เสื่อมสมรรถภาพ ใช่ว่าโลกจะแตก กับวิธีรักษาธรรมชาติแสนง่าย เพื่อคุณผู้ชายโดยเฉพาะ

         ปัญหาเสื่อมสมรรถภาพ เป็นหนึ่งในปัญหาทางเพศโลกแตก ที่สร้างความปวดหัวให้กับคุณผู้ชายมาทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะความมั่นใจในความเป็นชายของตัวเองถึงแม้จะเคยมีมากมายสักเพียงใด แต่พอได้เริ่มมีอาการเสื่อมสมรรถภาพ นกเขาไม่ขันขึ้นมาสักครั้งแล้วล่ะก็ เรียกได้ว่าศักศรีดิ์ความเป็นชาย แทบจะหายเกลี้ยงไปในบัดดลเลยทีเดียว แต่ช้าก่อน ใช่ว่าปัญหาเสื่อมสมรรถภาพจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าหากรู้หลักการ และศึกษาอย่างจริงจังแล้วล่ะก็ ยังมีวิธีการรักษาตามธรรมชาติอีกมากมาย ที่คุณผู้ชายสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพ ซึ่งสามารถติดตามอ่านได้ผ่านบทความชิ้นนี้กันเลย

ภาพรวมของอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
 อาการเสื่อมสมรรถภาพ เป็นปัญหาหาใหญ่ของผู้ชายทั้งโลก เพียงแต่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ชายที่ได้รับผลกระทบมีมากถึง 30 ล้านคน กว่าครึ่ง เป็นผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 75 ปี อาการเสื่อมสมรรถภาพ ในกลุ่มของผู้บายมักจะเรียกกันว่า “ความอ่อนแอ” เป็นสภาพที่ผู้ชายไม่สามารถแข็งตัว ในขณะที่กำลังปฎิบติภารกิจทางเพศได้ ในบางครั้งอาการเสื่อมสมรรถภาพจะทำให้เกิดความต้องการทางเพศที่ลดน้อยลงอีกด้วย

สาเหตุที่มักนำไปสู่การเกิดอาการเสื่อมสมรรถภาพ
1.ความเมื่อยล้า อ่อนเพลีย
2.ความเครียด

 3.ปัญหาความสัมพันธ์
4.ความวิตกกังวลในเรื่องประสิทธิภาพเรื่องบนตียงของตัวเอง
5.การดื่มแอลกฮอลล์
ร้อยละ 72 ของคนที่ติดสุราเรื้อรัง ได้รับการวินิจฉัยว่ามีความผิดปกติทางเพศ รวมถึงอากรหลั่งเร็ว
 6.การสูบบุหรี่
7.โรคภัยต่างๆ
เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน ความอ้วน เส้นโลหิตตีบ โรคพาร์กิมสัน ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
การรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพแบบมาตราฐานั้น มีหลายวิธีเลยทีเดียว อาทิเช่น การใช้ยา ปั๊มสุญญากาศ  และการผ่าตัด แต่เชื่อว่าคุณผู้ชายส่วนใหญ่นิยมที่จะเลือกวิธีรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพจากธรรมชาติก่อน และจากการศึกษาวิจัยมากมายพบว่า มีตัวยาจากธรรมชาติหลายชนิด ที่ช่วยให้คุณสามารถรักษา และบรรเทาอาการเสื่อมสมรรถภาพของตัวเองได้จริง

ตัวเลือกวิธีการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพจากธรรมชาติ
 สิ่งแรกที่มีความสำคัญในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพ คือ การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตที่เพิ่มอัตราเสี่ยงให้ตัวเอง ได้แก่ หมั่นออกกำลังกาย เลิกสูบบุหรี่ ลดปริมาณเครื่องดิ่มแอลกฮออล์ เป็นต้น หลังจากนั้น คุณก็สามารถที่จะใช้สมุนไพร และอาหารที่มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกายจากธรรมชาติอื่นๆ ดังต่อไปนี้

         1.โสม การวิจัยโสมแดง ตั้งแต่ปี 2008 พบว่า การใช้โสมปริมาณ 600-1000 มิลลิกรัม สามครั้งต่อวัน สามารถช่วยในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ นอกจากนี้ในการศึกษากลุ่มขนาดเล็กจำนวน 35 คน ที่ได้รับโสมปริมาณ 150-200 มิลลิกรัมต่อวัน ต่อเนื่องกันในระยะเวลา 3 เดือน พบว่า พวกเขาเหล่านั้นมีประสบการณืทางเพศที่ดีขึ้น อย่างมีนัยยะสำคัญ ทำให้โสมแดงมักถูกเรียกว่า “ยาไวอะกร้า จากธรรมชาติ” เลยทีเดียว
 2.การฝังเข็ม การศึกษาที่หลากหลายชี้ให้เห็นว่า การฝังเข็มที่ถูกนำมาใช้ในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพตั้งแต่ปี 1999 นั้น ช่วยปรับปรุงการแข็งตัวในกิจกรรมทางเพศได้มากถึงร้อยละ 39 ของผู้เข้าร่วมการทดสอบ และในการศึกษาต่อมาในปี 2003 มีรายงานว่า ร้อยละ 21 ของผู้ที่มีปัญหาทางเพศ เมื่อได้รับการฝังเข็ม ก็จะมีอาการแข็งตัวที่ดีมากยิ่งขึ้น
3.DHEA หรือ Dehydroepiandrosterone เป็นฮอร์โมนธรรมชาติ ที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นได้เองจากต่อมหมวกไต มันสามารถแปลงเป็นได้ทั้งสโตรเจน และออร์โมนเพศชายภายในร่างกาย ซึ่งสามารถหา DHEA ได้จากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ทำจากลอย และถั่วเหลือง การศึกษาของมหาวิทยาลัยแมสซาซูเซต สหรัซอเมริกา พยบว่า ผู้ชายที่มีอาการนกเขาไม่ขัน มักมีระดับของ DHEA ต่ำ การศึกษษในปี 1999 พบว่า ผู้ชายที่ได้รับ DHEA ปริมาณ 50 มิลลิกรัม เป็นะระยะเวลานานครึ่งปี มีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในการรักษาอาการไม่แข็งตัวของเพศชาย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

สมุนไพรใกลัตัว ช่วยขับปัสสาวะ ขจัดสารพิษ

         หลายคนคงสังสัยว่า “การขับปัสสาวะ” คืออะไร พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การขจัดพิษออกจากร่างกายนั้นมีหลากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นทางลมหายใจ ทางอุจจาระ ทางผิวหนัง (เหงื่อ) เป็นต้น ซึ่งการขับปัสสาวะก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ต้องอาศัยน้ำเป็นตัวนำพาสำคัญ โดยมีวิธีการง่ายๆ เช่น ดื่มน้ำปริมาณที่เพียงพอกับร่างกายในแต่ละวัน ไม่มากหรือน้อยเกินไป ไม่เย็นหรือร้อนจัดเกินไป หรือการใช้ยาบำรุงขับปัสสาวะควบคู่ไปด้วย และอีกวิธีที่จะพูดถึงในบทความนี้ ก็คือการใช้สมุนไพรใกล้ตัวขับปัสสาวะนั่นเอง
         ทั้งนี้ การขับปัสสาวะโดยใช้สมุนไพรใกล้ตัว เป็นวิธีธรรมชาติโดยการกระตุ้นให้การขับถ่ายปัสสาวะมากขึ้น เพื่อให้สารพิษของเสียที่ตกค้างในร่างกายได้ขับออกมากขึ้น เร็วขึ้น เพื่อไม่ให้เซลล์ของร่างกายได้รับผลกระทบจากการตกค้างของสารพิษต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการทำให้การทำงานของร่างกายเสียสมดุล


