับรากหรือทับเส้นประสาท ผู้ป่วยจะมีอาการปวดเวลาเคลื่อนไหวต้นคอ ขณะก้ม-เงยคอ จะมีอาการปวด ร้าว เสียวแปล๊บ บริเวณไหล่ และต้นแขน บางรายอาจลามมาบริเวณมือ นิ้วมือ
         อธิบายง่ายๆคือ อาการปวดเหตุเส้นประสาทต้นคอ คือความผิดปกติของเส้นประสาทเป็นจุดเริ่มต้น โดยอาการปวดนั้นอาจเกิดจากกลไกผิดปกติเส้นประสาท รากประสาท หรือจากสมองส่วนกลางที่มีการปรับการตอบสนองที่ไวผิดปกติก็ได้ ซึ่งจะส่งผลให้มีอาการปวดจี๊ด เสียวแปล๊บ เหมือนเข็มทิ่ม แล้วก็จะเป็นๆหายๆ


ปวดเหตุเส้นประสาทต้นคอ รักษาให้หายได้อย่างไร

         กรณีที่อาการปวดเหตุเส้นประสาทต้นคอเป็นครั้งแรกและมีอาการรุนแรง ควรพบแพทย์ทันที เพื่อประเมินว่ามีสาเหตุของการปวดเกิดจากอะไร แต่ถ้าอาการปวดนั้นไม่รุนแรงและไม่มีความผิดปกติอื่นๆ ก็สามารถดูแลตนเองได้ โดยการรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเชตามอล (Para cetamol) แต่ถ้าดูแลตนเองแล้ว อาการปวดไม่ดีขึ้น หรือปวดมากขึ้น หรือมีอาการอื่นๆก็ควรไปพบแพทย์
         แพทย์จะใช้ยาแก้ปวด เช่น คาร์บามาซีปีน (Car bamazepine) อะมีทิพทีลีน (Amitriptyline) กาบาเพ็นติน (Gabapentin) รวมทั้งกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เอ็นเสด/NSAID, Non-steroidal anti-inflammatory drug) เช่น บรูเฟน (Brufen) โวลทาเรน (Voltaren) เพื่อรักษาอาการปวด โดยการใช้ยาต่างๆแพทย์จะพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ โรคประจำตัวผู้ป่วย และประเมินการตอบสนองต่อยาที่ใช้รักษา

         นอกจากนี้ การรักษาที่ได้ผล คือการฉีดยาชาโบทูไลนุ่มทอกซิน (Botulinum toxin) หรือที่เราคุ้นเคยคือ ยาโบทอก/Botox) หรือยาสเตียรอยด์บริเวณกล้ามเนื้อด้านหลังต้นคอ และการกระตุ้นไฟฟ้าบริเวณต้นคอก็มีรายงานว่าได้ผล
         แม้ว่าอาการปวดเหตุเส้นประสาทต้นคอส่วนใหญ่จะไม่มีอันตราย แต่ก็ไม่ควรนิ่งเฉย ควรหาวิธีรักษาให้หายโดยเร็ว กรณีที่หาสาเหตุไม่พบซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของอาการปวดนี้ ก็รักษาตามอาการ กรณีที่ได้รับยาแล้ว อาการปวดดีขึ้นหรือหาย ไป แพทย์ก็จะค่อยๆลดขนาดยาลงจนหยุดยาได้ ถ้าหลังหยุดยาแล้วมีอาการกลับเป็นซ้ำ ก็จะเริ่มรักษาใหม่

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

แคลเซียมรักษาโรคกระดูกเสื่อม

         เป็นที่รู้กันดีว่าสารอาหารอย่างแคลเซียมมีประโยชน์มากมายต่อร่างกาย โดยเฉพาะการทำให้กระดูกของเราแข็งแรง ห่างไกลภาวะกระดูกพรุนก่อนวัยอันควร เนื่องจากแคลเซียมช่วยรักษาโรคกระดูกเสื่อมโดยตรง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเด็กๆควรรับประทานแคลเซียมมากๆ กระดูกจะได้แข็งแรง ไม่เปราะง่าย และมีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายอีกด้วย กระนั้นก็ดี หัวข้อที่เราจะพูดถึงในวันนี้ก็คือแคลเซียมกับการรักษาโรคกระดูกเสื่อม


โรคกระดูกเสื่อม คืออะไร

         โรคกระดูกเสื่อม คือโรคภัยอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ เนื่องจากกระดูกเสื่อมสภาพตามวัย  โดยตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป ร่างกายจะเริ่มมีการเสื่อมสลายของกระดูกมากกว่าการสร้าง พูดง่ายๆคือเป็นภาวะที่มีเนื้อกระดูกบางตัวลง มีการสร้างกระดูกน้อยกว่าการทำลายกระดูก ทำให้เสี่ยงต่อภาวะกระดูกหักหรือยุบตัวได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกข้อมือ
         และเมื่ออายุมากขึ้น ก็จะยิ่งมีการสลายของกระดูกมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทอง ซึ่งในช่วง 5 ปีของการเข้าสู่วัยทอง จะมีการสลายของกระดูกปีละประมาณ 3–5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับผู้ชาย หลังจากอายุ 40 ปี ก็จะมีการสลายของกระดูกเช่นกัน แต่จะน้อยกว่าผู้หญิง โดยจะมีการสลายของกระดูกปีละ 0.5–1 เปอร์เซ็นต์
         อาการของโรคกระดูกเสื่อม กระดูกพรุน หรือกระดูกเปราะนั้น ในช่วงแรกๆ อาจจะไม่มีอาการแสดงที่ชัดเจน โดยผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดเมื่อยธรรมดา แต่บางรายอาจจะมีอาการปวดกระดูก ปวดหลัง ปวดสะโพก ปวดข้อร่วมด้วย และที่เป็นมากคือกระดูกสันหลังยุบตัวลง ทำให้หลังโก่ง หลังค่อม และตัวเตี้ยลงได้


แคลเซียม กับการรักษาโรคกระดูกเสื่อม

         วิธีการรักษาโรคกระดูกเสื่อมนั้น นอกจากจะควรออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก (weight-bearing exercise) อย่างสม่ำเสมอ เช่น เดินไกล วิ่งเหยาะๆ รำมวยจีน เต้นรำ รวมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงอย่างการสูบบุหรี่ ดื่มสุราแล้ว การรับประทานแคลเซียมทั้งในอาหารทั่วไปและอาหารเสริมจะช่วยป้องกันและรักษาโรคกระดูกเสื่อมได้เป็นอย่างดี โดยผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000  มิลลิกรัม  อายุมากกว่า 50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม

         แหล่งที่มาของแคลเซียมได้จากอาหารหลายประเภทนม โยเกิร์ต ชีส ปลาตัวเล็กทอด กุ้งแห้ง กะปิ  ผักคะน้า ใบยอ ดอกแค เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง และงาดำ ทั้งนี้ โดยทั่วไปการรับประทานอาหารจะได้รับแคลเซียมประมาณ 400-500  มิลลิกรัมต่อวันเท่านั้น หรือน้อยกว่าครึ่งหนึ่งที่ร่างกายควรได้รับ จึงควรดื่มนมเสริม และแนะนำให้รับประทานแคลเซียมในรูปแบบอาหารเสริมด้วย เพื่อประโยชน์สูงสุดในการรักษาโรคกระดูกเสื่อม ป้องกันไม่ให้กระดูกพรุนได้ง่ายๆ


สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคเก๊าท์ เกิดจากอะไร วิธีป้องกันและรักษาโรคเก๊าท์

         หลายคนคงรู้จัก “โรคเก๊าท์” กันเป็นอย่างดี เพราะโรคที่มีอาการปวดตามข้อนี้มักเป็นกันมาก จนกลายเป็นเรื่องธรรมดาของคนในบ้าน ทั้งนี้ ผู้ที่กำลังเป็นโรคเก๊าท์ก็อย่าได้หวาดระวางไป เพราะสามารถทำให้อาการคงที่ ลดอาการเจ็บปวดลงได้ จนสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนบุคคลทั่วไป อย่างไรก็ตาม หากเลือกได้คงไม่มีใครอยากเป็นโรคนี้ ดังนั้น เรามาทำความรู้จักกับโรคเก๊าท์ให้มากขึ้นกันดีกว่า จะได้รู้วิธีป้องกัน หลีกเลี่ยงให้ห่างไกลโรค

 
โรคเก๊าท์ เกิดจากอะไร
1.ภาวะที่มีการสร้างกรดยูริกสูง กรดยูริกในเลือดที่สูงในมนุษย์จะเป็นผลมาจากการที่ขาดยีนในการสลายกรดยูริก และยังพบว่ากรดยูริกในร่างกายมนุษย์จะได้มาจาก 2 แหล่ง คือ จากขบวนการสลายสารพิวรีนในร่างกาย โดยการสลายโปรตีนและได้สารพิวรินออกมา ซึ่งกรดยูริกในร่างกายส่วนใหญ่จะเกิดจากกระบวนการนี้ และได้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอาหารที่มีพิวรีนสูง
2.การขับกรดยูริกออกจากร่างกายลดลง กรดยูริกที่สร้างขึ้นจะมีการขับออกจากร่างกาย 2 ทางหลัก คือ ขับออกทางระบบทางเดินอาหาร ซึ่งจะขับออกได้ประมาณ 1 ใน 3 ของปริมาณกรดยูริกที่ร่างกายสร้างได้ในแต่ละวัน อีกทางคือขับออกทางไต โดยขับส่วนที่เหลืออีก 2 ใน 3 เป็นการขับออกทางไต
จากการศึกษาในคนที่เป็นโรคเก๊าท์จะพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90 มีความผิดปกติในการขับกรดยูริกออกทางไต กล่าวคือที่ความเข้มข้นของระดับกรดยูริกในเลือดที่เท่ากัน คนที่เป็นโรคเก๊าท์จะมีการขับกรดยูริกออกทางไตได้น้อยกว่าคนปกติที่ไม่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูงถึงร้อยละ 40 แสดงให้เห็นว่า ความผิดปกติหลักในผู้ป่วยโรคเก๊าท์อยู่ที่ความผิดปกติในการขับกรดยูริกออกทางไต

 

วิธีป้องกัน โรคเก๊าท์
หลักในการป้องกันพิษภัยจากโรคเก๊าท์ คือการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต โดยเลือกพฤติกรรมการบริโภคอาหารและการดำเนินชีวิตที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงการลดการบริโภคอาหารจำพวกเนื้อและอาหารทะเล การบริโภควิตามินซีอย่างเพียงพอ การจำกัดการบริโภคแอลกอฮอล์และฟรักโทสต ลอดจนการหลีกเลี่ยงโรคอ้วน ซึ่งมีส่วนทำให้เป็นโรคเก๊าท์ได้นั่นเอง ซึ่งพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำในผู้ชายที่เป็นโรคอ้วนสามารถลดระดับกรดยูริกได้ถึง 100 µmol/l (1.7 mg/dl) การบริโภควิตามิน ซีในปริมาณ 1,500 mg ต่อวันลดความเสี่ยงของโรคเกาต์ได้ถึง 45% และการบริโภคกาแฟ (แต่ไม่รวมชา) ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเกาต์

การรักษา โรคเก๊าท์
จุดมุ่งหมายเบื้องต้นของการรักษาโรคเก๊าท์คือ ทำอย่างไรให้สามารถระงับอาการกำเริบแบบเฉียบพลันได้ และทำให้อย่างไรให้สามารถป้องกันการกำเริบซ้ำๆ ซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานให้แก่ผู้ป่วยเป็นอย่างมาก ด้วยจุดประสงค์ในการรักษาดังกล่าว สามารถป้องกันได้โดยการใช้ยาชนิดต่างๆ เพื่อลดระดับของกรดยูริก เช่น ยาเม็ดคอลซิซีน (Colchicine) ยาเม็ดโพรเบเนซิด (Probenecid) เพื่อขับยูริค แต่การใช้ยาต้องอยู่ที่ดุลพินิจของแพทย์เท่านั้น
นอกจากนี้ ยังสามารถรักษาด้วยการประคบน้ำแข็งเป็นเวลา 20 ถึง 30 นาที วันละหลายๆครั้ง จะช่วยลดความเจ็บปวดให้ทุเลาลงได้ กระนั้นก็ตาม ทางเลือกสำหรับการรักษาแบบเฉียบพลันได้แก่ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs) โคลชิซีน และสเตอรอยด์

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคเก๊าท์ อาการของโรคเก๊าท์ วิธีดูแล และอาหารที่ควรกิน

