สาหร่ายแดง ไบโอแอสติน (BioAstin) ราคาถูก ของแท้ ราคาถูก ราคาส่ง

         “สาหร่ายแดง” เป็นสาหร่ายชนิดหนึ่งที่มีสาร astaxanthin อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสารตัวนี้อยู่ในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ ตระกูลแคโรทีนอยด์ (Xanthophyll group / Carotenoid family) พบได้ทั่วไปในธรรมชาติ เป็นสารสีแดงที่พบในปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้งปู และในสาหร่ายแดง ทั้งนี้ ร่างกายไม่สามารถสร้างสารชนิดนี้ขึ้นเองได้ เราจะได้รับสารชนิดนี้จากอาหารที่รับประทานเข้าไป ในปริมาณที่น้อยมาก เช่น ปลาแซลมอน 200 กรัม จะมี astaxanthin เพียง 1 มิลลิกรัมเท่านั้น
ทั้งนี้ สาร astaxanthin ที่สกัดได้จากสาหร่ายแดงนั้นมีงานวิจัยระบุว่า มีคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสที่เข้มข้นสูง มีงานวิจัยพบว่าสาหร่ายแดง (แอสต้าแทนซิน) มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าวิตามินซี 6,000 เท่า CoQ10 800 เท่า วิตามินอี 550 เท่า Green tea catechins 550 เท่า Alpha lipoic acid 75 เท่า เบต้าแคโรทีน 40 เท่า และสารสกัดจากเมล็ดองุ่นถึง 17 เท่า ปัจจุบันจึงมีการนำ astaxanthin มาใช้ในอาหารเสริมกันอย่างแพร่หลาย หนึ่งในนั้นก็คือ “ไบโอแอสติน (BioAstin)”

 

ไบโอแอสติน (BioAstin) คืออะไร
ไบโอแอสติน (BioAstin) เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนผสมของสาร astaxanthin สกัดจากสาหร่ายแดง โดยเป็นแบรนด์ชั้นนำจากอเมริกา มีมาตรฐานการผลิต GMP และ ISO 9001 ผ่านการรับรองจาก อย.ของสหรัฐอเมริกา ซึ่ง BioAstin จะช่วยเสริมสร้างการต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ผลิตจากสาหร่ายขนาดเล็ก Haematococcus pluviallis โดยบริษัทมหาชนไซยาโนเทค มลรัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ สารสีแดงที่สกัดได้จากสาหร่ายเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง มีประโยชน์ เช่น
1.ป้องกันการอักเสบเรื้อรังภายในร่างกาย ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคเสื่อม เหมาะกับผู้ป่วยทุกโรคที่มาจาก cell เสื่อมทั้งหลาย และป้องกันโรคมะเร็งได้
2.ให้พลังงานและความทนทาน เหมาะสำหรับคนทำงานหนัก นักกีฬา และนักเรียนเป็นอย่างยิ่ง

         3.ป้องกันรังสียูวีจากภายในร่างกายและเพิ่มความงามให้กับผิวพรรณ ลบรอยเหี่ยวย่น เพิ่มความชุ่มชื้น ปรับสีผิว เพิ่มความยืดหยุ่น เพิ่มความนิ่มนวล ลดจุดด่างดำ (เหมาะกับคนรักสวยรักงาม วัยรุ่น กลางคน ถึงวัยชราที่กลัวความแก่)
4.ปกป้องและบำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นดีขึ้น เพราะสาร astaxanthin สามารถผ่านตัวกรองเลือดที่ไปเลี้ยงลูกตาที่สารต้านอนุมูลอิสระอื่นไม่สามารถผ่านได้
5.ปกป้องสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยให้มีสมาธิและความจำดีขึ้น เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องสมอง และระบบประสาท
6.ลดอาการปวดข้อมือเนื่องจากเอ็นอักเสบ เหมาะกับคนใช้มือทำงานหนัก ปวดข้อมือ นิ้วล๊อค เอ็นข้อมืออักเสบ

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

นิ้วล็อคเกิดจากอะไร รักษายังไง ให้หายเร็ว

         นิ้วล็อค เป็นอาการที่เราได้ยินกันมาเนิ่นนานตั้งแต่เด็กๆ โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นกับบรรดาแม่บ้านทั้งหลายที่ไปจับจ่ายซื้อของในตลาด แล้วเดินกลับบ้านพร้อมกับถุงหิ้วพลาสติกที่บรรจุของหนักๆไว้เต็มอัตรา โดยใช้นิ้วมือเกี่ยวถุงเหล่านั้นไว้ พอเวลาผ่านไปไม่นานนิ้วของเธอก็เริ่มบวมเปล่งจนกลายเป็นอาการนิ้วล็อคในที่สุด อย่างไรก็ตาม คุณเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมแม่บ้านเหล่านั้นถึงเป็นนิ้วล็อคกัน