สมุนไพรใกล้ตัว ช่วยขับปัสสาวะ

         1.กาแฟ เมล็ดมีคาเฟอีนเป็นยากระตุ้นหัวใจ ยากระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้นอนไม่หลับ โดยพบสาร Theophylline ซึ่งมีฤทธิ์ขับปัสสาวะที่ดีเยี่ยม แต่อย่างไรก็ดี จากการทดลองพบว่า การดื่มกาแฟทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เพราะมีสาร Theobromine ลดการดูดซึมธาติเหล็ก จึงควรดื่มกาแฟนอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะไม่ควรดื่มขณะท้องว่าง
         2.พริกไทย มีสรรพคุณใช้เป็นยาช่วยย่อยอาหาร ย่อยพิษตกค้างที่ไม่สามารถย่อยได้ ขับเสมหะ บำรุงธาตุ แก้ท้องอืด แก้ปวดท้อง ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะ แก้ลมอัมพฤกษ์และระดูขาว ในเมล็ดพริกไทยมีสารไปเปอรีน และสารฟินอลิกส์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็ง มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท และแก้โรคลมชักหรือลมบ้าหมูได้ ซึ่งเป็นสมุนไพรที่คนในบ้านเราใช้กันมานาน จึงไม่แปลกที่เมนูอาหารไทยจะนิยมใช้พริกไทยนี้ในการประกอบอาหาร

         3.ตระไคร้ มีสรรพคุณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแก้เสียดแน่น แสบบริเวณหน้าอก ปวดกระเพาะอาหารและที่สำคัญคือเป็นสมุนไพรขับปัสสาวะ บำรุงไฟธาตุ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะพิการได้ นอกจากนี้ยัง รักษาเกลื้อน แก้อาการขัดเบา ลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้ เป็นยาขับลม แก้ผมแตกปลาย เป็นยาช่วยให้ลมเบ่งขณะคลอดลูก ใช้ดับกลิ่นคาว แก้เบื่ออาหาร บำรุงไฟธาตุให้เจริญ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วปัสสาวะพิการ
         4.มะขามป้อม เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก และในผลมีสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์ ทำให้วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นาน ถึงจะมีรสเปรี้ยว ฝาด แต่หากนำมากินเป็นยาบำรุง ทำให้สดชื่น แก้กระหายน้ำ แก้ไอ แก้หวัด กระตุ้นน้ำลาย และเป็นสมุนไพรละลายเสมหะ ช่วยระบาย ขับปัสสาวะ แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้โรคคอตีบ คอแห้ง เป็นต้น
         5.มะพร้าว ในเนื้อมะพร้าวใช้รับประทานเป็นยาบำรุงกำลัง ขับปัสสาวะ ขับพยาธิ แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ เป็นต้น โดยสามารถนำไปทำเป็นน้ำมันมะพร้าว กินเป็นยาระบาย แก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ แก้พิษ แก้กระหายน้ำ แก้นิ่ว แก้อาเจียนเป็นโลหิต และบวมน้ำได้อีกด้วย อย่างไรก็ดี สามารถใช้รากสด นำมาต้มกินเป็นยาแก้ท้องเสีย ขับปัสสาวะ หรือเอาน้ำอมหรือบ้วน แก้เจ็บปากเจ็บคอได้ด้วย

         6.ถั่วเขียว สามารถนำเมล็ดมาต้มแล้วรับประทานเป็นยาขับ และยังใช้ในโรคอื่นๆได้ เช่น การคลอดลูกยาก โรคท้องมาน และท้องร่วง โดยถั่วเขียวเป็นพรรณไม้ที่ให้ประโยชน์มาก ทั้งทางด้านอาหารและในด้านที่ใช้เป็นยา หากนำถั่วเขียวมาเพาะเป็นถั่วงอก จะให้วิตามินเอ บี และซีสูงมาก มีประโยชน์มากมายด้านโภชนาการ
         7.แครอท ผลไม้น่ารับประทานนี้เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่จะช่วยในการขับปัสสาวะ เนื่องจากให้ปริมาณของเกลือโปแตสเซี่ยมสูง ซึ่งทำให้มีฤทธิ์ในทางขับปัสสาวะ โดยมีสาร carotene มีเป็นจำนวนมาก เมื่อรับประทานเข้าไปสาร carotene นี้จะเปลี่ยนเป็นไวตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสายตา สำหรับผู้ที่เป็นโรคตาฟาง นอกจากนี้ยังสามารถนำไปคั้นเอาน้ำผสมกับน้ำมะนาว ให้ใช้ทาตามบริเวณผิวหน้า เป็นยาบำรุงผิว ลบรอยเหี่ยว ย่นบนใบหน้าได้อีกด้วย 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รู้ลึกเกี่ยวกับยาไมเกรน บรรเทา และป้องกันให้ชีวิตคุณง่ายมากกว่าเดิม


ไมเกรน เป็นอาการปวดหัวข้างเดียวอันแสนน่ารำคาญ ที่ไม่สามรถรักษาให้หายขาดได้ แต่คุณสามารถใช้ยาไมเกรนเพื่อช่วยในการบรรเทาความเจ้บปวด และลดอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งในปัจจุบันยามไมเกรนก็ได้ถูกออกแบบมาให้มีความหลากหลาย อย่างเฉพาะเจาะจงในการต่อสู้กับอาการไมเกรน โดยในปัจจุบัน ยาไมเกรนถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท กว้างๆ ดังต่อไปนี้
1.ยาไมเกรนแบบบรรเทาอาการปวด หรือยาไมเกรนสำหรับบรรเทาอาการปวดแบบฉียบพลัน ที่ถูกออกแบบมาใช้ในการต่อต้านอาการไมเกรนที่เกิดขึ้นแล้ว

         เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คุณควรใช้ยาไมเกรนบรรเทาอาการปวดทันที เมื่อเกิดอาการขึ้น ยาไมเกรนสำหรับการบรรเทาอาการปวดนี้ ยังสารถช่วยทำให้อาการของคุณน้อยลง จนกระทั่งสามารถพักผ่อนนอนหลับในห้องที่มืดสนิทได้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งยายาไมเกรนสำหรับบรรเทาอาการปวด ที่แพทย์นิยมจ่ายให้ผู้ที่มีอาการปวดหัวไมเกรใช้ในปัจจุบัน ได้แก่
 -ยาบรรเทาปวดแอสไพริน หรือ acetaminophen เป็นต้น สามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนอ่อนๆได้
 -ยาต้านอาการอักเสบ nonsteroidal (NSAIDs)เช่น ibuprofen เป็นต้น สามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนอ่อนๆได้
 อย่างไรก็ตาม การทานยาไมเกรนเหล่านี้ติดต่อกันบ่อยครั้ง และยาวนานจนเกินไป ยาเหล่านี้อาจส่งผลข้างเคียงอันตราย ให้เกิดแผลเลือดออกในทางเดินอาหาร รวมไปถึงอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นจากการทานยามากจนเกิน หรืออาการคลื่นไส้ เป็นต้น
   2.ยาไมเกรนแบบป้องกันอาการ เป็นประเภทของยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยทั่วไป ซึ่งมักถูกนำมาใช้เป็นประจำทุกวัน เพื่อลดความรุนแรงหรือความถี่ในการเกิดอาการไมเกรนขึ้น

         การใช้ยาป้องกันไมเกรนนั้น สามารถช่วยลดความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาของการเกิดอาการปวดหัว รวมไปถึงลดความรุนแรงที่เกิดขึ้น เมื่อเกิดอาการไมเกรนขึ้น ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว แพทย์มักที่จะแนะนำให้คุณทานยาไมเกรนในชีวิตประจำวัน หรือเฉพาะเมื่อคาดเดาได้ว่า อาการปวดหัวไมเกรนจะเกิดขึ้นจากความเครียด หรือความเจ็บปวดทางร่างกาย อย่างเช่น เวลาใกล้ช่วงประจำเดือน เป็นต้น สำหรับยาป้องกันการเกิดอาการไมเกรนที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่
   -ยาที่ใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจ เบต้า ได้รับความนิยมนำมาใช้จัดการกับโรคไมเกรน ด้วยการลดความถี่ และความรุนแรงของอาการปวดหัวไมเกรนให้ลดลง โดยตัวยาที่นิยมนำมาใช้ ได้แก่ propranolol, artrate metoprolol และ timolo เป็นต้น หลังจากการใช้ยาเหล่านี้ต่อเนื่องกันนานหลายสัปดาห์ คุณจะสามารถเห็นผลลัพธ์ของอาการปวดหัวไมเกรนที่ลดลงได้เป็นอย่างดี
 อย่างไรก็ตาม ถ้าหากคุณมีอายุมากกว่า 60 ปี สูบบุหรี่ มีอาการที่เกี่ยวข้องกับหัวใจบางอย่าง หรือปัญหาด้านหลอดเลือด ขอแนะนำให้ทำการเลือกใช้ยาป้องกันไมเกรนชนิดอื่นๆ แทนยาประเภทเบต้า และยาเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบข้างเคียงกับร่างกายของคุณบ้าง เช่น ความแห้งกร้านของปาก ท้องผูก น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งผลกระทบในด้านอื่นๆ
 การเลือกยาไมเกรนนั้น หลักกการที่สำคัญ ให้อิงกับความถี่ของการเกิดอาการไมเกรน และความรุนแรงของอาการปวดว่ารุนแรงมากน้อยเพียงใด ซึ่งแพทย์จะทำการวิเคราะห์อาการ พร้อมกับให้ยาไมเกรนที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด เพราะยาบางชนิดไม่เหมาะกับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือยาบางชนิดก็จะไม่ถูกแจกจ่ายให้กับเด็กอย่างเด็ดขาด เป็นต้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ถ้าไม่อยากตายก่อนแก่ มารู้จักกับวิธีดูแล ป้องกันตัวเองจากโรค NCD กัน

         กลุ่มอาการโรค Non-Communicable Diseases (NCDs) หรือ “กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” เป็นชื่อเรียกของกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเชื้อโรค ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส คลุกคลี หรือติดต่อผ่านพาหะนต่างๆ เหมือนกับโรคติดต่อปกติโดยทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรค NCD นั้น เป็นโรคที่เกิดจากการใช้วิถีชีวิตอย่างไม่ระวัง ซึ่งเป็นโรคที่สามารถพบได้จากกับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในหมู่ “ผู้สูงอายุ” ที่มักเกิดขึ้นจากการสะสมต้นเหตุของโรคเอาไว้ด้วยการทำร้ายตัวเองตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว เมื่อล่วงพ้นเข้าสู่วัยกลางคน หรือวัยชรา ด้วยระบบการทำงาน และป้องกันโรคต่างๆของร่างกายลดน้อยลง ทำให้เกิดกลุ่มอาการของโรค NCD ขึ้น ซึ่งเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่ครองแชมป์การคร่าชีวิตของคนทั่วโลกในอันดับต้นๆเลยทีเดียว อาทิเช่น กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ กลุ่มโรคมะเร็ง กลุ่มโรคถุงลมโป่งพอง กลุ่มโรคเบาหวาน กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง และกลุ่มโรคอ้วนลงพุง เป็นต้น

โรค NCD เกิดขึ้นจากสาเหตุใดบ้าง
         1.พฤติกรรมการใช้ชีวิต มาจากปัจจัยต่างๆภายในร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากลักษณะการใช้ขีวิต ที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย ทานอาหารรสหวาน มัน เค็ม จัดจนเกินไป ความเครียด เป็นต้น
         2.โรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นโรคที่มักพบในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป โดยที่ร่างกายเกิดความผิดปกติในการสันดาปอาหารในกลุ่มให้พลังง่น เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
         3.ปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรม และอายุที่เพิ่มมมากขึ้นจะก่อให้เกิดปัญหาการเสื่อมสภาพของการทำงานอวัยวะต่างๆตามธรรมชาติ
 อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กลุ่มอาการของโรค NCD จะเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่มักจะไม่แสดงอาการหากไม่ถึงเวลาก็ตาม แต่หากชะล่าใจปล่อยเอาไว้โดยไม่ใส่ใจ ควบคุม และดูแลรักษาอย่างถูกต้องเสียตั้งแต่เนิ่นๆ อาการของโรค NCD ก็จะค่อยๆทวีความรุนแรงมากขึ้นทีละน้อย จนกว่าจะรู้ตัว คุณก็อาจจะป่วยหนักจากอาการรุมเร้าเสียแล้ว ซึ่งนั่นสายจนเกินที่จะสามารถแก้ไขได้เสียแล้ว

การดูแลรักษา และป้องกันตัวเองอย่างถูกต้อง ให้ห่างไกลจากกลุ่มอาการโรค NCD
 โดยส่วนใหญ่แล้ว สาเหตุสำคัญๆที่ก่อให้เกิดกลุ่มอาการของโรค NCD มักเกิดขึ้นจากพฤติกรรมเสี่ยงในชีวิตประจำวันของตัวเราเอง ซึ่งถ้าหากรู้ และเข้าใจในการปฎิบัตตัวอย่างถูกต้องแล้ว คุณก็สามารถที่จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรค NCDs กับตัวเองให้น้อยลงเป็นอย่างมาก ผ่านทางวิธีที่แสนง่ายดายเป็นอย่างมาก ดังต่อไปนี้

