ป้องกันอย่างไร ไม่ให้ตาเป็นต้อลม

         เมื่อพูดถึงโรคภัยที่เกี่ยวกับดวงตา บอกได้เลยว่ามันเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโรคต้อหิน ต้อกระจก ต้อเนื้อ หรือโรคเบาหวานขึ้นตาก็มี ซึ่งผลกระทบก็หนักเบาแตกต่างกันไปตามอาการ เลวร้ายที่สุดอาจทำให้ตาบอดได้ ถ้ารักษาไม่ทันการ
วันนี้เราจะมาพูดถึงโรคเกี่ยวกับตาโรคหนึ่ง ซึ่งดูผิวเผินอาจจะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ขึ้นชื่อว่าโรคภัยหากปล่อยไว้คงไม่ดีแน่ โรคที่ว่านี้คือ โรคต้อลม (Pinguecula) ซึ่งอาการของโรคจะทำให้รู้สึกเคืองตาบ่อยๆ ปวดหรือแสบๆที่ดวงตา ใครท่านมีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่อบอกว่ากำลังเผชิญกับตาเป็นต้อลมได้

 

โรคต้อลม คืออะไร
โรคต้อลม (Pinguecula) เป็นการเสื่อมของเยื่อบุตาขาวที่พบได้บ่อย หลายคนอาจคิดว่าเป็นเนื้องอกซึ่งไม่ใช่ เพราะตาเป็นต้อลมจะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อขนาดเล็ก นูน สีขาวหรือเหลืองอยู่บริเวณเยื่อบุตาขาว มักพบบริเวณทางด้านหัวตามากกว่าทางด้านหางตา หากไม่ได้รับการรักษาป้องกันอย่างถูกต้องอาจมีการลุกลาม เพิ่มขนาดใหญ่ขึ้น กลายเป็นแผ่นเนื้อเข้ามาในบริเวณกระจกตาดำได้ ซึ่งเรียกว่า “ต้อเนื้อ”
จากชื่อ “ต้อลม” อาจทำให้คิดได้ว่าสาเหตุหลักๆเกิดจากลม แต่ตัวการสำคัญเกิดได้จากหลายอย่าง ส่วนใหญ่ตาเป็นต้อลมเพราะการได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (รังสี UV) ที่มีในแสงแดด การสัมผัสกับลม ฝุ่น ควัน ความร้อนที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อบุตาขาว

วิธีป้องกันไม่ให้ตาเป็นต้อลม
ในบางรายอาจไม่แสดงอาการผิดปกติให้เห็น จึงทำให้ตาเป็นต้อลมโดยไม่รู้ตัว แต่บางกรณีที่ต้อลมมีขนาดใหญ่หรืออักเสบจะทำให้รู้สึกเคืองตา แสบตา น้ำตาไหล หรือมีอาการตาแดงในตำแหน่งของต้อลมร่วมด้วย เนื่องจากมีการอักเสบขยายตัวของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงบริเวณต้อลม และอาการจะเป็นมากขึ้นเมื่ออยู่กลางแจ้ง โดนแดด โดนลม
 วิธีการป้องกันไม่ให้ตาเป็นต้อลม โดยทั่วไปให้พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะทำให้เนื้อเยื่อลุกลามมากขึ้น ได้แก่ การไปในบริเวณที่มีลมแรงๆ แล้วไม่สวมแว่นตาป้องกัน ขับขี่หรือซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์โดยหันหน้าสู้ลมโดยไม่ใส่แว่น รวมถึงบริเวณที่มีฝุ่นควันมากๆ เช่น บริเวณที่อนุญาตให้สูบบุหรี่ พูดกันง่ายๆคือเราสามารถป้องกันไม่ให้ตาเป็นต้อลมได้ง่ายๆ ด้วยการคำนึงว่าแสงแดด ลม ควัน ฝุ่นละออง ทำให้ดวงตาได้รับความเสีย จึงจำเป็นต้องสวมใส่เครื่องป้องกันอยู่เสมอ เช่น แว่นกันแดด หน้ากาก หมวก เป็นต้น

 

การรักษาโรคต้อลม
 เมื่อทราบแน่ชัดแล้วว่าตาเป็นต้อลมแล้ว อันดับแรกต้องหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ลม ควันพิษ เพื่อต้อจะได้ไม่อักเสบ ต่อมาก็หยอดยาแก้เคืองก็ช่วยได้ แต่ถ้าต้อเนื้องอกเข้าตาดำมากๆ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการผ่าตัด เนื่องจากต้อเนื้อจะเกาะกับตาดำแน่น และเมื่อลอกแล้วมักจะเป็นแผลเป็นที่ตาดำ ยิ่งต้องอกเข้าไปเท่าไรก็เป็นแผลเป็นเท่านั้น ฉะนั้น ห้ามทิ้งต้อเนื้อเอาไว้จนปิดรูม่านตาเด็ดขาด เพราะแผลเป็นจะอยู่กลางตาดำ บังทัศนวิสัยการมองเห็นของเรา
การลอกต้อเนื้อมีหลายวิธี แพทย์จะเป็นผู้เลือกวิธีที่เหมาะสม โดยส่วนใหญ่มักจัดการด้วยวิธีการดังนี้
 วิธีที่ 1 ลอกต้อเนื้อโดยวิธีธรรมดา ทำโดยตัดต้อเนื้อออกจากเยื่อบุตา และลอกต้อส่วนที่ติดอยู่บนกระจกตาออก
วิธีที่ 2 ลอกต้อเนื้อตามวิธีที่ 1 ร่วมกับการวางแร่ซึ่งจะให้รังสีเบต้าออกมา ป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้
วิธีที่ 3 ลอกต้อเนื้อตามวิธีที่ 1 ร่วมกับการตัดเอาเยื่อบุตาที่ปกติจากส่วนบนของลูกตา มาปะลงบริเวณตาขาวที่ได้รับการลอกต้อเนื้อออกไปแล้ว เป็นการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำซึ่งได้ผลดีมากกว่าวิธีอื่นๆ
 และ วิธีที่ 4 ทำการผ่าตัดเช่นเดียวกับวิธีที่ 3 แต่ใช้เยื่อหุ้มรกซึ่งผ่านการเตรียมและเก็บรักษาไว้ มาใช้ปะแทนเยื่อบุตา

เป็นอย่างไรบ้างกับโรคต้อลมที่ฟังดูไม่น่ากลัว แต่เอาเข้าจริงหากเป็นมากๆแล้วปล่อยประละเลยอาจยกระดับเป็นโรคภัยที่ร้ายแรงได้ ซึ่งหากเลือกได้คงไม่มีใครอยากเข้ารับรักษาด้วยเพราะต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายแสนแพง เห็นไหมว่าการป้องกันนั้นดีกว่าการแก้ไขเป็นไหนๆ

         

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ไม่อยากสายตาแย่ควรทราบ วิตามินบำรุงสายตาดีๆมีอะไรบ้าง?