นิ้วล็อค เกิดจากอะไร

         ส่วนใหญ่มักจะเป็นนิ้วล็อคกันที่นิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้าง สาเหตุมาจากพังผืดยึดหุ้มบริเวณข้อนิ้ว เมื่อเป็นแล้วจะมีอาการปวดมาก นิ้วหัวแม่มืองอไม่ได้ ทำให้จับปากกาเขียนหนังสือหรือทำอะไรไม่ถนัด ที่สำคัญคือจะมีอาการปวดตลอดเวลา บางคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดว่าเส้นยึดธรรมดาเลยเอาน้ำมันทาถูนวด จึงทำให้มีอาการปวดมากขึ้นและไม่หาย สุดท้ายต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาล
         การชอบเราหิ้วของหนักๆด้วยนิ้วแล้วต่อมาเป็นนิ้วล็อก ก็เพราะว่าโรคนี้เกิดจากการเสียดสีและถูไถของเอ็นในช่องเอ็นทำให้เกิดการอักเสบขึ้นที่ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณข้อโคนนิ้ว ปลอกหุ้มเอ็นมักหนาขึ้น และรัดเอ็นจนทำให้เอ็นบวมและคลำเป็นปมขึ้นมา ผู้ที่มีการใช้นิ้วมากๆ หรือใช้นิ้วมือในการเกี่ยวยกของหนักบ่อยๆ จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้นั่นเอง ซึ่งอาการของโรคนี้แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 
         1.ระยะแรก มีอาการปวดเป็นอาการหลัก โดยจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ และจะมีอาการปวดมากขึ้น ถ้าเอานิ้วกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า แต่ยังไม่มีอาการติดสะดุด
         2.ระยะที่สอง มีอาการสะดุด (triggering) เป็นอาการหลัก และอาการปวดก็มักจะเพิ่มมากขึ้นด้วย เวลาขยับนิ้ว งอ และเหยียดนิ้ว จะมีการสะดุดจนรู้สึกได้
         3.ระยะที่สาม มีอาการติดล็อคเป็นอาการหลัก โดยเมื่องอนิ้วลงไปแล้ว จะติดล็อคจนไม่สามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยแกะ หรืออาจมีอาการมากขึ้นจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง
         4.ระยะที่สี่ มีการอักเสบบวมมาก จนนิ้วบวมติดอยู่ในท่างอเล็กน้อย ไม่สามารถเหยียดให้ตรงได้ ถ้าใช้มือมาช่วยเหยียดจะปวดมาก

 

นิ้วล็อค รักษาอย่างไร
         การรักษาโรคนิ้วล็อคมีด้วยกันหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะแนะนำให้คนไข้ใช้มือให้น้อยลง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้มือเสียใหม่ หลีกเลี่ยงการนวดหรือดัดนิ้วแรงๆ และอาจมีการรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย ไปจนถึงการรักษาด้วยการใช้ยาจำพวกสเตียรอยด์ฉีดเข้าตรงเอ็นบริเวณนั้น
         ทั้งนี้ หากอาการยังไม่ดีขึ้นแพทย์อาจจะพิจารณารักษาด้วยวิธีการผ่าตัดนิ้วล็อค โดยกรีดโพรงเอ็นที่หุ้มอยู่ให้เปิดออก ใช้เวลาไม่นาน ไม่กี่วันอาการนิ้วล็อกจะหายเป็นปกติ กระนั้นก็ดี การรักษาด้วยการผ่าตัดอาจก่อให้เกิดพังผืดขึ้นในภายหลังและมีโอกาสกลับมาเป็นโรคนิ้วล็อคได้อีกครั้ง นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ยังสามารถรักษาโดยแพทย์ทางเลือกด้วย อย่างเช่น วิธีการฝังเข็ม เป็นต้น


ไม่อยากนิ้วล็อค ต้องปฏิบัติอย่างไร

         1.ไม่หิ้วของหนัก เช่น ถุงพลาสติก ตะกร้า ถังน้ำ โดยเฉพาะบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย ถ้าจำเป็นต้องหิ้ว ควรใช้ผ้าขนหนูรองและหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ แทนที่จะให้น้ำหนักตกที่ข้อนิ้วมือ หรือใช้วิธีการอุ้มประคองช่วยลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือได้
         2.ไม่ควรบิดหรือซักผ้าด้วยมือเปล่าจำนวนมากๆ และไม่ควรบิดผ้าให้แห้งสนิท เพราะจะยึดปลอกหุ้มเอ็นจนคราก และเป็นจุดเริ่มต้นของโรคนิ้วล็อค
         3.ระวังการกำหรือบดเครื่องมือทุ่นแรง เวลาทำงานที่ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่าง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ ควรใส่ถุงมือหรือห่อหุ้มด้ามจับให้ใหญ่และนุ่มขึ้น

         4.ชาวสวนควรระวังเรื่องการตัดกิ่งไม้ด้วยกรรไกร หรืออื่นๆที่ใช้แรงมือควรใส่ถุงมือเพื่อลดการบาดเจ็บของปลอกเอ็นกับเส้นเอ็น และควรใช้สายยางรดน้ำต้นไม้แทนการหิ้วถังน้ำ
         5.คนที่ยกของหนักๆเป็นประจำ เช่นคนส่งน้ำขวด ถังแก๊ส แม่ครัวพ่อครัว ควรหลีกเลี่ยงการยกมือเปล่า ควรมีผ้านุ่มๆ มารองจับขณะยก และใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถเข็น รถลาก
         6.ควรใช้เครื่องทุ่นแรง หากจำเป็นต้องทำงานที่ต้องใช้มือกำ หยิบ บีบ เครื่องมือเป็นเวลานานๆ เช่น ใช้ผ้าห่อที่จับให้หนานุ่ม เช่น ใช้ผ้าห่อด้ามจับตะหลิวในอาชีพแม่ครัวพ่อครัว
         7.รู้จักพักมือบ้าง หากทำงานบางอย่างต้องใช้เวลานานต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มือเมื่อยล้าหรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ เช่น ทำ 45 นาที และพักมือสัก 10 นาที เป็นต้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ปวดไหล่ อันตรายที่อาจเรื้อรัง มาดูวิธีรักษาให้หาย

         เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีอาการปวดไหล่ ซึ่งในบางรายอาจหายไปเองเนื่องจากเป็นเพียงการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ จากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การออกกำลังกาย เป็นต้น ทั้งนี้ หากอาการปวดไหล่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่อแววมาจะทวีความรุนแรงมากขึ้น กรณีนี้คุณอาจกำลังเผชิญกับโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้น การปวดไหล่จึงเป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม


ปวดไหล่ เรื้อรัง เกิดจากอะไร

         อาการปวดไหล่ที่เรื้อรัง ปวดๆหายๆมาเป็นเวลานาน หรือในบางคนเวลากดที่ไหล่จะรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ซึ่งเกิดจาก
         1.กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น การออกกำลังที่หักโหมจนอาจเกิดกล้ามเนื้อฉีก การใช้งานกล้ามเนื้อหนัก หรือยกของหนักจนเกินไป
         2.การขาดการออกกำลังกาย ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกล้ามเนื้อเลย เช่น อาจเกิดหลังผ่าตัดทำให้ต้องนอนติดเตียงนาน เมื่อฟื้นก็ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังได้
         3.ความเครียดชื่อกันว่าผู้ที่ปวดไหล่จากโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เมื่อเกิดความเครียด มีโอกาสที่จะบีบนวดแบบเค้นกล้ามเนื้อตัวเองแรงๆ ทำให้กล้ามเนื้อสร้างจุดกดเจ็บมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักอยู่ในวัยทำงาน ต้องมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ จึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างอาการปวดไหล่ได้ ซึ่งพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย


ท่าบริหารลดอาการปวดไหล่ เรื้อรัง

         การรักษาอาการปวดไหล่เรื้อรังให้หายขาด ควรรักษาตามความรุนแรงและสาเหตุ ซึ่งถ้าจะให้ดีควรได้รับการวินิจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะในบางกรณีอาจเกิดจากภาวะกระดูกทับเส้นประสาท ต้องได้รับการผ่าตัดจึงจะหายขาด อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มักเกิดอาการปวดไหล่เป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากทำงาน แนะนำให้บริหารกล้ามเนื้อไหล่และคอ ดังนี้
         ท่าที่ 1 ฝึกเกร็งกล้ามเนื้อคอด้านหน้าและหลัง เอาฝ่ามือมาวางตั้งไว้ที่หน้าผาก ออกแรงเกร็งคอ ไม่ต้องแรงมาก ต้านกับแรงดันของฝ่ามือ ทำค้างไว้ 10– 5 วินาที กล้ามเนื้อคอจะเกร็ง ระยะยาวช่วยให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงขึ้น
         ท่าที่ 2 ฝึกเกร็งกล้ามเนื้อคอด้านข้าง เอาฝ่ามือมาวางตั้งไว้ที่ข้างศีรษะ ออกแรงเกร็งคอ ไม่ต้องแรงมาก ต้านกับแรงดันของฝ่ามือ ทำค้างไว้ 10–15 วินาที กล้ามเนื้อคอจะเกร็ง ระยะยาวช่วยให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงขึ้น

         ท่าที่ 3 ฝึกเกร็งกล้ามเนื้อที่ใช้สำหรับหันคอ เอาฝ่ามือมาวางแนบแก้ม ออกแรงหันคอ ต้านกับแรงดันของฝ่ามือ ทำสลับซ้าย–ขวา ค้างไว้ข้างละ 10–15 วินาที กล้ามเนื้อคอจะเกร็ง ระยะยาวช่วยให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงขึ้น
         ท่าที่ 4 ยืดกล้ามเนื้อคอด้านข้างและไหล่ เอาฝ่ามือวางบนศีรษะ เอียงคอไปด้านข้างจนเกิดแรงตึงที่ลำคอและไหล่ ทำสลับซ้าย–ขวา ค้างไว้ข้างละ 10–15 วินาที ท่านี้ช่วยยืดกล้ามเนื้อคอด้านข้างและไหล่ ทำให้บรรเทาปวดและสบายขึ้น
         ท่าที่ 5 ยืดกล้ามเนื้อไหล่และสะบักส่วนบน ยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปด้านหน้าตรงๆ แล้วใช้หลังมือของแขนอีกข้างวางทาบที่ข้อศอก ใช้หลังมือดันโน้มแขนข้างที่ยื่นออกไปเข้ามาจนตึง ถ้าทำถูกจะตึงที่ไหล่และสะบักส่วนบน ทำสลับซ้าย–ขวา ค้างไว้ข้างละ 10–15 วินาที ท่านี้ช่วยยืดกล้ามเนื้อหัวไหล่และสะบักส่วนบน ทำให้บรรเทาปวดและสบายขึ้น

 

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เหน็บชาที่มือ ขาดวิตามิน อะไร

         อาการเสียวซ่าน และสูญเสียความรู้สึกที่มือ เป็นอาการเริ่มต้นของโรคเหน็บชาที่มือ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาทางด้านสุขภาพที่สร้างความน่ารำคาญ และชวนให้กังวลใจสำหรับคนที่เป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะอาการเหน็บชาที่มือ เป็นอุปสรรคทั้งการทำงาน รวมไปถึงการใช้ชีวิตแระจำวันตามปกติเป็นอย่างมากเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม การรักษา และลดบรรเทาอาการเหน็บชาที่มือนั้น สามารถเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพียงแค่คุณรู้หลักการรักษาที่ถูกต้อง ควบคู่ไปกับใช้วิตามินที่เหมาะสม

ประเภทของโรคเหน็บชา
อาการเหน็บชาที่มือ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ โรคเหน็บชาที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ซึ่งในกรณีที่รุนแรงมากที่สุด คือ การก่อให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลว และโรคเหน็บชาที่ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาท ที่นำไปสู่การสูญเสียกล้ามเนื้อ จนอาจทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต ซึ่งถ้าหากปล่อยเอาไว้โดยไม่ทำการตรวจสอบให้ดี อาการเหน็บชาที่มือ ที่อาจถุกมองว่าเป็นเพียงอาการเล็กน้อยนั้น อาจจะส่งผลรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