         1.หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกฮออล์ จากาการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่า ปริมาณการดื่มแอลกฮอลล์ของคนไทยมากเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย เฉลี่ยนคนละ 52 ลิตร ต่อปี เป็นกลุ่มวัยรุ่นมากถึง 17 ล้านคน หรือ คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด
 2.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ จากาการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่า การสูบบุหรี่ของประชากรไทยอยู่ที่ร้อยละ 21.40 หรือราวๆ 11.5 ล้านคน
3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเพียง 150 นาที ต่อสัปดาห์ ลดมะเร็งได้ 80% ลดอ้วนลงพุงได้ 50-90%
4.หลีกเลี่ยงอาหารที่มีหวาน มัน เค็มจัด การสำรวจพบว่า ประชากรไทยมีแนวโน้มในการบริโภคอาหารรสจัดเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆมาโดยตลอด คนไมยบริโภคน้ำตาลมากเกินพิกัด เฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา เกินกว่ามาคาฐานถึง 3 เท่า
 5.รู้จักการรับมือและหลีกเลี่ยงความเครียด
 6.พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่โหมทำงานหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงจนเกินไป
 อย่างไรก็ตาม การรักษาโรค NCDs จำเป็นที่จะต้องรักษาตามอาการของโรคที่เกิดขึ้น และควรได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง อีกทั้งยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรั้งที่มักเป็นตลอดชีวิต และมักมีอาการที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต การงาน และคุณภาพชีวิต เนื่องจากไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถที่จะควบคุมอาการของโรคได้ ด้วยการปรับเปลี่นพฤติกรรม ด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ ที่ได้ทำการนำไปแล้ว ซึ่งง่ายกว่าการรักษาเป็นอย่างมาก

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ดึงศักยภาพแฝงในร่างกายให้เกินร้อย ด้วยสารอาหารบำรุงประสาท

         ระบบประสาท ถือเป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีความสลับซัซ้อนมากที่สุด และยังมีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกาย เนื่องขากต้องคอยทำหน้าที่ควบคุม นำคำสั่งจากสมองไปยังอวัยวะต่างๆให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกัน เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันต่างๆ เป็นไปได้อย่างลุล่วงมากที่สุด ถ้าหากไม่มีการบำรุงประสาทที่มากเพียงพอ ก็จะทำให้การทำงานเหล่านั้นด้อยประสิทธิภาพลง อีกทั้งยังมีการสะสมความเครียด จนกระทั่งก่อให้เกิดผลเสียต่างๆตามมา ซึ่งในปัจจุบันก็มีสารอาหารที่น่าสนใจหลายชนิด ที่มีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงประสาทอย่างน่าสนใจที่ควรทราบ มีดังต่อไปนี้

สารอาหารบำรุงประสาทที่ควรเติมเต็มในชีวิตประจำวัน
 1.แอลธีอะนีน กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้มากในชาเขียว มีคุณสมบัติสำคัญในการช่วยผ่อนคลายระบบประสาทจากความตึงเครียด ด้วยการผลิต Gamma Amino Acid (GABA) สารอาหารที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อปราทประเภทยับยั้ง สร้างสมดุลของสารเคมีในสมอง ให้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย ส่งผลให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
 2.วิตามินบีรวม จากการศึกษาพบว่า วิตามินบีรวมเป็นหนึ่งในสารบำรุงประสาทที่ยอดเยี่ยม ต่อระบบประสาทการสื่อสารภายในสมอง
3.ARA กรดไขมันไม่อิ่มตัว เป็นสารบำรุงประสาทในส่วนจองการมองเห็น โดยการช่วยเสริมสร้างเซลล์ประสาทและสายตา สำหรับแหล่งของสารอาหารตัวนี้ สามารถพบได้จากอาหารทะล ปลาทะเล ปลาทูน่า เป็นต้น
 4.โอเมก้า-3 เป็นสารบำรุงประสาท ที่ช่วยเป็นอย่างมากในการพัฒนาเนื้อเยื่อของระบบประสาท สามารถพบได้มากในปลาทะเล และปลาน้ำจืดบางชนิด
 5.โอเมก้า-6 ช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ประสาท สามารถพบได้มากจากน้ำมันพืช เป็นต้น
6.ลูทีน ช่วยในการบำรุงระบบประสาทของดวงตา
7.ทอรีน เป็นสารบำรุงประสาท ที่ช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท เนื้อสมอง และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย สามารถพบได้มากจาก เนื้อสัตว์ ปลาทูน่า หอย และไข่ เป็นต้น

         8.สังกะสี ช่วยในการเสริมสร้างประสาทส่วนกลางในสมอง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
 9.วิตามินบี 12 ช่วยในการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ให้มีประสิทธิภาพดีมากยิ่งขึ้น
 10.วิตามินบี 5 ช่วยในการถ่ายทอดสัญญานประสาทเมื่อเกิดการกระตุ้น สารอาหารนี้พบมากในเนื้อวัว สัตว์ปีก ปลา และธัญพืชชนิดต่างๆ
 11.วิตามิน E ช่วยปกป้องกรดไขมัน ที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลลืประสาท ไม่ให้ถูกทำลายจากปฎิกริยาออกซิเดชั่น
12.วิตามิน C ช่วยส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาทให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 ถ้าหากระบบประสาทขาดการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอด้วยสารอาหารเหล่านี้ ก็จะทำให้ระบบประสาทขาดความสมบูรณ์พอที่จะทำงานได้อย่างเมประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง ซึ่งในชีวิตประจำวัน การที่จะสามารถรับประทานอาหารที่ให้สารบำรุงประสาทเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์นั้นออกจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากทีเดียว สำหรับใครที่กำลังมองหาสารอาหารเหล่านี้โดยเฉพาะ แล้วไม่ค่อยมีเวลาไปจับจ่ายซื้อหาอาหารที่ตลาดด้วยตัวเองจริงๆ ก็อาจจะใช้วิธีหาซื้ออาหารเสริมมารับประทานอย่างพอเหมาะ ก็ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

10 อาหารบำรุงสุขภาพ ภายใต้ราคาน้อยกว่า 35 บาท

         ถึงแม้ว่าในปัจจุบันราคาอาหารต่างๆ จะสูงมากขึ้นตามราคาน้ำมันโดยรวมของโลก แต่คุณก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้จ่าย เพื่อซื้อหาอาหารที่ช่วยในการบำรุงสุขภาพของตัวเอง ถึงแม้พวกมันจะมีราคาที่เพิ่มมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า “ราคา” จะกลายเป็นปัญหาสำคัญ ในการปิดกั้นตัวเลือกในการซื้อหาอาหารบำรุงสุขภาพของคุณ อันที่จริง ถ้าหากทำการศึกษาดีๆแล้ว คุณจะสามารถพบอาหารบำรุงสุขภาพในราคาที่ถูกมากกว่า 35 บาท ได้ตามท้องตลาดทั่วไปอย่างมากมายจนแทบไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ซึ่งราคาของอาหารบำรุงสุขภาพอาจจะแตกต่างกันออกไปบ้าง ตามฤดูกลา และช่วงเวลาเก็บเกี่ยวว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ สำหรับอาหารบำรุงสุขภาพที่น่าสนใจ ภายใต้ราคาแสนถูกเหล่านั้น มีดังต่อไปนี้