         หลายคนอาจจะเคยได้ยินผลงานวิจัย หรือคำโฆษณามากมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆว่ามีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงสายตา หรือป้องกันกระบวนการเสื่อมของสายตาได้ดีอย่างโน้นดีอย่างนี้มาอย่างมากมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเหล่านั้น ยังไม่ได้รับการวิจัยในเชิงคลีนิกว่าสามารถส่งผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมต่อสายตาได้ตามคำกล่าวอ้างของตัวเองหรือไม่ ดังนั้นสิ่งแรกที่คุณควรทำเพื่อเป็นการช่วยปกป้องสุขภาพสายตาของตัวเอง ควรทำการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวิตามินบำรุงสายตาประเภทต่างๆ ที่บทความชิ้นนี้ได้ทำการรวบรวมเอามาไว้เพื่อให้เป็นความรู้ เพื่อให้คุณสามารถมองหาอาหาเสริมที่มีส่วนผสมของวิตามินบำรุงสายตาที่ช่วบำรุงวิสัยทัศน์ในการมองเห็นของคุรได้อย่างแท้จริง

วิตามินบำรุงสายตาที่ดี และได้ผลจริงๆมีอะไรบ้าง?
ก่อนที่คุณจะไปเที่ยวถามคนอื่นๆ เภสัชกร หรือแพทย์ในส่วนผสมและปริมาณของวิตามินบำรุงสายตาในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมต่างๆว่าได้ผลมากน้อยเพียงใด คุณสามารถศึกษาปริมาณของวิตามินบำรุงสายตาที่เหมาะสมที่ควรมีได้จากปริมาณเปรียบเทียบความเหมาะสม ที่คุณสามารถทำการสังเกตได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆจากฉลากข้างขวดผลิตภัณฑ์เหล่านั้น ดังต่อไปนี้
 1.วิตามินซี ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 250 มิลลิกรัม
2.วิตามินอี ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 200 มิลลิกรัม
3.เบต้าแคโรทีน ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 5,000 IU
4.สังกะสี ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 25 มิลลิกรัม
5.ซีแซนทีน ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 500 ไมโครกรัม
 6.ลูทีน ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 10 มิลลิกรัม
     7.แคลเซียม ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 500 มิลลิกรัม
8.วิตามินบี ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 2 มิลลิกรัม
9.กรดโฟลิก ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 800 ไมโครกรัม
10.โอเมก้า-3 กรดไขมันที่จำเป็น (รวมถึงน้ำมัน Flaxseed) ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 2,000-3,000 มิลลิกรัม
11.Cysteine N-acetyl ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 100 มิลลิกรัม
12.อัลฟาไลโปอิคกรด ควรมีส่วนผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์อย่างน้อย 100 มิลลิกรัม
ในความเป็นจริงแล้ว เป็นไปได้ยากเป็นอย่างมากที่จะหาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสักชิ้นที่มีส่วนประกอบของวิตามินบำรุงสายตาทั้งหมดนี้ แต่คุณก็สามารถที่จะเลือกผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนประกอบของวิตามินบำรุงสายตาให้ได้มากที่สุด และอย่าลืมตรวจสอบฉลากทุกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้ในส่วนผสมที่ต้องการ

การพิจราณาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของวิตามินบำรุงสายตาอย่างดีที่สุด
1.ให้แน่ใจเสมอว่าผลิตภัณฑ์ที่คุณซื้อมีความสดใหม่ และอย่าลืมดูวันหมดอายุทุกครั้ง
2.ผลิตภัณฑ์ หรือขวดบรรจุภัณฑ์ ควรจะปิดสนิท
3.มองหาบริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงที่มีคุณภาพได้รับความไววางใจอย่างยาวนาน
4.เลือกผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบอินทรีย์ ที่อาจจะมีราคาแพงกว่า แต่คุณภาพที่ได้รับก็จะยิ่งมีคุณภาพที่ดีมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
5.ผลิตภัณฑ์ไม่มีการปนเปื้อนจากสารปรอท ข้าวสาลี ข้าวโพด และนม ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาต่อระบบทางเดินอาหารของคุณ
 อย่างไรก็ตาม ในการรับวิตามินบำรุงสายตาเข้าไปในร่างกาย คุณควรที่จะทำการตรวจสอบร่างกายของตัวเองก่อนว่าจะมีแนวโน้มที่จะปวดท้องจากการทานอาหารเสริมแบบเม็ด หรือแบบผงเพียวๆหรือไม่ ถ้าหากร่างกายของคุณมีโอกาสเกิดปฎิกริยาดังกล่าวขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์อาหารเสริมแบบแคปซุล จะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า สำหรับระบบดูดซับของคุณ ถ้าหากคุณใส่ใจกับข้อแนะนำเหล่านี้อย่างใสใจแล้วล่ะก็ รับรองว่าคุณจะได้รับวิตามินบำรุงสายตาที่ดี และช่วยในการบำรุงวิสัยทัศน์ในการมองเห็นของคุณให้ดีมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากมายหลายเท่าเลยทีเดียว

วิตามินซี หาซื้อง่าย ราคาถูก แถมยังช่วยบำรุงสายตาอย่าวได้ผล
         หลังจากที่ได้ทำการอ่านบทความเกี่ยวกับวิตามินที่มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงสายตาชิ้นนี้จบแล้ว เชื่อว่าหลายๆคนคงจะเห็นถึงคุณสมบัติ แล้ะจำนวนปริมาณที่พอเหมาะต่อร่างกายในแต่ละวัน โดยเฉพาะวิตามินซี ที่ร่างกายต้องการอย่างน้อยมากถึงวันละ 250 มิลลิกรัม เพื่อใช้ในการบำรุงสายตา ผิวพรรณ อวัยวะอื่นๆของร่างกาย และยังช่วยในการเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโรคต่างๆได้อย่างมากมาย จนกระทั่งวิตามินซีถูกขนานนามว่า เป็นวิตามินแห่ง “ความงาม” กันเลยทีเดียว ทำให้ในปัจจุบันก็ได้มีผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินซีสำเร็จรูปออกมาวางขาย สำหรับคนที่อาจจะไม่สามารถเลือกอาหารที่ทานเข้าไปให้มีจำนวนของวิตามินซีอย่างพอเหมาะได้อร
สำหรับใครที่กำลังมองหาผลิตภัณฑ์วิตามินซีดีๆสักชิ้น  เราขอแนะนำผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง ที่มีประสิทธิภาพน่าสนใจ นั่นก็คือ  Daily Vits ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินซีธรรมชาติสกัดจาก Acerola Cherry ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงถึง 1500 mg. เพียงทานวันละ 1 เม็ด ก็พอเพียงสำหรับความต้องการในการเสริมสร้างร่างกาย บำรุงผิวพรรณ ให้ขาว นุ่มเนียน สดใส ลดรอยเหี่ยวย่น พร้อมเสริมภูมิคุ้มกันแก่ร่างกายให้แข็งแรง ลดโอกาสการเกิดโรคภัยต่างๆ อย่างพอเหมาะสำหรับหนึ่งวัน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เชื้อราผิวหนัง รักษาอย่างไรด้วยตัวเองจากส่วนผสมธรรมชาติ

         โรคผิวหนัง เป็นสิ่งสร้างความรำคาญให้กับคนที่เป็นไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะของเชื้อราผิวหนัง ที่ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอาการคันๆ แปลกที่ผิวหนัง ยังรวมไปถึงเรื่องของภาพลักษณ์ของอาการเชื้อราผิวหนัง ที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนจนกระทั่งคนที่เป็น มักเกิความอายในบริเวณที่เป็นอีกด้วย ซึ่งหากใครกำลังเกิดปัญหาเชื้อราผิวหนัง และกำลังมองหาว่าเชื้อราผิวหนัง รักษาอย่างไรนั้น  สามารถติดตามอ่านได้จากบทความชิ้นนี้กันเลย ซึ่งส่วนใหญ่ที่กำลังจะนำเสนอดังต่อไปนี้ เป็นวิธีง่ายๆที่ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ และสามารถทำได้เองอย่างง่ายๆที่บ้าน

ชื้อราผิวหนัง เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร?
   เชื้อราที่ผิวหนัง มักเกิดขึ้นและบุกรุกเข้าสู่ชั้นผิวผ่านการเติบโตในเคราตินที่ตายแล้ว ซึ่งเคราตินเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนที่ทำให้ผิวของคุณ และเล็บ ซึ่งเชื้อราผิวหนังเองก็มีหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันออกไป โดยแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ตามชนิดของเชื้อราที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่อย่างไรก็ตามโดยพื้นฐานของเชื้อรายังคงชื่นชอบพื้นที่เปียกชื้น ดังนั้นบ่อยครั้งเชื้อราผิวหนังจึงมักเกิดขึ้นหลังจากการซักผ้า ที่คุณไม่ได้จัดการดูแลให้หายเปียกชื้น ทำให้รอยพับของผิวกลายเป็นสถานที่ที่ในการเพาะพันธุ์เชื้อราที่ดี