อาการของโรคเหน็บชา
 อาการของโรคเหน็บชานั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของโรคเหน็บชา ดังที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในข้างต้น โดยสามารถแบ่งอาการ ออกได้ดังต่อไปนี้
1.โรคเหน็บชาที่ส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
         -หายใจถี่ระหว่างออกกำลังกาย
-หัวใจเต้นเร็ว
-ขาบวม
-ลมหายใจสั้น
 2.โรคเหน็บชาที่ส่งผลกระทบต่อระบบประสาท
         – รู้สึกเสี่ยวซ่าน สูญเสียความรู้สึกที่เท้า และมือ หรือเกิดอาการเหน็บชาที่มือขึ้น
-ความสับสนทางจิต
-อาการปวด
-พูดลำบาก
-อาเจียน
-ตาเคลื่อนไหวเองโดยไม่ตั้งใจ
-อัมพาธ

   ในบางกรณี อาการเหน็บชาที่มืออาจนำไปสู่กลุ่มอาการของโรคที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมอง ที่ก่อให้เกิดความสับสนทางจิต และสูญเสียความทรงจำ ซึ่งมักเกิดขึ้นบ่อยๆ กับคนที่ติดสุราเรื้อรัง

รักษาอาการเหน็บชาด้วย วิตามิน B-1
 อาการเหน็บชาที่มือ สามารถลดระกับความรุนแรง และลดโอกาสในการพัฒนาสู่ความรุนแรงให้เหลืออยู่ในระดับต่ำ ด้วยการรับประทานอาหาร หรือเสริมวิตามิน B-1 โดยคุณสามารถหาวิตามิน B-1 ได้อย่างไม่ยากนัก ผ่านผลิตภัณฑ์จากนม เมล็ลดธัญพืช ไข่ หัวผักกาด มะเขือเทศ น้ำผลไม้สีส้ม ข้าวสาร กุ้ง และเนื้อดิบ เป็นต้น นอกจากนี้ การรักษาอาการเหน็บชาที่มือ รวมไปถึงอาการเหน็บชาในส่วนต่างๆของร่างกายนั้น ในยุคปัจจุบันสามารถทได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามิน B-1 แต่ต้องให้แน่ใจว่า ร่างกายของคุณสามารถที่จะดูดวับวิตามิน b-1 ได้อย่างพอเพียง

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการเหน็บชา
 อาการเหน็บชาที่มือ และบริเวณอื่นๆ เป็นโรคที่ค่อนขางหาได้ยากในสังคมยุคปัจจุบันที่มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์ แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้สามารถเกิดอาการเหน็บชาที่มือขึ้นได้เช่นกัน ดังต่อไปนี้
   1.การดื่มแอลกฮอลล์ จะส่งผลให้ร่างกายของคุณเกิดการเก็บกัก ดูดซับวิตามิน B-1 ได้ยากมากขึ้น
 2.พันธุ์กรรม เป็นโรคภาวะทางพันธุ์กรรมที่หาได้ยาก ที่ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามิน B-1 ได้เท่าที่ควร
 3.อุจจาระร่วงเป็นเวลานาน จะส่งผลให้ร่างกายดูดซับวิตามิน B-1 ได้ไม่ดีเท่าที่ควร
 4.โรคบางอย่าง อาทิเช่น โรคตับ ทำให้ร่างกายสูญเสียความสามารถในการนำวิตามิน B-1 ไปใช้งานอย่างเหมาะสม
5.การฟอกไต เพิ่มความเสี่ยงของโรคเหน็บชาให้มากขึ้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

บำรุงไต ด้วย สารสกัด จากธรรมชาติ

         การบำรุงไตเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าคุณจะป่วยเป็นโรคไตหรือไม่ เนื่องจากถ้าไตแข็งแรงก็จะส่งผลดีต่อการสร้างเสริมสุขภาพในหลายๆด้าน หนึ่งในนั้นคือการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไตที่แข็งแรงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว Macrophage ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเซลล์มะเร็ง เป็นต้น
ไม่เพียงแค่นั้น การบำรุงไตยังมีส่วนช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันให้อยู่ในภาวะสมดุล ซึ่งเมื่อระบบภูมิคุ้มกันสมดุลก็ทำให้อาการของโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันสามารถหายขาดได้ อย่างโรคภูมิแพ้ หอบหืด โรค SLE โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคสะเก็ดเงิน เป็นอาทิ ดังนั้น การบำรุงไตจึงจำเป็นสำหรับทุกคน บทความนี้จึงได้หยิบสารสกัดจากธรรมชาติที่มีส่วนช่วยในการบำรุงไตมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกัน


สารสกัดจากธรรมชาติ บำรุงไต

1.เก๋ากี้ แค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสมุนไพรจีน โดยเก๋ากี้นั้นมีสารอาหารต่างๆมากมายที่ช่วยการทำงานของเซลล์ และอวัยวะได้แก่ betaine, วิตามิน A, B1, B2, calcium, phosphorus, iron, zeaxanthin จากการศึกษาพบว่าสารสกัดจากเก๋ากี้ช่วยยับยั้งการสะสมไขมันในเซลล์ ช่วยในการเกิดใหม่ของเซลล์ตับ บำรุงไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดความดัน ช่วยสร้างเม็ดเลือดให้แข็งแรง ปรับปรุงเซลล์เม็ดเลือดขาว เพิ่มสมรรถภาพทางเพศช่วยระบบเจริญพันธุ์ ลดอาการอักเสบและโรคไขข้ออักเสบ
2.เห็ดหลินจือ ช่วยรักษาโรคไตอักเสบ ไตวาย เนื่องจากเห็ดหลินจือช่วยละลายใยแผลเป็นให้อ่อนตัว ไม่ให้รัดเส้นเลือดที่เลี้ยงไต เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงไตได้ จึงทำให้ไตทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารนิวคลีโอไชด์ มีคุณสมบัติละลายลิ่มเลือด ไม่ให้ลิ่มเลือดเกาะตัวง่ายจนทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ที่สำคัญเห็ดหลินจือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม
3.พุทราจีน ถูกใช้อย่างกว้างขวางในศาสตร์การแพทย์แผนจีน เพราะพุทราจีนประกอบไปด้วยวิตามินซีจำนวนมาก ทั้งยังมีโปรตีน น้ำตาล และวิตามินบี-2 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ ผลวิจัยพบว่า ผู้ที่รับประทานผลพุทราจีนเป็นประจำ จะสามารถหลีกเลี่ยงต่ออาการผนังเส้นเลือดแข็งตัว ผนังเส้นเลือดหัวใจตีบตัน หรือเส้นเลือดในสมองแตก การมีปริมาณคอเลสเตอรอลภายในร่างกายสูง เนื่องจากสารเพคทิน (Pectin) ในพุทราจีนจะช่วยจับโลหะหนักที่ตกค้างในร่างกายและลดคลอเลสเตอรอลได้ มีประโยชน์ต่อไต