อาหารบำรุงสุขภาพ ในราคาแสนถูกที่เหมาะกับร่างกายของคุณ
1.แอปเปิ้ล เหมะอย่างยิ่งสำหรับเป็นอาหารขบเคี้ยว หรือเป้นส่วนผสมของสลัดผัก แอปเปิ้ล 1 ผล มีปริมาณ 117 แคลอลี่ ไฟเบอร์ 5 กรัม วิตามินซี 17% และโพแทสเซียม 7% ที่เหมาะสมสำหรับร่างกาย
   2.กล้วย เหมาะในการเป็นอาหารว่าง จัดรวมกับสลัดผลไม้ หรือนำไปทำเป็นโยเกิร์ต สมูทตี้ ได้อย่างยอดเยี่ยม กล้วยมีปรมาณ 121 แคลลอลี่ เส้นใยอาหาร 3.5 กรัม โพแทสเซียม 14%  โพแทสเซียม 20% และคุณค่าจากวิตามินซี
 3.แครอทหัวเล็ก เหมาะในการเป็นส่วนผสมของสลัด หรือเตรื่องเคียง ข้อมูลทางโภชนาการของแครอทหัวเล็ก มีปริมาณ 27 แคลอลี่ เส้นใยอาหาร 2 กรัม และวิตามินซี 7 %
 4.ถั่วกระป๋อง เหมาะในการนำไปทำสลัดที่เต็มไปด้วยสีเขียว และถั่วที่เลือกนั้น ควรมีปริมาณของโซเดียมน้อย และมีสำดำ สีขาว และสีเขียวเท่านั้น ถั่วกระป๋องสามารถให้พลังงาน 120 แคลอลี่ โปรตีน 6 กรัม และแคลเซียม 6% และ 10% ของธาตุเหล็ก
 5.มะเขือเทศกระป๋อง เหมาะในการนำไปเป็นเครื่องปรุงอาหารได้มากมายหลายเมนู ซอสมะเขือเทศจะให้คุณค่าทางอาหารประมาณ 25 แคลอลี่ ไฟเบอร์ 1 กรัม 15% ของวิตามิน A และ 15 % ของวิตามิน C
 6.ส้ม เหมาะสำหรับเป็นขนมขบเคี้ยว หรือเป็นส่วนประกอบของอาหารจานสลัด ส้มขนาด 8 ออนซ์ จะมีปริมาณ 106 แคลลอลี่ เส้นใย 5.5 กรัม วิตามิน A 10% วิตามินซี 17% โฟเลต 9% แคลเซียม และโพแทสเซียม 12%

         7.ลูกแพร์ เหมาะเป็นขนมขบเคี้ยว สลัดผักผลไม้ และอาหารที่ทานคู่กับชีส ลูกแพร์ขนาดใหญ่หนึ่งผล มีปริมาณ 133 แคลอลี่ เส้นใยอาหาร 7 กรัม วิตามินซี 16 % และโพแทสเซียม 8%
 8.ถั่วฟักยาว เหมาะสำหรับใช้ทำสลัด อาหารประเภทต้ม และเครื่องเคียง ข้อมูลทางโภชนาการของถั่วฝักยาว มีปริมาณ 195 แคลอลี่ โปรตีน 14 กรัม เส้นใยอาหาร 6 กรัม ธาตุเหล้ก 24% แมกนีเซียมและโปรแทสเซียม 10%
9.ข้าวบาร์เลย์แบบแห้ง เหมาะสำหรับใช้ในการประกอบอาหาร มีคุณค่าทางอาหาร 199 แคลอลลี่ เส้นใยอาหาร 9 กรัม เส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ 6 กรัม โปรตีน 8% และธาตุเหล็ก 8 %
 10.โยเกิร์ตรสธรรมชาติ เหมาะสำหรับการนำไปทำสมูทตี้ หรือทานตามปกติ โยเกิร์ตที่บรรจุอยู่ในภาชนะ และวางขายอยู่ทั่วไปนั้น มีคุณค่าทางอาหาร 130 แคลอลี่ โปรตีน 13 กรัม แคลเซียม 45% และเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด
 อาหารบำรุงสุขภาพเหล่านี้ หาซื้อได้ง่าย อีกทั้งยังมีราคาที่แสนถูก ดังนั้นใครที่กำลังกังวลในเรื่องของอาหารการกิน ว่าจะไม่ได้รับอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายของตัวเองนั้น คงไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอีกต่อไปอย่างแน่นอน

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

กลุ่มอาการ โรค NCDs ภัยเงียบไร้อาการ ที่คร่าชีวิตคนไทยกว่า 73% ต่อปี

         กลุ่มอาการโรค Non-Communicable Diseases (NCDs) หรือ “กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” เป็นชื่อเรียกของกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเชื้อโรค ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส คลุกคลี หรือติดต่อผ่านพาหะนต่างๆ เหมือนกับโรคติดต่อปกติโดยทั่วไป ในอดีตเชื่อกันว่ากลุ่มอาการโรค NCDs เป็น “โรคของคนรวย” แต่ที่จริงแล้ว กลุ่มอาการของโรค NCDs เป็นโรคที่ “คุณสร้างเอง/Life style diseas” หรือ เป็นโรคที่เกิดจากการใช้วิถีชีวิตอย่างไม่ระวัง ซึ่งเป็นโรคที่สามารถพบได้จากกับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในหมู่ “ผู้สูงอายุ” ที่มักเกิดขึ้นจากการสะสมต้นเหตุของโรคเอาไว้ด้วยการทำร้ายตัวเองตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่มีอายุน้อย ก็มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคในกลุ่มอาหาร NCDs สูงมากขึ้นเรื่อยๆ และ 1 ใน 4 ของผู้ที่เสียชีวิต อยู่ในช่วงอายุน้อยกว่ 60 ปี