วิธีการเยียวยาธรรมชาติสำหรับเชื้อราผิวหนัง รักษาอย่างไรให้ดี
 เชื้อราผิวหนัง รักษาได้เอง โดยการใช้ยาทาในบริเวณผิวหนังที่มีผลกระทบ ซึ่งเรียกว่าเป็นการรักษาเฉพาะ ที่มีความหลากหลายในการรักษาไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของครีม, โลชั่น, แชมพู และผงยา การรักษาเหล่านี้คุณสามารถทำได้โดยการหาซื้อจากเภสัชกรโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยา คุณสามารถปรึกษาและขอซื้อยาเชื้อราผิวหนัง รักษาได้เองด้วยเพียงแค่ขอคำแนะนำจากเภสัชกรเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณได้รับผลกระทบจากเชื้อราผิวหนังขนาดใหญ่บนผิว หรือเริ่มมีผลกระทบต่อหนนังศรีษะ คุณอาจจำเป็นที่จะต้องพึ่งการรักษาโดยพึ่งการรักษาจากแพทย์โดยตรง แต่ถ้าหากคุณกำลังมองหาวิธีการรักษาเชื้อราผิวหนังจากวิธีธรรมชาติล่ะก็ เพียงแค่ทำตามคำแนะนำดังต่อไปนี้ก็เพียงพอแล้ว
 1.ดิน+น้ำสมสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นการรวมคุณสมบัติในการรักษาเชื้อราผิวหนัง ด้วยการต่อต้านอาการคัน พร้อมกับการอักเสบของผิวหนังในเวลาเดียวกัน สำหรับวิธีการเพียงแค่การใช้ดินเหนียวทาบริเวณที่มีอาการ หรือใช้ดินผสมกับน้ำสมสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ ให้เกิดฟองเล็กน้อย แล้วนำส่วนผสมไปใช้ในบริเวณที่เกิดเชื้อราผิวหนังได้เลย

         2. ใบโหระพา มีส่วนผสมของสารที่เรียกกันว่าการบูร และไทมอล เพียงแค่คุณนำใบโหระพาถูลงบนผิวที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อราได้โดยตรง
 3.ว่านหางจระเข้ มีประโยชน์ในการช่วยรักษาและลดอาการระคายเคืองของผิวหนังทุกชนิด และยังช่วยในการรักษาอาการผิวไหม้จากแดด เพียงแค่คุณนำเจลใสช้างในที่ทำการล้างน้ำยางที่ติดมากับเปลือกออกจนสะอาดแล้วทาลงไปยังผิวที่ระคายเคืองเป็นประจำ ผิวก็จะค่อยๆได้รับการรักษาฟื้นฟูให้กลับมามีสภาพที่ดีสมบูรณือีกครั้ง
 4.เปลือกกล้วย เป็นหนึ่งในเคล็ดลับเด็ดที่หลายๆคนไม่เคยทราบมาก่อน เพียงแค่การใช้เปลือกกล้วยถูในบริเวณเชื้อราผิวหนังเท่านั้น
 5.เปลือกแตงโม เองก็มีคุณสมบัติในการรักษาเชื้อราผิวหนัง ได้ดีเหมือนกับเปลือกกล้วยเช่นกัน
 6.ข้าวโอ๊ต มีส่วนประกอบของสารที่ชื่อว่า avenanthramides ที่ช่วยลดการอักเสบ แม้แต่ในการรักษาโรคอีสุกอีใส ยังสามารถรักษาได้ด้วยการอาบน้ำที่ผสมข้าวโอ๊ตอีกด้วย หรืออาจจะใช้วิธีผสมขาวโอ๊ตดิบเข้ากับน้ำให้เข้ากันจนข้น จากนั้นคุณก็จะได้ยาพอกที่พร้อมใช้ในการรักษาโรคเชื้อราผิวหนัง ด้วยตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคหัวใจ อาการเริ่มต้นเป็นยังไง มาดูกัน

         เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคหัวใจคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ โดยสถิติจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า โรคหัวใจคร่าชีวิตคนทั่วโลกถึงปีละ 17 ล้านรายต่อปี ในขณะที่สถานการณ์โรคหัวใจในประเทศไทย มีสถิติผู้เสียชีวิตมากถึงชั่วโมงละ 4 ราย นับเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 3 รองจากอุบัติเหตุและโรคมะเร็ง โดยกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าปัจจุบันสถิติผู้ป่วยโรคหัวใจมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นเป็น 3 เท่าในรอบ 10 ปี
 หัวใจเป็นอวัยวะที่เป็นกล้ามเนื้อ ถ้าเปรียบเทียบกับเครื่องจักรที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไป มันก็คงทำงานเหมือนเครื่องปั้มน้ำ โดยมีหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปยังอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย โดยในแต่ละวันที่เรามีชีวิตอยู่ หัวใจจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้ง และสูบฉีดเลือดประมาณวันละ 2,000 แกลลอน หัวใจที่เปรียบดังเครื่องจักร มันก็ย่อมทำงานผิดปกติหรือเสื่อมถอยลงไปตามกาลเวลา ดังนั้น เพื่อเป็นการรู้เท่าทันว่าโรคหัวใจกำลังมาเยือน มาดูกันว่าโรคหัวใจ อาการเริ่มต้นเป็นยังไง

 

อาการเริ่มต้นของโรคหัวใจ
1.เจ็บหน้าอก
โรคหัวใจ อาการเริ่มต้นจะเจ็บอวัยวะตั้งแต่ผิวหนังของทรวงอกไปจนผิวหนังของหลัง ทั้งนี้ อวัยวะในทรวงอก เช่น หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด เยื่อหุ้มปอด หลอดอาหาร หลอดเลือดแดงใหญ่ กระดูกหน้าอก กระดูกซี่โครง เต้านม กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก เมื่อมีโรคหรือการอักเสบก็อาจทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้เช่นกัน แต่ลักษณะอาการเจ็บหน้าอกจะแตกต่างกัน จึงต้องสังเกตดูให้ดีก่อนฟันธง
อาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ มีลักษณะดังนี้
   – เจ็บแน่นๆ อึดอัด บริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้าย หรือทั้งสองด้านส่วนใหญ่จะเจ็บด้านซ้าย บางรายจะร้าวไปที่แขนซ้าย หรือทั้งสองข้าง หรือจุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน
– อาการเจ็บหน้าอกจะเกิดในขณะออกกกำลัง เช่น วิ่ง เดินเร็วๆ รีบขึ้นบันได โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง หากเป็นโรคหัวใจ อาการเจ็บจะไม่เกิน 10 นาที
 – สำหรับผู่ที่มีอาการรุนแรง อาการแน่นหน้าอกอาจเกิดขึ้นในขณะพัก เช่น นั่ง นอน หรือหลังอาหาร พักไม่หาย อมยาก็ไม่หายปวด
 – กรณีที่เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาการจะรุนแรงมาก อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย เช่น เหงื่อออกมาก เย็นปลายมือปลายเท้า หน้ามืดเป็นลม หายใจลำบาก
อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้มาจากโรคหัวใจ มีลักษณะดังนี้
 เจ็บเหมือนถูกของแหลมแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก อาการเจ็บเกิดขึ้นในขณะพัก มีอาการนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน และรุนแรงมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่า หรือขยับตัว หรือหายใจเข้าลึกๆ อาการเจ็บอาจร้าวขึ้นศีรษะ ปลายมือ ปลายเท้า
2.ใจสั่น
ใจสั่นหมายถึงการที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือเต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆ อาการดังกล่าวพบได้ในคนที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ โรคปอด เกลือแร่ผิดปกติ ซึ่งการตรวจวินิจฉัยกลุ่มอาการใจสั่นเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการชั่วขณะ เมื่อมาพบแพทย์อาการดังกล่าวก็หายไปแล้ว แพทย์จึงไม่สามารถให้การวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือไม่
 โดยแพทย์จะตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งอาจจะปกติในขณะที่ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ดังนั้น ท่านควรศึกษาวิธีจับชีพจรตัวเอง เมื่อเกิดอาการว่าหัวใจเต้นกี่ครั้งในเวลา 1 นาที และสม่ำเสมอหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำขึ้น