4.เส็กตี่ หรือ Chinese foxglove มีสรรพคุณช่วยบำรุงไตให้ชุ่มชื้นมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีพลังไตอ่อนแอ นอกจากนี้เส็กตี่ยังช่วยในการบำรุงเลือด ดังนั้น จึงมีผลทำให้อายุยืน ร่างกายกระปรี้กระเปร่า อ่อนกว่าวัย และยังใช้เป็นยาบำรุง ลดความดัน และลดระดับน้ำตาลในเลือด ขับปัสสาวะ มีฤทธิ์ระบาย แก้ร้อนใน ลดระดับคลอเลสเตอรอล และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งหญิงและชายอีกด้วย
กระนั้นก็ตาม ผู้ที่เป็นโรคไต รวมถึงผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคไต ควรควบคุมอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน โดยควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ควบคู่ไปกับการรับประทานสมุนไพรบำรุงไตข้างต้น รับรองว่าไตจะกลับมาแข็งแรงขึ้น

อาหารที่ควรควบคุม
คนที่เป็นโรคไตหรืออยู่ในภาวะเสี่ยง ควรงดอาหารที่มีเกลือโซเดียมมาก อาหารที่มีรสเค็ม เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ผงชูรส เพราะไตไม่สมารถขับโซเดียมออกจากร่างกายได้หรือขับได้น้อยผิดปกติ เมื่อเกลือในร่างกายมีมาก จะเกิดการอุ้มน้ำเอาไว้มากเกินไป จนคนที่เป็นโรคไตมีอาการบวม นอกจานั้นยังควรจำกัดโปรตีน แนะนำว่าในแต่ละวัน อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์น่าจะมีปริมาณวันละเท่ากับ 1 ฝ่ามือ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตเนฟโฟรติก มีการสูญเสียโปรตีนในปัสสาวะ ให้ใช้วิธีกินโปรตีนคุณภาพสูงเข้าไปทดแทน คือกินเฉพาะไข่ขาวในระหว่างที่ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ

วิธีนี้จะดีกว่าการรับประทานอาหารโปรตีนมากๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียทางไต และแนะนำว่าให้กินไข่ขาววันละ 4-6 ฟอง จะช่วยทดแทนโปรตีนที่สูญเสียไปกับปัสสาวะในแต่ละวัน หากไม่มีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะแล้วก็ให้งดการกินไข่ขาวไป ที่สำคัญควรงดสารปนเปื้อนในอาหารเด็ดขาด เช่น สีผสมอาหาร กลิ่นสังเคราะห์ รสชาติสังเคราะห์ สารกันบูด กันเชื้อรา ฯลฯ เพราะสารเคมีเหล่านี้ล้วนเป็นภาระให้ไตต้องขับออกนอกร่างกาย หรือทำงานหนักมากขึ้นนั่นเอง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อาหาร เสริม บำรุง สุขภาพ ร่างกายแข็งแรง

         หลายคนอาจคิดว่าอาหาร เสริม บำรุง สุขภาพ คงไม่จำเป็นสำหรับร่างกาย แต่จริงๆแล้วมันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกคน เนื่องจากคุณค่าอาหารที่เรารับประทานในปัจจุบันมีลดน้อยลงจนอาจเรียกได้ว่า ไม่เพียงพอต่อร่างกาย โดยเฉพาะพวกผักและผลไม้ที่ควรรับประทานแบบสดๆจึงจะให้คุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ ณ ขณะนี้ส่วนใหญ่จะใช้สารเคมีในการปลูก ผนวกกับกรรมวิธีการปรุงอาหาร กว่าจะมาถึงเรา สารอาหารที่เป็นประโยชน์ก็ถูกลดหย่อนลงไปจนอาหารบางอย่างแทบจะไม่มีสารอาหารเหลือไว้เลย
         ด้วยเหตุผลดังกล่าว อาหาร เสริม บำรุง สุขภาพ จึงได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมากขึ้น ซึ่งส่วนมากจะใช้ตามอาการ เช่น บำรุงสมอง บำรุงสายตา บำรุงผิว แก้ปวดข้อปวดกระดูก เป็นต้น อย่างไรก็ดี อาหาร เสริม บำรุง สุขภาพ ไม่จำเป็นต้องรอให้เห็นอาการ แต่สามารถรับประทานได้ เพราะเป็นอาหารเสริม ไม่ใช่ยารักษาโรค หากรับประทานอย่างถูกต้องก็จะไม่เป็นอันตรายใดๆ เพื่อความกระจ่างมากขึ้น มาดูกันว่าคุณเหมาะกับอาหาร เสริม บำรุง สุขภาพแบบไหน