สาเหตุหลักๆของการเกิดกลุ่มอาการโรค NCDs สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ
         1.พฤติกรรมการใช้ชีวิต มาจากปัจจัยต่างๆภายในร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากลักษณะการใช้ขีวิต ที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย ทานอาหารรสหวาน มัน เค็ม จัดจนเกินไป ความเครียด เป็นต้น
         2.โรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นโรคที่มักพบในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป โดยที่ร่างกายเกิดความผิดปกติในการสันดาปอาหารในกลุ่มให้พลังง่น เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
         3.ปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรม และอายุที่เพิ่มมมากขึ้นจะก่อให้เกิดปัญหาการเสื่อมสภาพของการทำงานอวัยวะต่างๆตามธรรมชาติ
ถึงแม้ว่ากลุ่มอาการโรค NCDs จะเป็นโรคติดต่อไม่เรื้อรัง แต่ถ้าหากไม่ได้รับการควบคุมรักษาอย่างถูกต้อง อาการของโรคเหล่านี้ก็จะค่อยๆรุนแรงมากขึ้นทีละน้อย แต่กลุ่มอาการโรค NCDs สามารถเกิดขึ้นพร้อมๆกันเป็นกลุ่มโรคได้ทีละหลายโรค ดังนั้นในหลายครั้งผู้ป่วยจึงมักมีอาการของโรคที่หลากหลาย และส่งผลต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก
 จากการศึกษาขององค์กรอนามัยโลก (WHO) ให้ความสำคัญกับกลุ่มอาการโรค NCDs อยู่ในระดับของปัญหาที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี พ.ศ.2554 กลุ่มอาการโรค NCDs ได้คร่าชีวิตของประชากรโลกโดยรวมมากกว่าสาเหตุการตายอื่นๆรวมกันมากดึง 36.2 ล้านคน ต่อปี  หรือคิดเป็น 63% ของประชากรโลก ที่น่าตกใจคือ กว่า 80% ของผู้ที่เสียชีวิต เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนาสำหรับในประเทศไทย จากสถิติเมื่อปี พ.ศ.2552 พบว่า มีผู้ป่วยจากกลุ่มอาการโรค NCDs กว่า 14 ล้านคน นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตของประชากรในประเทศไทย มากถึง 300,000 คน หรือคิดเป็น 73% ของผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมด สถิติการเสียชีวิตดั่งกล่าว แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลก และมีแนวโน้มว่าจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

6 กลุ่มอาการโรค NCDs ที่มีอัตราผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุด
 กลุ่มอาการของโรค NCDs ที่มีอัตราผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ได้แก่  โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ คิดเป็น 48% ของผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อทั้งหมด รองลงมาคือโรคมะเร็ง 21% โรคถุงลมโป่งพอง รวมโรคปอดเรื้อรังและหอบหืด 12% และโรคเบาหวาน 4 %
         1.กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ (Cardiovascular & Cerebrovascular Diseases ) ในปี  พ.ศ.2548 ประชากรโลก 17.5 ล้านคน เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ 80% อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และเป็นประชากรในกลุ่มวัยแรงงาน  ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ทำนายเอาไว้ว่า ในปี พ.ศ.2573 ประชากรโลกจะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ มากขึ้นเป็นกว่า 23 ล้านคน โดย 85% จะเกิดขึ้นกับประชากรของประเทศที่กำลังพัฒนา
         2.กลุ่มโรคมะเร็ง (Cancer) เป็นกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริยเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ ด้วยการแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกลายเป็นเนื้องอกร้าย ที่รุกรานเข้าสู่ร่างกายข้างเคียง มะเร็งอาจสามารถแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ ผ่านระบบน้ำเหลือง หรือกระแสเลือด
         3.กลุ่มโรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) มีผู้ป่วยกว่า 80 ล้านคน ทั่วโลก และมีอัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ยถึงปีละ 3 ล้านคน เป็นประชากรไทยเกือบ 1 แสนคน สำหรับสาเหตุหลักๆร้อยละ 90 คือ การสูบบหุรี่ โรคถุงลมโป่งพองจะส่งผลทำให้ปอดมีสภาพคล้ายกับลูกโป่งที่เคยเป่ามาแล้ว ตีบ และแคบ เมื่อทำการหายใจ ทำให้เกิดลมค้างอยู่ที่ปอดบีบออกไม่หมด ทำให้ไม่สามารถหายใจได้เต็มปอด อึดอัด แน่นหน้าอก ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยไม่พอต่อการใช้งาน
         4.กลุ่มโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 6.9 % หรือประมาณ 3.2 ล้านคน มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยเฉพาะประชากรชายที่มีน้ำตาลในเลือดสูง เพียง 56.7% ที่รู้ตัว และมีเพียง 21.1% ที่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้
         5.กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เมื่อค่าความดันโลหิตตัวบนเท่ากับหรือสูงกว่า 140 มม. ปรอท และค่าความดันโลหิตตัวล่างเท่ากับ หรือสูงกว่า 90 มม. ปรอท จะก่อให้เกิดแรงเลือดกระทำต่อผลนังหลอดเลือดที่มากเกินกว่ามาตราฐาน จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 21.4 % เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่มีอัตราของคนที่รับรู้ และการเข้ารับการรักาทางการแพทย์ที่ต่ำ ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
         6.กลุ่มโรคอ้วนลงพุง (Obesity) เป็นภาวะอ้วน ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับส่วนเอว เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่ในช่องท้องมากจนเกินควร ส่งผงให้หน้าท้องยื่นออกมาอย่างชัดเจน สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งคนที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตราฐาน และที่มากกว่ามาตรฐาน ซึ่งโรคอ้วนลงพุง มักที่ตะทำให้เกิดความผิดความผิดปกติอื่นๆของร่างกายร่วมด้วยอีกหลายโรค อาทิเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และระดับไขมันในเลือดสูง เป็นต้น จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 19.4 % หรือเกือบ 9 ล้านคน มีภาวะไขมันคอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งประชากรไทยเกือบ 1 ใน 3 เข้าข่ายภาวะน้ำหนักเกิน และอีกกว่า 8.5 % เข้าข่ายป่วยเป็นโรคอ้วน และจากการสำรวนสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงของคนไทยที่มีอายุมากกว่า 15 ปี ขึ้นไป พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่เป็นโรคอ้วนในช่วงเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเพศชาย ที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง (ปี พ.ศ.2535 – 2552) มากขึ้นถึง 4 เท่า

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เส้นทางสายธรรมชาติบำบัด ลดความดันสูง บำรุงโลหิตให้เป็นปกติ

         “โรคความดันโลหิตสูง” เป็นโรคที่เบียดเบียนสุขภาพของคนส่วนใหญ่ในโลก เพีงแค่ชาวอเมริกันประเทศเดียว ประชากรกว่า 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่วัยทำงาน ก็ต้องเผชิญหน้ากับโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคอันตรายนี้ ก็เป็นเรื่องแสนใกล้ตัวจนยากที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ อาทิเช่น อาหาร ความเครียด และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น
 เมื่อความดันโลหิตสูงมากขึ้น ความเสี่ยงในปัญหาสุขภาพด้านต่างๆก็จะพลอยมากขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลืองสมอง โรคหัวใจล้มห้ลว โรคไต เป็นต้น ซึ่งโรคความดันโลหิตสูง จำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจระดับความรุนแรง ซึ่งแพทย์จะได้ให้คำแนะนำ รวมไปถึงวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับตัวคุณมากที่สุด