3.หอบ
 คำว่า เหนื่อย หอบ ในความหมายของแพทย์ หมายถึงอาการหายใจไม่พอ มีอัตราการหายใจมากกว่าปกติเมื่อออกกำลังกายหรือทำกิจวัตรประจำวัน เมื่อเทียบกับอดีตหรือเทียบกับคนอายุเดียวกัน แต่ในความหมายของผู้ป่วยอาจรวมไปถึง อาการเหนื่อยเพลีย หมดแรง เหนื่อยใจ ทั้งนี้ ถ้าไม่มีอัตราหายใจเร็วก็ถือว่าไม่ใช่หอบเหนื่อยจากหัวใจ
โรคหัวใจ อาการเริ่มต้นจะหอบ เหนื่อยง่าย หายใจเร็ว เวลาออกแรง เช่น เดิน วิ่ง ทำงาน โดยเป็นเวลาออกแรง แต่ผู้ที่มีอาการรุนแรง จะเหนื่อยในขณะพัก บางรายจะเหนื่อยมากจนนอนราบไม่ได้ ต้องนอนหนุนหมอนสูงหรือนั่งหลับ อย่างไรก็ดี อาการเหนื่อยแบบหมดแรง มือเท้าเย็นชา พูดก็เหนื่อย แต่ยังเดินไปมาได้ เหล่านี้มักจะไม่ใช่อาการเหนื่อยจากโรคหัวใจ
4.เป็นลมวูบ หมดสติ
อาการวูบในความหมายของแพทย์จะตรงกับภาษาอังกฤษว่า syncope หมายถึง การหมดสติ หรือ เกือบหมดสติชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืด จะเป็นลม ตาลาย มองเห็นภาพไม่ชัดเจน โดยมีอาการชั่วขณะ
 ซึ่งการเป็นลมวูบ หมดสตินี้ไม่รวมถึงอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน โคลงเครง วูบวาบตามตัว หายใจไม่ออก อาการวูบหรือหมดสติดังกล่าวอาจเกิดจาก ความผิดปกติของสมอง เช่น ลมชัก เลือดออกในสมอง ความผิดปกติของหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง หรือหยุดเต้นชั่วขณะ หรือความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจ นอกจากนั้นแล้ว “วูบ” ยังอาจพบได้ในคนปกติที่ขาดน้ำทำให้ความดันโลหิตต่ำ เสียเลือด ท้องเสีย ไม่สบาย ขาดการออกกำลังกาย ยาลดความดันโลหิต
5.ขาบวม
 การบวมในผู้ป่วยโรคหัวใจเกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวก จึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น อาการบวมมักจะเป็นตอนสายๆ เช้าตื่นมาอาจจะไม่บวมหรือบวมไม่มาก แต่สายๆจะบวมมากขึ้น โรคเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบเรื้อรังก็ให้อาการเช่นนี้ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมีอาการขาบวม แพทย์จำเป็นต้องตรวจหลายระบบเพื่อหาสาเหตุ จึงจะสามารถให้การรักษาได้ถูกต้อง

คงพอทราบกันแล้วว่าโรคหัวใจ อาการเริ่มต้นเป็นยังไง ทีนี้ถ้าหากพบว่าตัวเองหรือคนรอบข้างมีอาการดังกล่าว เพื่อให้แน่ใจควรเข้าไปพบแพทย์ปรึกษาอาการ และรับการรักษาโรคหัวใจให้ทันท่วงที เพราะโรคหัวใจถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้อื่นได้อย่างฉับพลัน แต่ก็สามารถป้องกันหรือทำให้อาการดีขึ้นได้หากเรารู้เท่าทันมัน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคมือเท้าปาก เกิดจากอะไร แล้วป้องกันได้อย่างไร

         โรคมือเท้าปาก (Hand, foot and mouth disease) เป็นโรคติดเชื้อในมนุษย์ที่ โดยโรคมือเท้าปาก เกิดจากไวรัสในแฟมิลีพิคอร์นาไวริดี ซึ่งสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคนี้ที่พบบ่อยที่สุดคือไวรัสคอกแซคกี เอ และ Enterovirus 71 เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ ค็อกแซกกีเอชนิด 16 ซึ่งทำให้เกิดอาการที่ไม่รุนแรงและส่วนใหญ่จะหายได้เอง ขณะที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงจะพบได้น้อยคือ ไวรัสเอนเทอโรชนิด 71
 โรคมือเท้าปากส่วนใหญ่พบในเด็กอายุน้อยกว่า 10 ปี โดยเฉพาะกลุ่มอายุตํ่ากว่า 5 ปี เป็นโรคที่พบได้บ่อย ติดต่อได้ค่อนข้างง่าย โดยโรคมือเท้าปาก เกิดจากการสัมผัสสารคัดหลั่ง เช่น น้ำลาย น้ำมูก หรืออุจจาระของผู้ป่วย รวมถึงการกินอาหาร น้ำดื่ม การดูดเลียนิ้วมือ หรือของเล่นที่ปนเปื้อนเชื้อที่ออกมากับอุจจาระน้ำเหลืองจากตุ่มน้ำที่ผิวหนัง หรือละออง มักมีการระบาดในสถานเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียนอนุบาล ส่วนใหญ่พบในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูใบไม้ร่วง โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 3-7 วัน
จากข้อมูลเฝ้าระวังโรคจากทุกจังหวัดในประเทศไทย ของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่ 1 มกราคม จนถึง 15 กันยายน พ.ศ.2557 พบผู้ป่วย 52,347 ราย เสียชีวิต 1 ราย แต่ยังไม่พบการระบาดรุนแรงในประเทศไทย

 

วิธีสังเกตอาการแรกเริ่มของโรคมือเท้าปาก
 เริ่มรู้จักกับโรคมือเท้าปาก เกิดจากอะไร มาดูนี้มีอาการแรกเริ่มอย่างไรบ้าง เพื่อจะได้ป้องกันอันตรายให้คนรอบข้าง โดยเฉพาะบุตรหลานของท่านได้ทันท่วงที โดยอาการแรกที่มักพบในผู้ป่วย ได้แก่ การมีไข่เฉียบพลัน ปวดหัว ปวดท้อง เมื่อยตัว มีอาการเจ็บคอ เบื่ออาหาร เด็กจะไม่ยอมทานอะไรเลยเพราะเจ็บแผลในปาก และมีน้ำลายเหนียว ไหลยืดมากผิดปกติอยู่ตลอดเวลา
 ถ้ามีอาการดังกล่าวพอเวลาผ่านไปสัก 2 วัน เพดานปากจะเป็นแผล รับประทานอาหารและน้ำไม่ได้ ถ้าเป็นเด็กมักร้องไห้งอแงตลอดเวลา และหลังจากนั้นอีก 2 วัน จะมีตุ่มใสขึ้นตามมือ เท้า ลำตัว และก้น อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผู้ป่วยรับประทานไม่ได้ ผู้ปกครองต้องคอยป้อนน้ำให้บ่อยที่สุด เพราะเด็กอาจมีอาการขาดน้ำได้

การป้องกันโรคมือเท้าปาก
 แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ แต่การป้องกันที่สำคัญคือ ควรหมั่นล้างมือ ทำความสะอาดของเล่น และสิ่งแวดล้อมทุกวัน หรือพูดง่ายๆการรักษาสุขอนามัยที่ดีอยู่ตลอดเวลา หมั่นทำความสะอาดโดยใช้สบู่ ผงซักฟอก หรือน้ำยาชะล้างทำความสะอาดทั่วไปแล้วทำให้แห้ง ระมัดระวังในความสะอาดของน้ำ อาหาร และสิ่งของทุกๆอย่างที่เด็กอาจเอาเข้าปาก ไม่ให้เด็กใช้ของเล่นที่อาจปนเปื้อนน้ำลาย หรืออุปกรณ์การรับประทานร่วมกัน ควรสอนให้เด็กๆใช้ช้อนกลาง และล้างมือก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง


การบรรเทาอาการเมื่อเกิดโรคมือเท้าปาก
 หากเกราะป้องกันโรคที่ทำไว้ไม่สัมฤทธิ์ผล จึงต้องสรรหาวิธีการบรรเทาอาการให้กับผู้ป่วย เนื่องจากส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับเด็ก ซึ่งมักงอแง ร้องไห้ฟูมฟายตลอดทั้งวัน ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นและหายได้โดยไม่ต้องใช้ยา เพราะโรคมือเท้าปาก เกิดจากเชื้อไวรัส ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาจำเพาะที่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายได้ดีกว่าการประคับประคองอาการ เพราะฉะนั้นการรักษาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการตามที่มี เช่น การใช้ยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาความเจ็บแผล เป็นต้น ผู้ป่วยเด็กโตหรือผู้ใหญ่มักมีอาการไม่มาก และเป็นอยู่ไม่เกิน 1 สัปดาห์ หรืออาจเป็นนานกว่านั้น แต่พบน้อย

โรคนี้พบน้อยในผู้ใหญ่ แต่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจติดเชื้อได้ง่าย และแม้ว่าโรคมือเท้าปากจะไม่ใช่โรคภัยร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย หากมันเกิดขึ้นกับเด็กในปกครองบ้านหรือในการปกครองของท่าน ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด หากอาการหนักขึ้น ควรได้รับการรักษาที่ดีจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

หน้าเป็นผื่น ทำไงดี ถึงจะสวยใสหายขาด

         ใบหน้าที่เรียบเนียนสดสวยของคุณสาวๆ เป็นหนึ่งในพื้นที่ศักสิทธิ์ที่สุดของเรือนร่าง ที่คุณสาวๆไม่อยากให้มีปปัญหาเรื่องผิวพรรณอื่นๆเข้ามารุกล้ำ แต่ในสภาพแวดล้อมยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยปัญหาทางด้านมลภาวะมากมาย การดูแลผิวหน้าให้สวย สดใส จึงกลายเป็นสิ่งที่ยากเอาการเลยทีเดียว ซึ่งหนึ่งในปัญหาใหญ่ที่มักเกิดขึ้นมาบนผิวหน้าคือเจ้า “ผื่น” แดงๆ เม็ดเล็กๆ ที่ถึงแม้จะเล็ก แต่เมื่อมีจำนวนมากๆรวมกันเข้าก็สามารถสร้างความโดดเด่นให้กับใบหน้าเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งในวันนี้สำหรับคนที่กำลังมีปัญหาใบหน้าเป็นผื่น ทำไงดี และไม่รู้ว่าควรที่จะอย่างไรนั้น บทความชิ้นนี้จะขอตอบคำถามหน้าเป็นผื่น ทำไงดี เกิดขึ้นจากสาเหตุอะไร และทำอย่างไรดีจึงจะหาย รวบรวมเอามาไว้เพื่อเป็นเคล็ดลับสำหรับคุณสาวๆอย่างครบถ้วนกันเลยทีเดียว

ผื่น คืออะไร?
 “ผื่น” เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติของสีผิว หรือพื้นผิว รวมไปถึงอาการอักเสบของผิวหนังที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากปัจจัยภายนอกจากการที่ผิวหนังเกิดการระคายเคือง หรืออาการแพ้จากแมลง พืชมีพิษ และเชื้อไวรัส เป็นต้น ทำให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนังชั้นนอก ซึ่งผื่นเองก็มีอยู่หลากหลายประเภท เช่น ผื่นคัน กลาก ไลเคน เป็นต้น ผิวหนังที่เป็นผื่นจะมีลักษณะบวมแดง มีตุ่มน้ำใส น้ำเหลืองไหลเยิ้ม มีสะเก็ด และอาการคันร่วมด้วย ถ้าหากยังชะล่าใจปล่อยเอาไว้ผื่นคันก็จะกลายเป็นอาการเรื้อรังขึ้นในที่สุด

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดผื่นขึ้นบนใบหน้า
ส่วนใหญ่แล้ว ถ้าหากผื่นเกิดขึ้นที่บริเวณใบหน้า มักจะเป็นผื่นแพ้ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุจากการแพ้ยา แพ้ไขมัน หรือแพ้การสัมผัส ซึ่งสามารถทำการรักษาได้ไม่ยากด้วยตัวเอง ดังนั้นเมื่อหน้าเป็นผื่น ทำไงดี ก็เพียงแค่ทำตามคำแนะนำอย่างง่ายๆ ที่กำลังจะแนะนำตามบทความ ดังต่อไปนี้

การรักษาอาการผื่นคันด้วยยา
เริ่มต้นจากการทำความสะอาดบริเวณที่เป็นผื่นคัน ด้วยใช้น้ำยา Burow Solution 3% , Bolic หรือ Normal Saline หลังจากนั้นจึงทำการทายาลดอาการอักเสบ อาทิเช่น Corticosteroid ควรเลือกรูปแบบยา ในรูปแบบครีม หรือน้ำ ให้เหมาะสมกับความรุนแรงของโรค แต่ถ้าหากเปฌนผู้ป่วยเรื้อรังที่เกิดผดผื่นแบบหนาควรใช้รูปแบบขี้ผึ้งป้าย อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดอาการภูมิแพ้ขึนมาบนใหบ้นาควรทำการตรวจหาเชื้อรา บริเวณผดผื่นทุกครั้ง เนื่องจากการรักษาที่แตกต่างกันออกไป แต่โดยพื้นฐานแล้วเมื่อเกิดอาการผดผื่น ก็มักจะเกิดอาการคันร่วมด้วย อย่าพยายามอย่าเกาโดยเด็ดขาด เพราะจะยิ่งเป็นการกระตุ้นให้อาการกำเริบมากยิ่งขึ้น

การรักษาเยียวยาแบบธรรมชาติ
 หน้าเป็นผื่น ทำไงดี นอกจากการเยียวยาโดยใช้ยาแบบมาตรฐาน ยังมีการรักษาอาการคัน และผิวระคายเคือง ด้วยการใช้วิธีและส่วนผสมจากธรรมชาติ โดยมีขึ้นตอนง่ายๆ รวมไปถึงส่วนผสมที่สามารถหาได้ใกล้ตัวอย่างคาดไม่ถึง ดังต่อไปนี้
 1.ดิน อาจจะไม่เชื่อแต่ดินเป็นหนึ่งในส่วนผสมที่ช่วยในการแก้ไขอาการระคายเคือง และการแก้ไขปัญหาอื่นๆของผิวพรรณได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ด้วยการผสมเบนโทไนท์ หรือมอนต์มอริลโลไนต์ เข้ากับดินเหนียวสีเขียว  ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อผสมส่วนผสมจากนั้นแค่ตบเบาๆ วางดินบนพื้นที่คัน ปล่อยให้แห้งแล้วทำการล้างออกหรือปล่อยให้หลุดลอกออกเอง
2.น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ เป็นสินค้าอเนกประสงค์ที่ช่วยในการดูแล รักษา ผิวพรรณ รวมทั้งการฆ่าเชื้อรา และป้องกัน รวมไปถึงการบรรเทาอาการคัน ด้วยการหยดน้ำส้มเพียงไม่กี่หยดลงบนสำลี และตบเบาๆ ในบริเวณพื้นที่เป็นผื่น
 3. ใบสะระแหน่ ช่วยในการบรรเทาความร้อน และแก้อาการคัน คุณสามารถใช้ถูลงไปบนผิวโดยตรง หรือใช้พันรอบก้อนน้ำแข็งเพื่อช่วยบรรเทาพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการบวม และการอักเสบ จากนั้นจึงควรใช้นำสะอาดที่อ่านการกรองมาล้างให้สาด
 หลังจากที่ได้รับทราบข้อมูลกันไปแล้ว เชื่อว่าคุณสาวๆหลายๆคน คงจะได้คำตอบของคำถามที่ว่า หน้าเป็นผื่น ทำไงดี และสามารถแก้ไขปัญหานี้ ได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆที่บ้าน  

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ทำความรู้จักโรคผิวหนัง เชื้อรา สิ่งใกล้ตัวที่ใครๆก็ร้องอี๋!