         โรคเก๊าท์คืออะไร หลายคนยังไม่รู้ หรืออาจรู้แบบผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อว่ารับประทานไก่มากๆแล้วจะเป็นโรคเก๊าท์ ความคิดแบบนี้ผิดถนัด เพราะจริงๆแล้ว เนื้อไก่หรือสัตว์ปีกจะทำให้เก๊าท์กำเริบเท่านั้น ไม่ได้ทำให้คนปกติทั่วไปเป็นโรคเก๊าท์แต่อย่างใด
         ซึ่งโรคนี้เกิดจากการที่มีระดับของกรดยูริคในเลือดสูง และไปตกเป็นผลึกเรียกว่า ผลึกยูเรท อยู่ตามเนื้อเยื่อต่างๆโดยเฉพาะที่ข้อบริเวณใกล้ข้อและไต การที่จะเกิดการตกเป็นผลึกยูเรทตามเนื้อเยื่อต่างๆได้นั้นขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือระดับกรดยูริคในเลือด และสภาพของเนื้อเยื่อ ซึ่งเอื้อให้เกิดการตกผลึกเป็นผลึกยูเรท
         สำหรับสาเหตุที่ทำให้มีระดับกรดยูริคในเลือดสูงจนเป็นโรคเก๊าท์ ก็คือ 1.อาหารที่รับประทาน เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ต่างๆ รวมถึงผักบางชนิด และ 2.การสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย ดังนั้น คนที่ชอบรับประทานไก่มากๆ ไม่ได้มีความเสี่ยงต่อโรคเก๊าท์อย่างที่เข้าใจกัน

 

อาการของโรคเก๊าท์
         ระยะแรกเริ่มที่เป็นโรคเก๊าท์ ข้อจะยังไม่ถูกทำลายมาก ทว่านานๆไป ข้อกระดูกก็จะถูกทำลาย และมีอาการปวดที่รุนแรงมากขึ้น โดยจะปวด บวม แดง ร้อน โดยเฉพาะบริเวณนิ้วหัวแม่เท้าเป็นข้อที่พบบ่อยที่สุด อาการปวดมักเป็นๆหายๆ หรือเรื้อรัง ทั้งนี้ ข้อที่ปวดพบได้ทุกข้อ แต่พบมากตามข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ข้อนิ้วและข้อศอก ในรายที่เป็นมานานอาจพบนิ่วทางเดินปัสสาวะ
         นอกจากนั้น ยังพบว่าผู้ป่วยมักปวดข้อกระดูกตอนกลางคืน และอาการปวดจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมักจะมีปัจจัยกระตุ้น ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ยูริกสูง การดื่มแอลกอฮอล์ ผ่าตัด และความเครียด เป็นต้น

         อย่างไรก็ตาม หากอาการปวด บวม แดง ร้อน ที่ข้อไม่ชัดเจน และถ้าเป็นบริเวณที่ข้อเท้า แต่ยังสามารถเดินเหินได้สบาย แม้ว่าเจาะเลือดแล้วยูริคสูง ก็สามารถสันนิฐานว่าไม่ใช่โรคเก๊าท์ ในทางตรงกันข้ามถ้ามีอาการปวด บวม แดง ร้อนที่ข้อชัดเจน เป็นในตำแหน่งข้อเท้า ข้อนิ้วหัวแม่เท้า เป็นเร็ว แม้ว่าจะเจาะยูริคแล้วไม่สูง ก็น่าจะเป็นโรคเก๊าท์

วิธีดูแลตัวเอง สำหรับผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์
         1.นอนหลับให้เพียงพอ การที่ร่างกายได้รับการพักผ่อนนอนหลับไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดอาการโรคเก๊าท์ชนิดฉับพลันได้ง่าย
         2.สวมรองเท้าขนาดพอเหมาะ จะช่วยลดความชอกช้ำที่ร่างกายได้รับ เช่น จากการสวมรองเท้าที่คับเกินไป จะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการโรคเก๊าท์ชนิดเฉียบพลันขึ้นได้
         3.ควบคุมน้ำหนัก การที่น้ำหนักตัวมากเกินไปหรืออ้วนเกินไปจะทำให้การรักษาโรคเก๊าท์ยุ่งยาก ซับซ้อน และอาจทำให้อาการโรครุนแรงยิ่งขึ้น
         4.ดื่มน้ำมากๆ ผู้ป่วยด้วยโรคเก๊าท์มักจะมีก้อนนิ่วเกิดขึ้นในไตได้ง่าย การดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณ 2 ลิตร จะช่วยบรรเทาอาการปวดข้ออันเนื่องมากจากโรคเก๊าท์ได้มาก
         5.ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง เมื่อจะเดินทางไกล ควรนำยาติดตัวไปด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงจากปัญหายาหมด ที่สำคัญคือควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น อย่าหายามารับประทานเองเป็นเด็ดขาด

         6.อย่าเอาความวิตกกังวลไป เพราะความวิตกกังวลจะทำให้เกิดอาการโรคเก๊าท์ชนิดเฉียบพลันขึ้นได้ง่าย
         7.อย่าออกกำลังกายหักโหม ควรปฏิบัติหน้าที่การงานหาความเพลิดเพลิน และออกกำลังกายตามที่ท่านเคยปฏิบัติมา แต่อย่าให้มากเกินไป เพราะอาจส่งผลต่ออาการปวดได้
         8.อย่าปล่อยให้ร่างกายได้รับความเย็นมากเกินไป ผู้ป่วยด้วยโรคเก๊าท์มักทนต่อความเย็นไม่ค่อยได้ ฉะนั้น จึงควรใช้เครื่องนุ่งห่มที่ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายพอสมควร
         9.รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ โดยควรรับประทานอาหารตามปกติ และให้ร่างกายได้รับคุณค่าอาหารที่เพียงพอ ไม่ควรรับประทานมากเกินไปหรือน้อยเกินไป และไม่ควรรับประทานชนิดของอาหารตามที่แพทย์สั่งห้าม

อาหารที่ผู้ป่วยโรคเก๊าท์ควร “งด” และควร “รับประทาน”