เส้นทางสายธรรมชาติบำบัด สมุนไพรลดความดัน
 ท่ามกลางวิธีการลดความดันโลหิตสูงมากมาย ให้กลับมาสู่สภาวะปกตินั้น การรักษาและบรรเทาอาการโดยใช้สมุนไพรบำรุงโลหิตนั้น เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน การรักษาแบบดั้งเดิมโดยใช้สุนไพรบำรุงโลหิตนี้ ถึงแม้จะได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่คุณควรทำการปรึกษากับแพทย์ก่อนนำมาใช้ เพราะสมุนไพรบำรุงโลหิตบางตัว หากนำมาใช้ในปริมาณมากๆ อาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เมื่อคุณใช้ร่วมกับยาอื่นๆ ซึ่งสมุนไพรบำรุงโลหิต ที่ช่วยลดปรับความดันให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ มีดังต่อไปนี้
   1.โหระพา สมุนไพรบำรุงโลหิตแสนอร่อย กลิ่นฉุน ที่คุณสามารถพบได้บ่อยครั้งในอาหารไทย โหระพามีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงโลหิต ลดความดันโลหิตให้น้อยลง ดังนั้นการเพิ่มมันลงในมื้ออาหารของคุณจึงเป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะสามารถช่วยลดความดันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 2.อบเชย หนึ่งในสมุนไพรเครื่องเทศที่ช่วยเพิ่มรสชาติความอร่อยให้กับอาหาร ในขณะเดียวกันมันก็สามารถช่วยทำให้ความดันโลหิตของคุณลดน้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่มของคนที่เป็นโรคเบาหวาน การทานอบเชยเป็นประจำทุกวัน สามารถช่วยลดความดันโลหิตของคุณให้น้อยลงได้อย่างดีเยี่ยม
 3.กระเทียม สมุนไพรกลิ่นฉุนจัดนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร และกลิ่นไม่พึงประสงค์ในลมหายใจของตัวคุณ มันยังช่วยลดความดันโลหิต ด้วยการผ่อนคลาย ขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของโลหิตเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น

         4.ลาเวนเดอร์ กลิ่นหอมของลสเวนเดอร์ ได้ถูกนำมาใช้ผสมกับน้ำหอมเพื่อให้ได้กลิ่นที่หอมสดชื่น ก่อให้เกิดความผ่อนคลาย สมุนไพรบำรุงโลหิตชนิดนี้ ยังช่วยลดความดันโลหิตให้น้อยลง โดยเพียงแค่นำดอกลาเวนเดอร์มาวางเอาไว้ใต้หมอน หรือใช้น้ำมันลาเวนเดอร์มาวางเอาไว้ข้างๆเตียงในขณะที่คุณนอนหลับก็ได้เช่นกัน
5.โรสแมรี่ กลิ่นหอมของโรสแมรี่ สามารถช่วยให้คุณผ่อนคลาย และลดความดันโลหิตให้น้อยลงอย่างได้ผล สำหรับวิธีใช้ก็เพียงแค่คุณนำน้ำมันโรสแมรี่ มาวางเอาไว้ใกล้ เพื่อให้สามารถสูดกลิ่นที่แสนสดชื่นของมันในขณะที่นอนหลับได้อย่างเต็มที่เท่านั้น
 6.กรงเล็บแมว หรือ Cat’s Claw เป็นยาสมุนไพรในตำราของจีนโบราณ ที่มักถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง จากการศึกษาพบว่า กรงเล็บแม เป็นยาสำหรับรักษาความดันโลหิตสูง โดยทำห้าที่ในช่องแคลเซียมในเซลล์ ซึ่งคุณอาจจะสามารถหาซื้อสมุนไพรกรงเล็บแมวนี้ ได้จากร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไป
 7.กระวาน หรือ Cardamom เป็นสมุนไพรจากอินเดีย ที่มักถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหารของเอเชียใต้ การศึกษามากมายตรวนสอบผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสุขภาพของคนที่รับประทานกระวาน พบว่า การทานกระวานในชีวิตประจำวันเป็นระยะเวลานานหลายเดือน สามารถเห็นผลลัพธ์สัมพันธ์กับค่าความดันโลหิตที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

4 สุดยอดสมุนไพรบำรุงตับ

         ถ้าพูดถึงโรคตับ ก็บอกได้เลยว่ามีหลายชนิด ที่พบบ่อยก็ได้แก่ โรคตับแข็ง มะเร็งตับ ฝีในตับ ไวรัสตับอักเสบ และโรคตับอักเสบ เป็นต้น ซึ่งโรคเกี่ยวกับตับนั้นเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย พิษของยาบางชนิด การดื่มสุราเป็นประจำ การรับประทานอาหารสุกๆดิบๆ ฯลฯ
         จะเห็นได้ว่าตับเป็นอวัยวะภายในร่างกายที่ถูกทำร้ายได้ง่าย ดังนั้น การบำรุงตับให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้เราได้รวบรวมสุดยอดสมุนไพรบำรุงตับมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จัก แต่ขั้นแรกไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของตับกันก่อน จะได้รู้ว่าทำให้เราถึงต้องบำรุงตับ

 

ทำไมถึงต้องบำรุงตับ
         ตับมีหน้าที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ การสร้างน้ำดี ซึ่งออกมาในลำไส้ ช่วยให้อาหารประเภทไขมันถูกย่อย และดูดซึมง่ายขึ้น เก็บสำรองอาหาร โดยเก็บเอากลูโคส (GLUCOSE) ไปสะสมไว้ในเซลล์ตับ ในสภาพของกลัยโคเจน (GLYCOGEN) และจะเปลี่ยนกลัยโคเจนกลับออกมาเป็นกลูโคสในกรณีที่ร่างกายต้องการใช้ได้ทันที สะสมวิตามินเอ ดี และวิตามินบี 12 นอกจากนี้ยังกำจัดสารพิษที่ลำไส้ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับก็จะทำลายสารพิษบางชนิด ทั้งนี้ สารพิษบางชนิดก็อาจเข้าไปทำลายเซลล์ตับ เช่นแอลกอฮอล์ (ALCOHOL) คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (CARBON TETRACHLORIDE) และคลอโรฟอร์ม (CHLOROFORM) เป็นต้น
         ตับยังทำหน้าที่สร้างวิตามินเอจากสารแคโรตีน (สารสีส้มที่มีอยู่ในแครอตและมะละกอ) ธาตุเหล็กและทองแดงจะถูกเก็บสะสมอยู่ที่ตับ เช่นเดียวกับวิตามิน เอ ดี และบีสิบสอง สร้างองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด อาทิเช่น ไฟบริโนเจน (FIBRINOGEN) และโปรธรอมบิน (PROTHROMBIN) เป็นต้น

         และยังสร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด อันได้แก่ เฮปาริน (HEPARIN) ทำหน้าที่ในการกินและทำลายเชื้อโรคโดยมีเซลล์แมกโครฟาจ (MACROPHAGE) ที่อยู่ในตับ ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า คุฟเฟอร์เซลล์ (KUPFFER’S CELL) สุดท้ายหน้าที่ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเป็นแหล่งพลังงานสร้างความร้อนให้แก่ร่างกาย เห็นหรือยังว่าตับมีหน้าที่สำคัญมากมายในกระบวนต่างๆของร่างกาย จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องบำรุงตับ