         ได้ยินชื่อ “โรคผิวหนัง เชื้อรา” เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงร้องอี๋ ด้วยความรู้สึกขยะแขยง เพราะอาการของโรคผิวหนัง เชื้อรา โดยทั่วไปจะมีผื่นและเกิดอาการคัน ซึ่งผื่นที่พบจะเป็นผื่นแดง มีขุย มีขอบนูนเล็กน้อย สร้างความน่ารังเกียจให้แก่ผู้พบเห็น
โรคผิวหนัง เชื้อรา คือการติดเชื้อของเซลล์ผิวชั้นนอก ซึ่งเกิดจากเชื้อราบางชนิด โดยมักเกิดจากการสัมผัสกับเชื้อราผ่านทางพื้นดิน การสัมผัสโดยตรงกับสัตว์ หรือผ่านทางขนของสัตว์ที่เป็นพาหะ ร่วมกับสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมของผิวหนังของผู้ติดเชื้อ เช่น ผิวหนังที่มีบาดแผล หรือผิวหนังที่เปื่อยยุ่ยจากความอับชื้น โรคผิวหนัง เชื้อราสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายในตำแหน่งที่มีเหงื่อออกมาก อับชื้น การระบายอากาศไม่ค่อยดี โดยมีลักษณะของอาการ ดังนี้

         1.หนังศีรษะ มีรอยเกิดโรคเป็นหย่อมๆบริเวณหนังศีรษะ มีการอักเสบของผิวหนัง และมีขุย ถ้าอักเสบมากๆอาจมีน้ำเหลือง และเส้นผมหักหรือหลุดร่วงได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
         2.ผิวหนังทั่วไป เช่น ใบหน้า ลำตัว ขาหนีบ แขนขา จะมีลักษณะผื่นเป็นวง ขอบนูนแดง ตรงกลางดูค่อนข้างปกติ แต่เห็นแห้งๆ และมีขุยชัดเจน ผื่นจะลามออกช้าๆ มักมีอาการคันมากพอสมควร
         3.ฝ่ามือฝ่าเท้า จะเห็นเป็นขุยหยาบชัด บางครั้งจะเป็นหนังหนาๆ ถ้ามีอาการอักเสบรุนแรงมากจะเห็นเป็นตุ่มน้ำได้ สำหรับบริเวณง่ามมือมักเกิดเป็นผิวยุ่ยๆ หรือหนังอาจหลุดจนเห็นผิวชั้นในแดงๆ และมักมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย
         4.เล็บ พบหลายแบบ เช่น เล็บขาวหรือเหลืองเป็นบางส่วน มีขุยใต้เล็บ หรือมีการแยกของแผ่นเล็บจากเนื้อด้านล่าง

โรคผิวหนัง เชื้อรา ป้องกันได้อย่างไร
1.หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น อย่างเช่น หวี หมวก รองเท้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
 2.รักษาความสะอาดบริเวณที่อับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ ซอกนิ้ว และเมื่ออาบน้ำเสร็จ ควรเช็ดหรือซับผิวให้แห้งก่อนทาแป้ง
3.หมั่นทำความสะอาดรองเท้าและตากแดดเป็นประจำ อย่าปล่อยให้อับชื้นและสกปรก เพราะอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคผิวหนัง เชื้อราที่เท้า
         4.หลังว่ายน้ำหรือออกกำลังกายต้องอาบน้ำและสวมใส่เสื้อผ้าแห้ง
5.อย่าสัมผัสกับพื้นดินที่สกปรก หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงมือยาง รองเท้ายาง
 6.รักษาความสะอาดห้องน้ำ อ่างล่างน้ำ ชักโครก หรือเครื่องสุขภัณฑ์
 7.หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่เป็นโรคผิวหนัง เชื้อรา

 

การรักษาโรคผิวหนัง เชื้อรา
 เมื่อพบว่าเริ่มเป็นโรคผิวหนัง เชื้อรา อย่างเช่น กลาก เกลื้อน สังคัง เชื้อราบนหนังศีรษะ ควรปฏิบัติตนดังนี้
         1.รักษาความสะอาดของร่างกายให้ทั่วถึงอย่างสม่ำเสมอ อาบน้ำฟอกสบู่ และเช็ดตัวให้แห้งทุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกรักแร้ ขาหนีบ ซอกนิ้ว
        2.ตัดเล็บมือ เล็บเท้าให้สั้น หมั่นล้างมือให้สะอาด และอย่าแคะแกะเกาผิวหนังที่เกิดโรค เพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และอาจแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น
        3.ป้องกันการติดเชื้อหรือแพร่กระจาย โดยการแยกเครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ส่วนตัวไม่ใช้ปะปนกัน และควรซักทำความสะอาดตากแดดให้แห้งทุกครั้ง
         4.รักษาด้วยยาทาเชื้อราที่ผิวหนัง โดยทั่วไปจะทาวันละ 2-3 ครั้ง ทาติดต่อกันจนกว่าผื่นจะหาย โดยทายาที่เป็นผื่นและบริเวณใกล้เคียงโดยรอบ สำหรับเชื้อราที่เล็บและหนังศีรษะจะยุ่งกว่าที่ผิวหนัง ต้องใช้ยารับประทาน

อย่างไรก็ตาม โรคผิวหนัง เชื้อราอาจต้องใช้เวลาในการรักษาให้หายขาด ซึ่งการติดเชื้อในแต่ละส่วนของร่างกายต้องการเวลาในการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น เชื้อราบนหนังศีรษะใช้เวลาในการรักษา 1-3 เดือน ขึ้นกับความรุนแรงของโรค เชื้อราของเล็บใช้เวลาในการักษา 6-12 เดือน ดังนั้น อย่าหยุดยาในขณะที่รู้สึกว่ารอยโรคดีขึ้น เพราะอาจทำให้โรคผิวหนัง เชื้อหากำเริบขึ้นอีกครั้ง โดยหลังจากผื่นหายแล้วควรทำการรักษต่อไปอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคตาแดง อาการเป็นอย่างไร และวิธีรักษาที่ถูกต้องเขาทำกันยังไง

         โรคตาแดงเป็นโรคตาที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยดูแลความสะอาดมือทั้งสอง แล้วมักใช้มือขยี้ตาหรือสัมผัสผิวหนังรอบๆดวงตา จึงทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุตา (conjuntiva) ที่คลุมหนังตาบนและล่าง รวมถึงเยื่อบุตาที่คลุมตาขาว
โรคตาแดงนั้นเป็นได้ทั้งแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง สาเหตุอาจจะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส Chlamydia trachomatis ภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัส แล้วติดต่อทางมือ ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าเช็ดตัว โดยปกติจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ดี อาการตาแดงจากโรคภูมิแพ้มักจะเป็นตาแดงเรื้อรัง มีการอักเสบของหนังตา ตาแห้ง และต้องได้รับการรักษาที่ถูกวิธี
ทีนี้มาดูกันว่าโรคตาแดง อาการเป็นอย่าไร