         การรักษาโรคเก๊าท์จะต้องควบคุมสารพิวรีนในอาหารด้วย ในระยะที่มีความรุนแรงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก ปลาดุก อาหารทะเลบางชนิด ปลาซาร์ดีน ปลาไส้ตัน กุ้ง ปลาอินทรีย์ หอยเชลล์ ไข่ปลา กะปิ น้ำต้มกระดูก น้ำสกัดเนื้อ ซุปก้อน เห็ด ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ปลากระป๋องซาร์ดีนหรือแม็คโคเรล ผักยอดอ่อนบางประเภท เช่น กระถิน ชะอม สะเดา ยอดมะพร้าวอ่อน
         สำหรับอาหารที่ส่งเสริมให้ผู้ป่วยโรคเก๊าท์รับประทาน ได้แก่ นมและผลิตภัณจากนม ไข่ ผักทั่วไป ผลไม้เกือบทุกชนิด ข้าว ขนมปัง ปลา เนยเหลว และเนยแข็ง ปลาน้ำจืดยกเว้นปลาดุก อาหารเหล่านี้สามารถทานได้ทุกวัน เนื่องจากไม่มีสารพิวรีนอยู่เลย ทำให้อาการปวดจากโรคเก๊าท์ไม่กำเริบ
 

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า


AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีแก้โรคนอนไม่หลับที่ได้ผล หลับสบาย

         คุณทราบหรือไม่ โดยธรรมชาติของมนุษย์เราใช้เวลานอนหลับถึง 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด แถมเวลานอนหลับ ร่างกายจะฟื้นฟูตัวเอง เพิ่มพลังงานเสมือนการชาร์ตแบตให้ชีวิต ดังนั้น การนอนหลับพักผ่อนจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในเวลานอนของบางคนที่เป็นลักษณะหลับๆตื่นๆ หลับไม่สนิท แบบนี้เรียกว่าการนอนของเราไม่มีคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายตามมาได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ภาวะเครียด เกิดริ้วรอยได้ง่าย ทั้งยังส่งผลให้เกิดโรคร้ายแรง โดยเฉพาะโรคทางจิตวิทยา

         ภาวะการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ ในวงการแพทย์เรียกว่าเป็นโรคนอนไม่หลับ” ซึ่งจะแบ่งตามลักษณะอาการเป็น 3 ชนิด ดังนี้
         1.นอนไม่หลับชั่วคราว (Transient insomnia) สาเหตุเพราะมีสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้องคิดกังวลหรือปรับตัว เช่น มีเหตุการณ์ตึงเครียดเสียใจเกิดขึ้นฉับพลัน หรือการเดินทางเปลี่ยนสถานที่นอน การเจ็บป่วยฉับพลัน เมื่อสถานการณ์ต่างๆดีขึ้น ก็จะสามารถนอนหลับได้ปกติ
         2.นอนไม่หลับเป็นระยะๆ (Intermittent insomnia) มักเป็นกลุ่มที่มีอาการต่อเนื่องจากกลุ่มที่ 1 เนื่องจากสถานการณ์ต้นเหตุยังคอยกระตุ้นเป็นระยะๆ ทำให้มีอาการ ไม่หลับที่เกิดขึ้นซ้ำๆ บ่อยๆ เป็นระยะๆ
         3.นอนไม่หลับเรื้อรัง (chronic insomnia) มีอาการนอนไม่หลับเป็นประจำติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 3 สัปดาห์ มีสาเหตุได้หลายอย่าง ได้แก่ การเจ็บป่วยทางกายต่างๆ โรคทางกายบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการนอน เช่น การนอนกรน โรคทางจิตเวชต่างๆ เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคจิต ผู้ป่วยบางกลุ่มอาจมีอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง


วิธีรักษาโรคนอนไม่หลับ

         การรักษาโรคนอนไม่หลับ มีหลักการคือ 1.ค้นหาสาเหตุหรือหาพฤติกรรมร่วม เช่น การนอนอยู่บนเตียงนานเกินไปอาจจะทำให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน ควรลุกขึ้นมาจดบันทึกว่าเรากำลังคิดอะไรอยู่ พร่งนี้ควรทำอะไรต่อ เป็นการสงบความคิดอีกอย่างหนึ่งซึ่งจะช่วยทำให้คุณนอนหลับได้ง่ายขึ้น
         2.ปฏิบัติตนตามสุขลักษณะการนอนที่ดี และ 3.อาจใช้ยาช่วยให้นอนหลับ แต่ควรรับประทานเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ยาต่อเนื่องนานเกิน 2-6 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้ติดยา หรือต้องพึ่งยาตลอดไป


เคล็ดลับแสนง่าย แก้อาการนอนไม่หลับ

         วันนี้เรามีเทคนิคแสนง่ายที่จะช่วยแก้โรคนอนไม่หลับได้อย่างเห็นผล ทำให้คุณนอนหลับสนิท หลับสบายมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม
         1.การเข้านอนและตื่นนอนควรให้เป็นเวลา เพราะเมื่อร่างกายปรับตัวจนชินกับการนอนดึกไปแล้วจะกลับมานอนเร็วนั้นเป็นเรื่องที่ยาก
         2.หากนอนไม่หลับ ไม่ควรนอนอยู่บนเตียงเป็นระยะเวลานานๆ เพราะจะเกิดความกังวลจนทำให้นอนไม่หลับ เพราะฉะนั้นควรลุกขึ้นมาเดินสักนิดหน่อยแล้วคอยกลับไปนอนอีกครั้ง

         3.ปิดไฟ อย่าให้มีแสงสว่างมากจนเกินไป โดยธรรมชาติของร่างกายคนเรามีตัวกำหนดว่าถึงเวลานอนแล้วนั้นก็คือ เมลาโทนิน (Melatonin) สารชนิดนี้จะออกก็ต่อเมื่อความมืดมาเยือน เพราะฉะนั้นถ้าเปิดไฟสว่างมากเกินไปมันจะกดการหลั่งของสารเมลาโทนิน (Melatonin) ร่างกายจึงไม่สามารถรับรู้ถึงการนอน
         4.การออกกำลังกายที่ดี จะช่วยให้มีการนอนที่ดี แต่ถ้าหากออกกำลังกายหนักมากและใกล้กับเวลานอนมากจนเกินไป ร่างกายก็ไม่พร้อมเพราะร่างกายเกิดการกระตุ้น ดังนั้น ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอโดยไม่ไม่หักโหม และจัดสรรเวลาให้ดี อย่าให้รบกวนเวลานอนหลับพักผ่อนไม่อันขาด