อาหาร เสริม บำรุง สุขภาพ

         1.ไฟเบอร์ (Fiber) หรือที่เรียกกันว่า ใยอาหาร ช่วยในการทำงานของลำไส้ ให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น แก้อาการท้องผูก และป้องกันการเกิดริดสีดวง สามารถลดระดับคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาล รวมถึงสามารถป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหาร เหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับไฟเบอร์ไม่เพียงพอต่อวัน หรือผู้ที่ไม่ชอบรับประทานผักใบเขียวนั่นเอง
         2.น้ำมันปลา (Fish Oil) มีส่วนผสมของโอเมก้า 3 EPA และ DHL จะช่วยใน 3 เรื่องใหญ่ๆคือ ช่วยพัฒนาในเรื่องความจดจำเรียนรู้ และยังสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ ช่วยบำรุงหัวใจให้แข็งแรง ยับยั้งความเสี่ยงต่ออาการหัวใจวาย และช่วยบำรุงสำหรับสาวๆที่กำลังตั้งครรภ์และขณะให้นมบุตร
         3.แมกนีเซียม ถือเป็นโคเอนไซม์ที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่งในร่างกายที่จะทำงานร่วมกับแคลเซียม ซึ่งจะช่วยให้การผลิตฮอร์โมนต่างๆเป็นปกติ มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบกล้ามเนื้อและเซลล์ต่างๆ มีผลต่อการทำงานของระบบประสาท ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธุ์ ระบบเลือด และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเฉพาะโรคความเครียด ไมเกรน และภาวะกระดูกพรุน ถ้าได้รับประทานร่วมกับแคลเซียม จะช่วยกันทำงานได้ดีมากและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้เป็นอย่างดี

         4.แคลเซียม เป็นแร่ธาตุที่มีอยู่ในร่างกายมากกว่าแร่ธาตุอื่นๆ แคลเซียมและฟอสฟอรัส จะทำงานร่วมกันเพื่อช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง โดยร้อยละ 20 ของแคลเซียมในกระดูกของวัยผู้ใหญ่ จะถูกย่อยสลายและสร้างใหม่ทุกปี นอกจากนี้ร่างกายจำเป็นต้องมีวิตามินดีที่เพียงพอ แคลเซียมจึงจะดูดซึมได้ดี ทั้งนี้ ในอาหาร เสริม บำรุง สุขภาพโดยส่วนใหญ่จะมีวิตามินรวมและแร่ธาตุที่จะใส่แคลเซียมอยู่ด้วย เพราะเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย
         5.วิตามินรวม มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ เช่น การเจริญเติบโต ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท และต่อต้านเชื้อโรค วิตามินยังมีบทบาทในการเปลี่ยนอาหารไปเป็นพลังงานโดยขบวนการทางเคมี วิตามินแบ่งออกเป็นชนิดละลายในน้ำและละลายในไขมัน ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป วิตามินบางตัวเป็น antioxidants ซึ่งป้องกันเซลล์มิให้ถูกทำลาย ชะลอความแก่ ป้องกันมะเร็งจากอนุมูลอิสระ (free radical) สมัยก่อนเชื่อว่าหากรับประทานอาหารได้ตามปกติ ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับวิตามินเสริม แต่ปัจจุบันได้มีรายงานว่าการรับวิตามินเกินความต้องการของร่างกาย อาจจะทำให้ป้องกันโรคได้ เช่น โรคหัวใจ เป็นต้น

         6.สารสกัดจากใบแปะก๊วย ขอเสริมด้วยสารสกัดอีกหนึ่งตัวที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้ นั่นก็คือสารสกัดจากใบแปะก๊วย ที่ช่วยในเรื่องการป้องกันและรักษาโรคอัลไซเมอร์ บำรุงความจำ ป้องกันและรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดจากโรคเบาหวาน ช่วยบำรุงสายตา อาการชา มือเท้าเย็น และอาการตะคริว เหน็บชา และยังช่วยเสริมสร้างฮอร์โมนในเพศชายอีกด้วย
         จะสังเกตได้ว่าอาหาร เสริม บำรุง สุขภาพ ต่างก็มีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยจะทำให้สุขภาพแข็งแรง ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆที่พร้อมจะมาเยือนเราได้ทุกเมื่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การรับประทานอาหารเสริมควรใช้ตามคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม จึงจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มาดูสารอาหาร ต่อต้าน อนุมูล อิสระ

         เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า “อนุมูลอิสระ” ทว่ายังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ทราบความหมายที่แท้จริง โดยเข้าใจกันแต่เพียงว่า มันเป็นสารพิษที่ไม่ดีต่อร่างกาย ซึ่งจริงๆแล้ว อนุมูลอิสระ (Free Radical) คือโมเลกุลที่มีธาตุไม่มั่นคงเนื่องจากขาดอิเล็คตรอนไป 1 ตัว ขณะที่โดยปกติแร่ธาตุทั้งหลายในร่างกายของเราจะมีอิเล็คตรอน (ประจุไฟฟ้าลบ) อยู่วงรอบเป็นจำนวนคู่ (เช่น 2,4,6,8…) จึงจะทำให้โมเลกุลนั้นคงตัว
         แต่ในกรณีที่โมเลกุลนั้นสูญเสียอิเล็คตรอนไป 1 ตัว ก็จะทำให้โมเลกุลนั้นไม่เสถียร และอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องเข้าไปทำปฏิกิริยากับโมเลกุลต่างๆในร่างกายเพื่อเข้าไปแย่งชิงอิเล็คตรอน เมื่อโมเลกุลต่างๆในร่างกายถูกแย่งชิงอิเล็คตรอนไปก็จะอยู่นิ่งไม่ได้เช่นกัน จึงไปแย่งอิเล็คตรอนจากโมเลกุลอื่นๆเป็นลูกโซ่ต่อไปอีกเป็นทอดต่อไปไม่รู้จบสิ้น   