         1.คันในลูกตา ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับเยื่อตาอักเสบจากการแพ้
         2.รู้สึกเคืองตา บ่งบอกถึงภาวะตาแห้ง, มีสิ่งแปลกปลอมในตา, เปลือกตาอักเสบ
         3.แสบตา แสดงถึงอาการของโรคที่เปลือกตา, เยื่อบุตาหรือแก้วตา
4.เป็นเม็ดหรือเจ็บบางจุด อาจเกิดจากฝีที่เปลือกตา หรือกุ้งยิง
 5.ปวดลูกตา อาจเป็นอาการของม่านตาอักเสบ แผลที่แก้วตา ต้อหิน เยื่อหุ้มลูกตาอักเสบ หรือการติดเชื้อรอบลูกตา
         6.กลัวแสง หมายถึงตาสู้แสงไม่ได้จะเคืองตามาก เป็นอาการของม่านตาอักเสบ แผลที่แก้วตา หรือต้อหิน
         7.น้ำตาไหล ลักษณะเป็นหยดน้ำตาใสๆ เกิดจาก เยื่อตาอักเสบเพราะเชื้อไวรัสหรือสารเคมี
         8.ขี้ตาเป็นเมือก มักเกิดจากเยื่อบุตาอักเสบ เพราะการแพ้หรือการติดเชื้อแคลมมีเดีย
         9.ขี้ตาเป็นหนอง เกิดจากเยื่อตาอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย แผลที่แก้วตา หรือการอักเสบรอบตา ตาแดงร่วมกับโรคของเปลือกตา

วิธีป้องกันให้ห่างไกลจากโรคตาแดง
1.หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสตา
2.ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกันกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แว่นตา เครื่องสำอาง
3.ไม่สัมผัสมือหรือตาผู้ป่วยโรคตาแดง เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้
4.หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งที่เผลอถูกตา รวมทั้งก่อนและหลังหยอดตา
5.เปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ ทุกๆ 2 วัน
6.หากต้องออกแดดแรง ควรสวมแว่นกันแดด

 

การรักษาโรคตาแดง
แม้ว่าโรคตาแดง อาการไม่รุนแรงจะสามารถหายเองได้ใน 1-2 สัปดาห์ แต่การประคบเย็นที่ตาจะช่วยให้สบายตาขึ้น หรือใช้ยาหยอดตากลุ่มยาต้านฮีสตามีน วันละ 3-4 ครั้ง อาการระคายเคืองตาก็จะลดลง ถ้าเริ่มมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ ให้หยอดยาปฏิชีวนะเช่นเดียวกับตาแดงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย โดยเมื่อหยอดยา 2 ชนิดพร้อมกันจะต้องทิ้งช่วงห่างประมาณ 5 นาที ที่สำคัญไม่ควรหยดยาที่มีสเตียรอยด์ เพราะจะทำให้หายช้า และอาจมีการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน
สำหรับโรคตาแดง อาการจากเชื้อปฏิชีวนะ ควรทำความสะอาดตา ขี้ตา และใช้ยาหยอดตาที่มียาปฏิชีวนะวันละ 4 ครั้งจนไม่มีขี้ตา แต่ต้องระวังการแพ้ยา โดยหากมีอาการหนังตาบวมแดง ให้หยุดยาและรีบนำยามาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรว่าเกิดจากการแพ้ยาหรือไม่ ถ้าใช่ต้องจดจำชื่อยาที่แพ้ไว้ เพื่อเลี่ยงการหยอดตานั้นในครั้งต่อไป

ข้อควรปฏิบัติเมื่อเป็นโรคตาแดง
ประการแรกคือต้องหลีกเลี่ยงการสัมผัสและการใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลา 7 วันหลังมีอาการ เพื่อลดการแพร่เชื้อโรคไปยังบุคคลรอบข้าง และควรล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะหลังสัมผัสน้ำตา ขี้ตา รวมทั้งก่อน-หลังหยอดยา ที่สำคัญไม่ควรใช้ผ้าปิดตา เพราะจะยิ่งทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้มากขึ้น เมื่อเป็นโรคตาแดง อาการอาจทุกข์ทรมานจากการปวด ระคายเคืองตา หรือน้ำตาไหลตลอดเวลา แต่ควรฝืนนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และพยายามเปลี่ยนปลอกหมอนทุกวัน ท้ายที่สุดหากอาการไม่ดีขึ้นควรเข้าพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันที

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคเชื้อราที่เล็บเกิดขึ้นได้ยังไง มีวิธีรักษาอย่างไร มาดูกัน

         เชื้อราที่เล็บเป็นโรคใกล้ตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็ทำให้ผู้เป็นเชื่อราที่เล็บประสบกับการสูญเสียความมั่นอกมั่นใจ บั่นทอนบุคลิกาภาพได้ เนื่องจากโรคนี้เป็นการติดเชื้อบริเวณเล็บ เกิดจากเชื้อราที่เรียกว่า “เดอมาโตไฟต์” และเชื้อยีสต์ พบได้บ่อยโดยเฉพาะที่นิ้วเท้า นอกจากนี้เชื้อราดังกล่าวยังสามารถพบได้ทั่วๆไปตามบริเวณผิวหนังและขน โดยมักได้รับเชื้อราจากการสัมผัสจากคนหรือสัตว์ที่เป็นโรค รวมทั้งจากพื้นดินที่มีเชื้อราปนเปื้อนอยู่ได้
   ภาวะติดเชื้อราที่เล็บมักพบในกลุ่มผู้ที่มีอาการโรคเบาหวาน คนที่ใช้ยาประเภทสเตียรอยด์บ่อยๆ รวมถึงคนที่ทำงานในที่อับชื้น

 

ลักษณะอาการ
เชื้อราที่เล็บอาศัยโปรตีนที่อยู่บริเวณผิวชั้นนอกเป็นอาหารและแพร่กระจายเชื้อโรค เมื่อเริ่มมีการติดเชื้อจะแพร่ลามไปทั่วเล็บ ทำให้เล็บขุ่นขาว บางรายมีสีเหลืองน้ำตาล แผ่นเล็บอาจแยกออกจากผิวหนัง และเกิดเป็นขุยหนาใต้เล็บ เล็บจะขรุขระ เปื่อยยุ่ย จนในที่สุดก็เกิดความเสียหายของแผ่นเล็บทั้งหมด ในคนที่มีการติดเชื้อทั้งเล็บมือและเท้า ควรตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวีด้วย เนื่องจากเชื้อราที่เล็บสามารถพบได้ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีได้ไม่น้อย

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคเชื้อราที่เล็บ
 รู้จักกับโรคเชื้อราที่เล็บกันไปบ้างแล้ว เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้นกับตัวเอง ดังนั้น ควรป้องกันด้วยการเน้นบริโภคผักสวนครัวจำพวกกระเทียม หัวหอม ถั่วฝักยาว พริก และบร็อคโคลีหรือผักใบเขียว อาหารทะเลจำพวกหอย ปลา แซลมอน ปลาทูน่า และผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม มะขาม แตงโม เป็นต้น อาหารเหล่านี้จะช่วยยับยั้งเซลล์แบคทีเรีย และเชื้อราบนผิวหนังให้มีจำนวนลดลง
นอกจากนี้ยังควรหมั่นความสะอาดมือและเท้า ตัดเล็บเป็นประจำโดยไม่ใช้กรรไกรตัดเล็บร่วมกับผู้อื่น ไม่แช่น้ำเป็นเวลานานๆ โดยเฉพาะน้ำที่สกปรก หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมถุงมือยางหรือรองเท้ายาง ถ้ามีโรคที่ทำให้ภูมิต้านทานต่ำต้องได้รับการบำบัดรักษาควบคู่กันไปกับการรักษาเชื้อราที่เล็บ

 