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

หลับไม่สนิท ตื่นกลางดึก ทำไงดี มีวิธีแก้มาฝาก

         เชื่อว่าหลายคนคงเคยตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับอาการอ่อนเพลีย ไม่ค่อยสดชื่น ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกไปเรียนหรือไปทำงาน รู้สึกหัวไม่แล่น เหมือนนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ทั้งๆที่พอเงยหน้ามองนาฬิกาก็พบว่าช่วงเวลาในการนอนหลับไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด อาการเช่นนี้มักเกิดขึ้นกับใครหลายคน ซึ่งมันคืออาการของคนนอนหลับไม่สนิท ตื่นกลางดึก (ทั้งรู้ตัวและไม่รู้) นั่นเอง

อาการนอนหลับไม่สนิท คืออะไร
อาการหลับไม่สนิท คือการนอนหลับพักผ่อน (แบบหลับสนิท) ไม่เกิน 6 ชั่วโมงต่อคืน ซึ่งจะทำให้มีความเสี่ยงโรคเบาหวานและโรคหัวใจเพิ่มขึ้น ภูมิต้านทานลดลง และยังอาจส่งผลให้รับประทานมาก อ้วนง่ายขึ้นอีกด้วย ฉะนั้น เราไม่ควรปล่อยให้ปัญหาเรื่องการนอนหลับไม่สนิท หรือตื่นกลางดึกระหว่างการนอนพักผ่อน ทำให้นอนน้อยลงกลายเป็นความเคยชินจนทำลายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว

 

วิธีแก้ อาการหลับไม่สนิท ตื่นกลางดึก
1.อย่านอนผิดเวลาทุกวัน การเข้านอนก็เหมือนการรับประทานอาหาร กล่าวคือเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องทำทุกวัน และทำเป็นเวลา อย่าให้ผิดเวลา โดยควรเข้านอน และตื่นนอนตามตารางเวลาเดิมเป็นประจำ มิเช่นนั้นพอนานๆไป จะทำให้คุณหลับไม่สนิทได้ในที่สุด
2.รู้จักพักระหว่างวัน หากรู้สึกไม่ค่อยกระปรี้กระเปร่าระหว่างวัน ควรใช้วิธีนั่งท่าสบายๆอยู่ที่โต๊ะ ทำงาน หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้กัน หลับตา และปล่อยตัวตามสบายสัก 5 นาที เพื่อผ่อนคลาย จะช่วยให้ร่างกายมีเรี่ยวมีแรงมากขึ้น ที่สำคัญคือส่งผลให้คุณหลับในช่วงกลางคืนได้สนิทมากขึ้น
3.ฝึกชี่กง (ลมปราณ) ชี่กงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการทำจิตใจให้สงบ ช่วยสร้างสมาธิให้กับผู้ฝึก และขจัดความอ่อนเพลียได้เป็นอย่างดี แก้อาการง่วงเหงาหาวนอนระหว่างวันได้ แถมยังแก้อาการหลับไม่สนิท ตื่นกลางได้อีกด้วย
4.รับประทานอาหารแต่หัวค่ำ หากคุณเป็นคนกินจุบกินจิบ แนะนำให้กำหนดเส้นตายของตัวเองให้รับประทานอาหารได้แค่ช่วงหัวค่ำเท่านั้น เพราะจะช่วยให้อาหารย่อยได้ง่ายและเร็วขึ้น ก่อนที่จะล้มตัวลงนอน เพียงแค่นี้ก็ช่วยให้หลับสนิทมากขึ้น
5.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟ โดยเฉพาะก่อนนอน เนื่องจากมันจะเข้าไปทำปฏิกิริยาในร่างกาย เป็นตัวกระตุ้นทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้มีอาการนอนหลับไม่มสนิท ถึงแม้ว่าการดื่มจนเมาจะทำให้คุณรู้สึกหลับสนิทก็ตาม แต่แอลกอฮอลล์ก็ทำปฏิกิริยากับร่างกายอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความไม่สบายตัว

6.รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และนม เพราะอาหารเหล่านี้ประกอบด้วย วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้มีอาการง่วงเหงาหาวนอนได้ง่าย จึงทำให้เราหลับสนิทตลอดทั้งคืน ซึ่งอาหารดังกล่าวยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
7.อย่าดื่มน้ำมากเกินไป ก่อนเข้านอน หลายคนชอบดื่มน้ำเปล่ามากๆ แต่ทว่าหากดื่มมากๆก่อนเข้านอน อาจทำให้คุณนอนหลับไม่สนิทได้ เนื่องจากต้องตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะปวดชิ๊งฉ่อง
8.ปรับแต่งห้องนอนให้เหมาะสม เนื่องจากสภาพแวดล้อมส่งผลต่อการนอนหลับเป็นอย่างมาก เช่น การทาห้องนอนสีฟ้าหรือสีขาว จะช่วยให้คุณหลับได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังไม่ควรปล่อยให้ห้องนอนรก หรือมีกลิ่นอับ เพราะอาจทำให้คุณหลับไม่สบาย ที่สำคัญคือห้องนอนควรปราศจากเสียงรบก่อนข้างนอก ควรปรับแต่งห้องให้ดูเงียบสงบ อาการถ่ายเทมากที่สุด

 

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อาหารอะไรที่กินแล้วบำรุงเลือด อาหารบำรุงโลหิต

         ขึ้นชื่อเรื่องมาแบบนี้หลายคนคงฉงนสงสัยกันว่า อาหารบำรุงโลหิตคืออะไร แล้วด้วยเหตุผลกลใดทำไมเราถึงต้องบำรุงเลือด เพื่อไขข้องใจนี้ขออธิบายสั้นๆก่อนว่า เลือดของเราก็เปรียบเสมือนน้ำมันหล่อลื่นที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้ดีขึ้น ซึ่งถ้าเครื่องยนต์น้ำมันหล่อลื่นเสื่อมคุณภาพ จะทำให้การทำงานติดขัด ไม่เป็นไปอย่างที่ต้องการ แถมยังอาจทำให้เครื่องพังได้ ฉันใดฉันนั้น ร่างกายของเราก็เหมือนเครื่องยนต์หากเลือดไม่ดี จะทำให้ส่วนอื่นๆแย่ลงไปด้วย
         น่าจะพอเห็นภาพกันแล้วว่าทำไมเราถึงต้องมีการบำรุงเลือด ทั้งนี้ แนวทางการบำรุงเลือดนอกจากจะควรออกกำลังกายให้เลือดสูบฉีด ไหวเวียนได้ดีขึ้นแล้ว อีกอย่างหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการรับประทานอาหารบำรุงโลหิต ซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราแข็งแรง ห่างไกลจะโรคเกี่ยวกับเลือดต่างๆ เช่น โรคโลหิตจาง ที่อาจทำให้มีอาการวิงเวียน หน้ามืด เป็นลมหมดสติได้ง่าย เป็นต้น