   
         ดังนั้น อนุมูลอิสระจึงเปรียบเหมือนสารพิษต่อเซลล์ร่างกาย ถ้ามีมากในเซลล์ก็จะเป็นอันตรายได้ โดยถึงขั้นทำลายสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) เยื่อหุ้ม แต่เซลล์ร่างกายพวกเม็ดเลือดขาวก็ใช้สารพวกนี้กำจัดแบคทีเรีย หลังจากที่เซลล์กินแบคทีเรียเข้าไปในตัวแล้ว อย่างไรก็ตาม อนุมูลอิสระมีผลต่อการอักเสบ การทำลายเนื้อเยื่อระยะสั้น และในระยะยาวอาจมีผลต่อความเสื่อมของเซลล์ และอาจเป็นสารก่อมะเร็ง โรคหัวใจ ต้อกระจก ฯลฯ
         เมื่อพอเข้าใจกันคร่าวๆแล้ว ต่อไปมาดูกันว่าเราจะจัดการเจ้าวายร้ายอย่างอนุมูลอิสระไปได้อย่างไร โดยบทความนี้ได้นำสารอาหาร ต่อต้าน อนุมูล อิสระ มาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบกัน


สารอาหาร ต่อต้าน อนุมูล อิสระ

         1.วิตามินซี อาหารที่ให้วิตามินซีสูง เช่น ฝรั่ง ส้ม มะขามป้อม มะละกอสุก พริกชี้ฟ้าเขียว บลอกโคลี ผักคะน้า ยอดสะเดา ใบปอ ผักหวาน ผักกาดเขียว ตำลึง ผักบุ้ง เป็นต้น
         2.วิตามินอี มีมากในน้ำมันพืชต่างๆ เช่น น้ำมันจากจมูกข้าวสาลี น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกคำฝอย เมล็ดทานตะวัน เมล็ดอัลมอนด์ จมูกข้าวสาลี
         3.ซีลีเนียม มีมากในอาหารทะเล ปลาทูน่า เนื้อสัตว์และตับ บะหมี่ ไก่ ปลา ขนมปังโฮลวีต
         4.วิตามินเอ มีมากในตับหมู ตับไก่ ไข่โดยเฉพาะไข่แดง น้ำนม พืชผักที่มีสีเขียวเข้ม ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น ผักตำลึง ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอสุก มะเขือเทศ

         5.แคโรทีนอยด์ (เบต้าแคโรทีน ลูทีน และไลโคปีน) มีมากในผักที่มีสีเขียวเข้ม ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้ม เช่น ผักตำลึง ผักกวางตุ้ง ผักบุ้ง ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอสุก มะเขือเทศ
         เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอี เป็นกลุ่มของสารอาหาร ต่อต้าน อนุมูล อิสระที่ดีเยี่ยม ป้องกันไม่ให้ให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารอาหาร ต่อต้าน อนุมูล อิสระ ทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะเบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ดี จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากๆทุกวัน

สมุนไพรต่อต้านอนุมูลอิสระ
         จากข้อมูลของเว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ ระบุว่าสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระพบว่ามีทั้งหมด 30 ชนิด แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
         1.ประเภทชาชง ได้แก่ รางจืด ชาดำ พลูคาว ชาเขียว ฟ้าทลายโจร หญ้าหวาน บอระเพ็ด หญ้าดอกข้าว กระเจี๊ยบ ดอกคำฝอย มะตูม ใบบัวบก และชาฤาษี

         2.ประเภทเครื่องดื่มพร้อมบริโภค ได้แก่ น้ำมะขามป้อม น้ำสมอไทย น้ำมะม่วงหิมพานต์ น้ำมะเกี๋ยง น้ำกระเจี๊ยบ น้ำมะเฟือง น้ำเม่า น้ำองุ่น น้ำลูกยอ น้ำสตอเบอรี่ น้ำว่านชักมดลูก น้ำกระชายดำ และน้ำเก็กฮวย
         3.ประเภทเครื่องดื่มผง ได้แก่ เครื่องดื่มผงใบเตยและหญ้าหนวดแมว
         นอกจากอาหาร ต่อต้าน อนุมูล อิสระแล้ว สิ่งสำคัญในการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัย และสารอนุมูลอิสระ นั่นก็คือการพักผ่อนอย่างเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะจะช่วยให้เลือดสูบฉีด หัวใจแข็งแรง สุขภาพดี โดยไม่ต้องพึ่งยาหรืออาหารเสริมให้เปลืองงบประมาณ เป็นวิธีดูแลร่างกายแบบเบสิคที่ทุกคนควรเอาใจใส่ ไม่ควรปล่อยปละละเลย จะได้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยกันถ้วนหน้า

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เหตุผลที่คุณผู้หญิงควรใช้ยาบำรุงสตรี

         ส่วนใหญ่ยาบำรุงสตรีจะมาพร้อมกับคำว่า อกฟูรูฟิต, ปรับผิวขาวใส, มดลูกเข้าอู่, กระชับผิว ลดริ้วรอย, บำรุงโลหิต, ยกกระชับช่องคลอด, ปรับฮอร์โมน แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายสรรพคุณในแบบที่ใครได้ยินเป็นต้องหูผึ่ง อย่างไรก็ดี หลายๆคน (รวมถึงท่านชาย) ต่างก็มีความสงสัยว่า ยาบำรุงสตรีมันช่วยในเรื่องต่างๆได้ขนาดนั้นเชียวหรือ
         เพื่อให้หายข้องใจ บทความนี้ได้รวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับยาบำรุงสตรีมาให้ได้ทราบกัน ทั้งนี้ ขอบอกเลยว่าถ้าอ่านจบแล้วรับรองว่าคุณ (ผู้หญิง) จะอยากใช้ยาบำรุงสตรีขึ้นมาทันที