สมุนไพรบำรุงตับ
         1.ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่มีมาแต่โบราณ และจัดเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาและบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลายต่อหลายโรค และยังใช้รักษาโรคตับอักเสบได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังไม่มีผลข้างเคียงให้ต้องกังวล โดยมีสรรพคุณยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสตับอักเสบ และช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อตับขึ้นมาใหม่ เพื่อทดแทนเนื้อเยื่อตับส่วนที่เสียหาย บรรเทาอาการตัวร้อนจากอาการกำเริบของไข้ที่เกิดจากความผิดปกติของตับ
         2.โสมเกาหลี เป็นสมุนไพรบำรุงตับที่จะช่วยป้องกันโรคตับอักเสบ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส ช่วยขจัดสารพิษและแอลกอฮอล์ในตับ หากปล่อยสารพิษเหล่านี้ติดต้างในตับ อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อตับอักเสบและมะเร็งตับในที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยในการเจริญอาหาร และระบบเผาผลาญ ระบบขับถ่ายดีขึ้น

         3.มะขามป้อม ผลไม้รสเปรี้ยวและอุดมไปด้วยวิตามินซี แม้จะมีรสขมและฝาด แต่มะขามป้อมยังถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคไวรัสตับอักเสบอีกด้วย อย่างไรก็ดี สตรีตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ห้ามใช้มะขามป้อมรักษาและบรรเทาอาการของโรค เนื่องจากทำให้ทารกในครรภ์แท้งได้
         4.ลูกใต้ใบ ใช้บำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ สร้างความสมดุลของไขมันในตับ หมอยาชาวจีนเชื่อว่า ถ้ากินลูกใต้ใบติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ รักษาอาการดีซ่าน ซึ่งก็คล้ายกับหมอยาพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียที่มีควมเชื่อว่า ลูกใต้ใบเกิดมาเพื่อตับ ใช้ต้มกินเป็นยาเพื่อแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบ ตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่าสารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เทคนิควิธี รักษาไมเกรน แสนง่าย ด้วยตัวเอง

         อาการปวดหัวไมเกรน ยังคงเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ ถึงแม้หลายๆคนจะพยายามหลักเลี่ยงปัจจัยต่างๆ รวมไปถึงการดำเนินชีวิต ที่คอยกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนขึ้น มักส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การรักษาไมเกรน บรรเทาอาการของมันให้น้อยลง ย่อมส่งผลดีต่อชีวิตประจำวันของคุณอย่างแน่นอน แต่ครั้นจะให้เดินทางไปทำการปรึกษษกับแพทย์ หรือตามหาซื้อยาบรรเทาอาการทุกครั้งที่เกิดอาการปวดหัวไมเกรนขึ้น ในทางปฎิบัติก็คงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นการรักษาไมเกรนเบื้องต้นด้วยตัวเอง เพื่อบรรเทา และป้องกันอาการปวดไม่ให้เกิดขึ้นนั้น จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับวิธีการรักษาไมเกรนด้วยตัวเองเบื้องต้นอย่างง่ายๆที่น่าสนใจนั้น มีดังต่อไปนี้

วิธีรักษาไมเกรนเบื้องต้น อย่างง่ายๆด้วยตัวเอง
บทความชิ้นนี้ได้ทำการรวบรวมเทคนิค และวิธีบรรเทารักษาไมเกรนอย่างง่ายๆ จากทั่วทุกมุมโลกเอามาไว้ให้คนที่กำลังมีอาการไมเกรนเกิดขึ้นกับตัวเอง ได้นำไปใช้เพื่อบรรเทาอาการให้น้อยลง ซึ่งมีวิธีที่น่าสนใจต่างๆ ดังต่อไปนี้
 1.อุณหภูมิร้อน-เย็น คุณสามารถใช้ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง หรือกระเป๋าใส่น้ำร้อน ประคบในบริเวณที่เกิดอาการปวดหัวไมเกรน อาบน้ำร้อน-เย็น หรือการแช่มือ-เท้า ลงในน้ำร้อน หรือเย็น วิธีการนี้จะสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี
 2.นวดกดจุด เป็นวิธีที่จำเป็นจะต้องขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ หรือการศึกษานวดกดจุดอย่างถูกวิธีในระดับหนึ่งก่อนการปฎิบัติจริง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น สำหรับการนวดกดจุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการรักษาไมเกรน คือ การนวดศรีษะ นักวิจัยในประเทศบลาซิล พบว่า การนวดเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย ในพื้นที่ด้านหลังของศรีษะที่ฐานของกะโหลก ช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การนวดกดจุดในบริเวณอื่นๆ อาทิเช่น นวดกดจุดที่มือ และที่เท้า ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
 3.น้ำมันกลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นธรรมชาติของลาเวนเดอร์ เป็นที่ทาบกันดีว่ามีคุณสมบัติช่วยในการลดอาการปวดหัว รวมไปถึงรักษาไมเกรน โดยการสูดดมตามปกติ หรือการผสมน้ำมันลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ลงไปในถ้วยน้ำเดือด แล้วทำการสูดดมไอที่ระเหยขึ้นมา
 4.น้ำมันสะระแหน่ เป็นยาตามธรรมชาติ ที่แสดงคุณสมบัติให้เห็นมานักต่อนักแล้วว่า มีประโยชน์ในการลดอาการปวดหัว และความเครียดให้น้อยลง โดยการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิดตให้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยเปิดทางให้ออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

         5.น้ำมันโหระพา สมุนไพรกลิ่นหอม เป็นน้ำมันตามธรรมชาติที่ทำหน้าที่ในการช่วยคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการรักษาอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นจากความเครียด และความแน่นตึงของกล้ามเนื้อ
6.แก้ไขด้วยอาหาร หนึ่งในวิธีการเยียวยาอาการไมเกรนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อาหารบางชนิดมีส่วนเกี่ยวกันกับอาการปวดหัว ความถี่ และความรุนแรงของอาการไมเกรน ซึ่งอาหารที่ส่งผลกระทบเหล่านั้นได้แก่ นม ช็อกโกแลต เนยถั่ว ถั่วลิสง ผลไม้บางชนิด อย่างอะโวคาโด กล้วย และส้ม หัวหอม เนื้อสัตว์ที่มีไนเตรด เช่น เบคอน ฮอทด็อก อาหารที่ผงชูรส กรดอะมิโนที่พบในไวท์แดง รวมไปถึงอาหารที่มีการหมักดอง เป็นต้น ถ้าหากคุณต้องการที่จะหลีกเลี่ยงอาการปวดหัวไมเกรน ก็จำเป็นที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงการทานอาหารเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
 7.Feverfew เป็นสมุนไพรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีประสิทธิภาพช่วยในการรักษาอาการปวดหัว วิธีพื้นบ้านนี้ได้รับความนิยมในช่วงปี 1980 ในประเทศอังกฤษ จากการวิจัยพบว่า ผู้ใช้ยาสมุนไพรนี้ร้อยละ 70 มีอาการปวดหะวไมเกรนลดน้อยลงกว่าเดิม ด้วยคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับยาแอสไพริน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.