วิธีรักษาอาการเชื้อราที่เล็บ ด้วยตัวเอง
การรักษาอาการเชื้อราที่เล็บนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป หากหมั่นดูแลรักษาด้วยตัวเองตามคำแนะนำเป็นประจำ จะช่วยให้อาการดีขึ้นตามลำดับจนหายไปในที่สุด ทั้งนี้ วิธีการต่อไปนี้เหมาะสำหรับผู้ติดเชื้อที่ยังไม่รุนแรงถึงขั้นเล็บหลุด
1.หยดน้ำส้มสายชูกลั่นลงบนเล็บเป็นประจำทุกวัน และหมั่นตัดเล็บที่เสียออกมา
 2.ใช้ Tea Tree oil โดยนำสำลีก้อนชนิดกลมจุ่มน้ำมัน Tea Tree oil แล้วแปะบนเล็บที่ติดเชื้อทิ้งไว้ ให้ทำวันละ 3 ครั้ง
 3.เช็ดด้วยแอลกอฮอล์สำหรับล้างแผล โดยใช้คอตตอนบัดจุ่มแอลกอฮอล์แล้วนำมาถูกแรงๆบนเล็บ
 4.ใช้ไฮโดรเจน เปอร์ออกไซด์ หรือน้ำยาล้างแผล โดยหยดลงบนซอกเล็บที่มีอาการติดเชื้อทิ้งไว้ สิ่งสกปรกจะหลุดออกมาอย่างง่ายดาย เนื่องจากน้ำยานี้มีคุณสมบัติในการกำจัดเชื้อราที่เล็บได้
 5.ใช้หัวหอมฝานครึ่งแล้วถูลงบริเวณเล็บ ทั้งไว้สักพักให้แห้งจึงค่อยล้างออกด้วยน้ำเปล่า จากนั้นซับเล็บให้แห้ง
 6.ผสมเบียร์และน้ำสายชูในกะละมัง จากนั้นก็แช่มือหรือเท้าที่ติดเชื้อสักประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วล้างให้สะอาดด้วยน้ำเปล่า และอย่าลืมซับให้แห้ง
7.ใช้น้ำมะกรูดทาบ่อยๆ โดยนำผลมะกรูดมาคั้นเอาน้ำและใช้สำลีชุบ แล้วทาบริเวณที่ติดเชื้อให้บ่อยครั้ง น้ำมะกรูดจะช่วยฆ่าเชื้อราให้ลดลงจนหมดไป
 8.ใช้น้ำจากขมิ้นอ้อยคั้นน้ำมาทาบ่อยๆ มีผลวิจัยพบว่า ขมิ้นอ้อยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราได้ถึง 11 ชนิด และหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อราอีก 4 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง เช่น กลาก ชันนะตุ เชื้อราที่เล็บ ผิวหนัง ซอกนิ้วเท้า นอกจากนี้ ยังมีขมิ้นชันอีกเช่นกันที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราได้เหมือนขมิ้นอ้อย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคสะเก็ดเงิน คืออะไร ถ้าหากเป็นแล้วควรติดต่อรับการรักษาที่ไหนดี?

            โรคภัยไข้เจ็บ เป็นสิ่งที่ไม่พึงปารถนาอย่างที่สุดของมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดโรคภัยบางชนิดขึ้นมากับตัวโดยไม่ตั้งใจ สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การรู้จักกับวิธีการดูแลรักษาตัวเอง เพื่อเป็นการบรรเทารักษาอาการเหล่านั้นให้หายขาดนั่นเอง สำหรับบทความในวันนี้จะขอพาคุณผู้อ่านที่รักในการมีสุขภาพที่ดีไปทำความรู้จักกับโรคสะเก็ดเงิน คืออะไร แล้วถ้าหากเป็นโรคสะเก็ดเงิน ติดต่อขอรับการรักษาที่ไหน จึงจะสามารถหายขาดได้อย่างรวดเร็วที่สุดกัน

สะเก็ดเงิน คืออะไร?
โรคสะเก็ดเงิน คือ โรคทางผิวหนัง มีลักษณะคล้ายกับเกล็ดหุ้มบริเวณผิวหนัง บางครั้งมีสภาพคล้ายนกับรอยแผลเป็น หรือแผลพุพอง สาเหตุของการเกิดโรคสะเก็ดเงินนั้น เกิดขึ้นจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเซลล์ผิวหนัง ที่ถูกกระตุ้นโดยการปล่อยสารเคมีเนื่องจากการอักเสบของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เกิดความผิดปกติขึ้น โดยทั่วไปแล้วโรคสะเก็ดเงิน ติดต่อลุกลามไปทั่วยังผิวบริเวณข้อศอก หัวเข่า และหนังศรีษะ ซึ่งโรคสะเก็ดเงินนี้มักจะมีอาการเลวร้ายลงในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศแห้งและหนาวเย็น  เจ้าโรคสะเก็ดเงิน ยังเป็นหนึ่งในโรคผิวหนังที่ก่อกวนการใช้ชีวิตอย่างปกติของคนกว่า 125 ล้านคนทั่วโลก แต่ที่น่าสนใจคือ ประมาณครึ่งหนึ่งของคนในโลกที่มีอาการของโรคสะเก็ดเงินกลับคน “ผิวขาว”
  สะเก็ดเงิน สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ที่มีคุณภาพชีวิต หรือสุขภาพที่ค่อนข้างแย่ และคนที่เป็นสะเก็ดเงิน ติดต่อกันอย่างยาวนานจนเป็นเรื้อรังนั้น ทางการแพทย์ยังพบว่ามีแนวโน้มจะเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ โรคไขข้ออักเสบร่วมอีกด้วย ซึ่งการดูแลโรคสะเก็ดเงิน ติดต่อของรับการรักษาจากแพทย์โดยตรงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงิน คืออะไร?
สำหรับสาเหตุที่ก่อให้เกิดสะเก็ดเงินนั้น ยังไม่ได้รับการยืนยันที่ชัดเจน จากการวิจัยหาสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคสะเก็ดเงินกว่า 30 ปี ที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ค้นพบกลับมีเพียงปริศนาการเกิดของโรคสะเก็ดเงินเท่านั้น อย่างไรก็ตามปัจจัยความเสี่ยงในการเกิดโรคยังรวมไปถึงความบกพร่องทางพันธุ์กรรม และปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามากที่คุณจะพบโรคสะเก็ดเงินที่เกิดขึ้นในสมาชิกครอบครัวเดียวกัน ซึ่งแพทย์จะให้ความสนใจในการพิจราณาสาเหตุการเกิดโรคจากประวัติทางการแพทย์ของคนอื่นๆในครอบครัวก่อนว่าเคยมีอาการของโรคสะเก็ดเงินเกิดขึ้นหรือไม่ นอกจากนี้ความบกพร่องทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยังมีผลเป็นอย่างมากต่อการเกิดโรคดังกล่าวขึ้น

สัญญาณการปรากฏตัวของโรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงิน จะปรากฏตัวขึ้นเป็นพื้นที่สีแดง หรือสีชมพูหนาขึ้นมาบนผิวหนัง โดยส่วนมากมักจะเป็นบริเวณข้อศอก หัวเข่า และหนังศรีษะ หรือพบมากในบริเวณที่มีแรงเสียดทาน การเสียดสีขัดถู หรือมีอาการบาดเจ็บ ในบางครั้งโรคสะเด็ดเงินก็อาจจะเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศอีกด้วย ซึ่งโรคสะเก็ดเงินที่เกิดขึ้นในแต่ละส่วนนั้นจะแตกต่างกันออกไปในหลากหลายรูปแบบ และบางครั้งหากทำการดึงเกล็ดสีขาวที่แห้งเหล่านั้นออก มักที่จะทำให้เกิดจุดเลือดเล็กๆบนผิวขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาวิจัยยังไม่พบว่าโรคสะเก็ดเงิน ติดต่อจากคนสู่คนได้ ดังนั้นจึงไม่น่ากังวลหากคุณต้องสัมผัสกับคนที่เป็นโรคสะเก็ดงิน หรือสัมผัสกับผิวที่กำลังตกสะเก็ดจากอาการของโรคนี้

การรักษาโรคสะเก็ดเงินสามารถทำได้อย่างไรบ้าง?
เป็นที่น่าเสียดายว่า โรคสะเก็ดงินยังไม่มีวิธีรักษาในขณะนี้ แต่คุณยังสามารถที่จะรับการบรรเทา พร้อมกับควบคุมอาการไม่ให้เกิดการลุลาม และควบคุมอาการของโรคไม่ให้ปรากฏออกมาได้ แต่จากการวิจัย รวมไปถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่ไม่เคยหยุดยั้งในปัจจุบัน ยังคงพยายามค้นหาคำตอบในการรักษาโรคสะเก็ดเงินอย่างได้ผลมากยิ่งขึ้นในอนาคต

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.