         การบำรุงเลือด นอกจากจะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้บุคลิกภาพของคุณดูดีได้อีกด้วย โดยเฉพาะในคุณผู้หญิงที่รักสวยรักงาม ถ้าเลือดลมไม่ดี จะทำให้ผิวพรรณเหลืองซีด ปากจืด เส้นผมแห้งเสีย แถมใบหน้าอาจมีสิวขึ้นบ่อยๆ ดังนั้น การบำรุงเลือดทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง สวยสง่า ออร่าจับมากขึ้นนั่นเอง

อาหารอะไรที่กินแล้วบำรุงเลือด
         เนื่องจากในเลือดมีสารอาหารอย่างโปรตีนและธาตุเหล็กอยู่เป็นจำนวนมาก อาหารบำรุงโลหิตที่ควรจะได้รับจึงเป็นอาหารที่มีปริมาณโปรตีนและธาตุเหล็กสูง ดังนั้น จึงควรรับประทานโปรตีนจากพืชและสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อปลา (โดยเฉพาะปลาทะเล) สำหรับโปรตีนจากพืช ได้แก่ ถั่วเหลือง ธัญพืชต่างๆ เป็นต้น

         และควรเน้นรับประทานผักสีเขียวเข้ม ตับสัตว์ ไข่แดง ฟักทอง ถั่ว ซึ่งเป็นอาหารที่อุดมด้วยกรอโฟลิก และเป็นอาหารที่ให้ธาตุเหล็ก ช่วยกระตุ้นการผลิตเฮโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ จากการศึกษาพบว่าอาหารที่มีวิตามินซีสูงช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กและกรดโฟลิกได้ดีขึ้น จึงควรรับประทานผักผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงควบคู่ไปด้วยอย่างเช่น ฝรั่ง ส้ม ได้ทั้งในรูปแบบสดและน้ำคั้น
         วิตามินบี 12 ก็ถือเป็นอาหารบำรุงโลหิต เพราะเข้าไปช่วยในการผลิตและแบ่งเซลล์เม็ดเลือด แหล่งอาหารที่พบได้แก่ ผลิตภัณฑ์นม ไข่ ปลา และเนื้อสัตว์ กระนั้นก็ตาม ควรดื่มน้ำมากๆอย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ และเป็นการเสริมส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้สมบูรณ์มากขึ้น

 

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อาหารเสริมของคนเลือดจาง และการกินเพื่อบำรุงเลือด

         ภาวะเลือดจาง เป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนมักมองข้าม ทว่ามันคือภัยเงียบที่คร่าชีวิตผู้คนมาแล้วนักต่อนัก เนื่องจากหากมีภาวะเลือดจางอาจจะทำให้มีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้าซีด ตัวซีด ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง จนบางถึงกับหมดสติไปเลยก็มี ทั้งนี้ ภาวะเลือดจางเกิดได้จากหลายสาเหตุ บางอย่างสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางอย่างทำได้แค่ประคับประคองให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับคนปกติให้มากที่สุด ฉะนั้น จงอย่าละเลยอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น และให้สำคัญกับเรื่องอาหารการกินเพื่อบำรุงเลือด แค่นี้ก็จะห่างไกลภาวะเลือดจาง


การกินเพื่อบำรุงเลือด

         เลือดมีองค์ประกอบหลักคือโปรตีนและธาตุเหล็ก ดังนั้น การรับประทานอาหารเพื่อบำรุงเลือดจึงควรเน้นไปที่สารอาหารประเภทโปรตีนและอาหารเสริมธาตุ โดยเพิ่มการรับประทานอาหารโปรตีนสูงทั้งจากพืชและสัตว์ อาหารที่ได้จากพืช ได้แก่ ข้าวเสริมธาตุเหล็ก ข้าวหอมนิล ข้าวสายพันธุ์ 313 ผักสีเขียวเข้ม จะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก กรดโฟลิก คลอโรฟิลส์ (สารที่มีโมเลกุลคล้ายฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง) รวมถึงควรรับประทานฟักทอง แครอท ถั่ว อัลมอนต์ เมล็ดธัญพืช ข้าวโอ๊ต จมูกข้าวสาลี ผักประเภทหน่อไม้ฝรั่ง บร็อคโคลี่ และมะเขือเทศ
         นอกจากนี้ วัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารก็มีส่วนสำคัญในการบำรุงเลือด ให้ห่างจากภาวะเลือดจาง โดยควรรับประทานน้ำมันมะกอก พริก กระเทียม ขมิ้น เพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดี สำหรับอาหารจากสัตว์ ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับลูกวัว ไข่แดง สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็ง เช่น กุ้ง หอย ปู เป็นต้น
         ผลไม้ที่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อเลือด ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม แคนตาลูป อะโวคาโด ลูกพีช กล้วยเนื่องจากอุดดมไปด้วยวิตามินซีและธาตุเหล็กสูง ซึ่งหากรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น


อาหารเสริมของคนเลือดจาง

         สำหรับคนที่เลือดลมไม่ค่อยดี หรือรู้สึกว่ากำลังอยู่ในภาวะเลือดจาง (หากไม่มั่นใจแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย) เราขอแนะนำให้เสริมวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ สำหรับบำรุงเลือด ดังนี้
         -โฟลิกแอซิด วันละ 400 ไมโครกรัม
         -วิตามินบี 1 ขนาด 100 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด
         -วิตามินบี 12 ขนาด 500 ไมโครกรัม วันละ 1 เม็ด
         -วิตามินบี 6 วันละอย่างน้อย 100 มิลลิกรัม
         -แมกนีเซียม ขนาด 100 – 200 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด
         -แคลเซียม ขนาด 200 – 300 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด

         วิตามินเสริมเหล่านี้สามารถหาซื้อได้ด้วยตัวเองตามร้านทั่วไป แต่ต้องได้รับคำปรึกษาที่ดี (จากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริม) โดยแนะนำให้รับประทานจนกว่าอาการทุกอย่างจะดีขึ้น เช่น จากที่หน้ามืดง่ายๆ ก็ใช้อาหารเสริมจนกว่าจะหาย ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ เมื่ออาการดีขึ้นจนรู้สึกว่าอยู่ตัวแล้วก็สามารถหยุดกินวิตามินและแร่ธาตุชนิดเม็ดเหล่านี้ได้
         และเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนเลือดที่ดีแนะนำว่า การกินน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา ทำให้ไขมันในเลือดสมดุล ไม่มีอะไรไปอุดตันในเส้นเลือด

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อาหารอะไรที่กินแล้วบำรุงเลือด สำหรับผู้เป็น โลหิตจาง

         เคยไหมที่มีคนเข้ามาทักว่าคุณตัวซีด เหลือง และชอบมักอาการอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย ปวดศีรษะหน้ามืดเป็นประจำ หรือบางครั้งอาจเป็นลมหมดสติก็มี หากเป็นเช่นนี้คุณอาจตกอยู่ในภาวะโลหิตจาง หรือที่หลายๆคนเรียกว่า “เลือดน้อย”
         ภาวะโลหิตจาง คือการที่มีเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ทางการแพทย์จะหมายถึงการที่ระดับค่าฮีโมโกลบินในเลือดต่ำกว่า 13 กรัม/เดซิลิตรในผู้ชาย หรือ 12 กรัม/เดซิลิตรในผู้หญิง ถ้าคิดเป็นค่าฮีมาโตคริตคือความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงต่ำกว่า 39 และ 36 เปอร์เซ็นต์ในผู้ชายและผู้หญิงตามลำดับ

 

สาเหตุที่ทำให้โลหิตจาง
         1.โลหิตจางจากการสูญเสียเลือด โดยจะมี 2 กรณี คือ มีเลือดออกจากทางเดินอาหารซึ่งจะเห็นเป็นถ่ายอุจจาระมีเลือดปนหรือถ่ายดำ แต่ถ้าออกครั้งละน้อยๆ แต่ออกบ่อยอาจไม่เห็นว่าถ่ายอุจจาระมีเลือดปนหรือถ่ายดำ แต่จะมีโลหิตจางได้ โรคที่ทำให้ถ่ายมีเลือดปนที่พบบ่อย ได้แก่ โรคกระเพาะอาหาร โรคริดสีดวงทวาร โรคหลอดเลือดโป่งพอง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น สาเหตุที่พบบ่อยอีกอย่างคือ การรับประทานยาแก้ปวดแก้เมื่อยเป็นประจำแล้วยาระคายกระเพาะอาหารทำให้อักเสบ มีแผล เกิดเลือดออกได้
         อีกกรณีจะเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงคือ การเสียเลือดจากมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด ถ้าถึงวัยหมดประจำเดือนแล้วมีเลือดออกทางช่องคลอด ต้องรีบไปตรวจทันทีเนื่องจากอาจเกิดจากโรคมะเร็งได้
         2.โลหิตจางจากการขาดสารอาหาร โดยเฉพาะผู้สูงอายุบางรายที่อาจรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ซึ่งอาจเกิดจากการที่เบื่ออาหาร มีโรคประจำตัวบางอย่าง เลือกรับประทานอาหาร หรือปัญหารายได้ไม่เพียงพอ อาจทำให้โลหิตจางได้
         3.โลหิตจางจากโรคเรื้อรัง เช่น ไตวาย โรคตับ ข้ออักเสบ เป็นต้น ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดได้น้อยกว่าปกติ จึงทำให้อยู่ในภาวะโลหิตจางในที่สุด
         4.โรคอื่นๆ เช่น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคไขกระดูกเสื่อม เป็นต้น


อาหารบำรุงเลือด แก้โลหิตจางโดยเฉพาะ

         แนวทางการรักษาโลหิตจางประกอบด้วยการรักษาทั่วไป การให้ยาตามอาการแสดง รวมทั้งการให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารบำรุงเลือด ซึ่งเป็นวิธีบำบัดรักษาที่ได้ผลอย่างมากโดยเฉพาะในระยะยาว และแน่นอนวันนี้เราได้นำข้อมูลเกี่ยวกับอาหารบำรุงเลือด สำหรับผู้ป่วยโลหิตจางโดยเฉพาะ มาให้ได้ทราบกัน
         1.ข้าวเสริมธาตุเหล็ก ได้แก่ ข้าวหอมนิล และข้าวสายพันธุ์ 313 ปรากฏว่า ร่างกายสามารถดูดซับธาตุเหล็กได้ 6-20% สำหรับข้าวเสริมธาตุเหล็กแบบไม่ขัดสี และร้อยละ 17-50 สำหรับข้าวขัดสี ทั้งนี้ จะต้องรับประทานกับอาหารอื่นๆที่อุดมไปด้วยวิตามินซี เช่น แกงส้ม น้ำพริกมะขาม เป็นต้น
         2.ตับลูกวัว ซึ่งพบว่าเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับผู้มีภาวะโลหิตจาง เนื่องจากประกอบด้วยธาตุเหล็กและวิตามินบีในปริมาณสูง ซึ่งสามารถใช้ได้กับผู้มีภาวะโลหิตจางทุกประเภท

         3.ผักสีเขียวเข้ม จัดเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้มีภาวะโลหิตจางเช่นกัน เนื่องจากเป็นแหล่งของธาตุเหล็ก กรดโฟลิก และคลอโรฟิลล์ (คลอโรฟิลล์เป็นสารที่มีโมเลกุลคล้ายกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง)
         จะเห็นได้ว่าอาหารที่ผู้มีภาวะโลหิตจางควรรับประทานก็คือ อาหารที่ให้ “ธาตุเหล็ก” สูง ซึ่งนอกจากสารอาหารอย่างธาตุเหล็กแล้วยังควรได้รับโปรตีนมากๆ ซึ่งมีมากใน  ตับ ไต เนื้อสัตว์ เมล็ดธัญพืช เช่น ถั่ว งา เมล็ดฟักทอง ลูกเดือย เป็นต้น ก็จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่ดีขึ้น ห่างไกลภาวะโลหิตจางแน่นอน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คืออะไร แก้ไขยังไง

         วันนี้เราจะพูดถึงโรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) ซึ่งมักเกิดขึ้นกับคนวัยทำงานโดยไม่รู้ตัว ด้วยอิริยาบถและสภาพแวดล้อมในที่ทำงานที่ไม่เหมาะสม ทำผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบและปวดเมื่อยตามอวัยวะต่างๆ ได้แก่ หลัง ไหล่ บ่า แขน ข้อมือ เป็นอาทิ โดยเฉพาะการกระดกข้อมือขึ้นลงซ้ำๆจากแป้นคีย์บอร์ดและการคลิกเมาส์ จึงเกิดการอักเสบบริเวณเส้นเอ็นได้ง่าย รวมทั้งเกิดภาวะพังผืดหนา มีอาการชาบริเวณนิ้วและข้อมือ ที่สำคัญคือความเครียดเป็นตัวบ่มเพาะโรคนี้ให้รุนแรงมากขึ้น เช่น มีอาการปวดศีรษะ ปวดตา หน้ามืด เป็นต้น


โรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คืออะไร

         โรคออฟฟิศซินโดรม คือภาวะที่มักเกิดกับคนทำงานตามออฟฟิศ หรือแม้แต่คนที่ทำงานอยู่กับบ้านก็ตาม โดยเกิดจากการทำงานหรือใช้ชีวิต นั่ง เดิน เคลื่อนไหวร่างกายในท่าทางอิริยาบถที่ไม่ถูกลักษณะ ผิดท่าที่เหมาะที่ควร บ่อยครั้ง เป็นเวลานานๆ โดยอยู่ในท่าเดิมหลายชั่วโมง ซึ่งท่าทางลักษณะเหล่านี้จะทำให้มีอาการปวดเมื่อยล้าตรงกล้ามเนื้อ จะรู้สึกเกร็งเหมือนกล้ามเนื้อถูกดึงรั้ง ที่น่ากลัวคือนานวันเข้าจากอาการแค่ปวดกล้ามเนื้อ อาจกลายเป็นกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง ปวดเจ็บตามอวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแขนขา ข้อมือ ไหล่ หลัง ซึ่งปวดมากหรือปวดน้อยก็แล้วแต่การสะสมของโรค
         ขณะที่บางรายอาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น สายตาพร่ามัว ตาแห้ง ระคายเคือง ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน หรือบางรายที่มีอาการรุนแรงมากๆ ก็อาจทำให้มีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อน หรือเกิดกระดูกทับเส้นประสาท ซึ่งส่วนใหญ่พอนานวันเข้า ก็มักจบด้วยการไปโรงหมอเพราะทนอาการเจ็บป่วยจากโรคออฟฟิศซินโดรมไม่ไหว


โรคออฟฟิศซินโดรม รักษาได้อย่างไร

         หลายคนเมื่อไปพบหมอแล้ว มักจะมีการสอบถามอาการและทำการวินิจฉัยสาเหตุ ซึ่งโดยหลักๆก็แบ่งเป็น 2 แนวทางคือ รักษาที่สาเหตุ สามารถทำได้ทั้งแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด และอีกแนวทางคือการรักษาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น การรับประทานยา การฉีดยา หรืออาจมีการทำกายภาพบำบัดร่วมด้วย
         อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่อยากให้โรคออฟฟิศซินโดรมส่งผลรุนแรง จนต้องถึงมือหมอ คุณควรทำงานให้ถูกอิริยาบถ โดยเฉพาะเวลานั่งควรให้หลังชิดติดพนัก และอย่าให้หลังงอคอตกเป็นอันขาด นอกจากนี้ยังควรพักสายตาและปรับเปลี่ยนไปทำกิจกรรมอื่นๆบ้าง เพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและรู้สึกไม่เครียดจนเกินไป เช่น เดินไปดื่มน้ำทุกๆครึ่งชั่วโมง เป็นต้น


ท่าบริหาร บำบัดโรคออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)

         เพื่อเป็นการเอาใจคนทำงานออฟฟิศโดยเฉพาะ วันนี้เราได้นำ “6 ท่าสู้อาการปวด ออฟฟิศซินโดรม” มาให้ท่านผู้อ่านได้นำไปใช้กัน จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับอาการปวดที่รุนแรง และจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
         โดยข้อมูลจาก ASTV ผู้จัดการ นายชิษณุพงศ์ ยะอ้อน นักวิทยาศาสตร์กายภาพ ระบุว่า ท่าบริหารจัดโครงสร้างและยืดหยุ่นร่างกายอย่างถูกวิธี สามารถช่วยให้หนุ่มสาวออฟฟิศบรรเทาอาการปวดเฉพาะส่วนซึ่งเกิดจากโรคออฟฟิศซินโดรมได้ ซึ่งท่าบริหารอย่างง่ายที่สามารถนำไปปฏิบัติตามที่ทำงานได้ง่ายและบ่อยครั้ง มีทั้งหมด 6 ท่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มสมรรถนะและความยืดหยุ่น รวมถึงผ่อนคลายกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ เช่น คอ ไหล่ สะบัก หลัง และขา

         ท่าที่ 1 บริหารต้นคอ เริ่มต้นด้วยการไขว้แขนขวาไปด้านหลัง เอียงคอไปด้านซ้าย แล้วเอื้อมมือซ้ายข้ามศีรษะไปวางแนบด้านข้างของศีรษะด้านขวา แล้วทำเช่นเดียวกันนี้กับอีกข้างหนึ่ง
         ท่าที่ 2 บริหารบ่าและไหล่ ยืนตัวตรง ประสานมือเหยียดแขนไปข้างหน้า ก้มศีรษะพร้อมกับยืดตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย ค้างไว้แล้วนับ 1-10
         ท่าที่ 3 บริหารสะบักและหน้าอก ยืนตัวตรง กางแขนทั้งสองข้างออกในลักษณะตั้งฉาก แล้วค่อยๆ ดึงแขนไปด้านหลัง
         ท่าที่ 4 บริหารขาด้านหลังและหลังส่วนล่าง ยืนตัวตรง ชูแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ แล้วค่อยๆ ก้มตัวลงเอามือทั้งสองข้างวางแนบพื้นหรือแตะปลายเท้า โดยไม่งอเข่า
         ท่าที่ 5 บริหารขาด้านหลัง น่อง และหลังส่วนล่าง ทำต่อเนื่องจากท่าที่ 4 โดยยังอยู่ในท่าก้มตัว สอดมือทั้งสองไว้ด้านหลัง หัวเข่า แล้วค่อยๆ งอเข่าทั้งสองข้าง ค้างไว้แล้วนับ 1-10
         ท่าที่ 6 บริหารหลังส่วนล่าง ยืนตัวตรง ยกแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ ประสานมือเอาไว้ แล้วค่อยๆ เอนตัวไปด้านหลัง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.