1.ช่วยลดสิว ได้หน้าสวยใส
         ในยาบำรุงสตรีจะประกอบไปด้วยสมุนไพรต่างๆมากมายที่ถูกผสมเข้าไปเพื่อให้เกิดผลการบำรุงร่างกายที่ดี ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็จะมีส่วนผสมที่แตกต่างกันไป ซึ่งส่วนผสมหลักๆที่อยู่ในยาสตรีนี้จะถูกแอลกอฮอร์ที่เป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักสกัดสารตัวหนึ่งออกมาเรียกว่า “ไฟโตเอสโตรเจน” ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ไปกำจัดเชื้อรา และมีโครงสร้างที่ใกล้เคียงกันกับ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (ฮอร์โมนหลักๆของเพศหญิง)
         ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักเกิดสิวเนื่องจากความแปรปรวนของฮอร์โมน โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือหลังมีประจำเดือนซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนมีการขึ้นลงแรง ยาบำรุงสตรีจะช่วยรักษาสิวได้โดยการเข้าไปช่วยกระตุ้นในส่วนของฮอร์โมนเพศหญิงให้เพิ่มขึ้น ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล และขับพิษออกจากร่างกายทางผิวหนัง จึงทำให้เกิดสิวน้อยลงได้ได้นั่นเอง


2.ผิวพรรณผุดผ่อง

         ที่บอกกันว่ายาบำรุงสตรีช่วยให้ผิวสวยสดใส ผุดผ่อง ออร่าจับนั้น ไม่ได้มั่วนิ่มแต่อย่างใด เพราะส่วนผสมที่ใส่มานั้นส่วนใหญ่จะช่วยปรับฮอร์โมนเพศให้สมดุล ซึ่งนอกจากจะช่วยลดปัญหาสิวแล้ว ยังทำให้ผิวสวย แลดูมีน้ำมีมวลมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ผิวพรรณจึงผ่องใสอย่างเห็นได้ชัด

3.บำรุงสุขภาพ ประเดือนมาเป๊ะ
         ส่วนใหญ่ต่างก็รู้เหตุผลข้อนี้กันอยู่แล้ว คือยาบำรุงสตรีจะช่วยปรับสมดุลให้ร่างกาย บำรุงเลือดลม สุขภาพโดยรวมแข็งแรงขึ้น มีภูมิต้านทานที่ดีขึ้น ไม่อ่อนเพลียง่าย มีเรี่ยวแรง กระปรี้กระเปร่า ที่สำคัญคือจะช่วยแก้ปัญหาประจำเดือนมาไม่ปกติ ซึ่งสาวๆส่วนใหญ่มักใช้ยาบำรุงสตรีด้วยเหตุผลนี้เป็นหลัก เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ประจำเดือนมาไม่ปกติหรือปวดท้องน้อยมากๆ ยาสตรีนี้ก็สามารถช่วยคุณได้


4.แก้อาการ Office symdrome

         นอกเหนือจากการบำรุงร่างกายให้คุณผู้หญิงแล้ว ยาบำรุงสตรียังช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง ปวดเอว และปวดศีรษะเนื่อจากการไหลเวียนโลหิตหมุนเวียนไม่สะดวก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการรวิงเวียน มึนงง ปวดต้นคอร้าวไปถึงไหล โดยอาการเหล่านี้พบได้บ่อยให้สาวที่ทำงานออฟฟิศ อาการกลุ่มนี้เรียกว่า “Office syndrome” นั่นเอง นอกจากนี้ ยาบำรุงสตรียังช่วยให้อาการปวดไม่เกรนดีขึ้นอีกด้วย

5.ปรับสมดุลให้คุณแม่หลังคลอด
         สมุนไพรในยาบำรุงสตรี เช่น กวาวเครือ ว่านชักมดลูก ว่านนางคำ นอกจากทำให้มดลูกบีบตัวแล้วยังช่วยบีบน้ำคาวปลาออกมาทำให้มดลูกกระชับสะอาด ลดการอักเสบ และบำรุงเลือดไปพร้อมกัน เพื่อทำให้เลือดลมงาม เมื่อร่างกายสมบูรณ์น้ำนมก็จะดีตามด้วย
         โดยสรุปแล้ว ยาบำรุงสตรีจะเน้นในการปรับสมดุลในร่างกาย ปรับฮอร์โมน บำรุงเลือดลมดี ซึ่งมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายโดยรวมของคุณผู้หญิงเป็นอย่างมาก ดังนั้น การใช้ยาบำรุงสตรีจึงไม่ใช่เพื่อให้หน้าอกฟูรูฟิตเป็นหลัก ทว่ามันคือยาบำรุงร่างกายชั้นเยี่ยมสำหรับสตรี
         กระนั้นก็ตาม อย่าคิดมันยาวิเศษเป็นอันขาด เนื่องจากยาบำรุงสตรีแต่ละยี่ห้อมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน หากใช้แล้วเกิดสิ่งผิดปกติหรือเกิดผลเสียต่อร่างกาย เช่น อาเจียน อ่อนเพลีย มึนศีรษะ ก็ควรเลิกใช้ เพราะอาจมีส่วนผสมบางอย่างที่ไม่ถูกกับร่างกาย หรือเป็นอันตรายได้

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เส้นเลือดตีบตัน…ภัยเงียบที่ไม่ควรประมาท

         ปัจจุบันมีผู้ป่วยเป็นโรคเส้นเลือดตีบตันเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งมีแนวโน้มสูงมากที่จะเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดตามมา โดยในปีที่ผ่านมาพบว่ามีจำนวนผู้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากโรคดังกล่าวกว่า 10 ล้านคน และคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จำนวนการตายจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน ในจำนวนนี้ 13 ล้านคนมาจากประเทศกำลังพัฒนาและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก
         สำหรับประเทศไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาพบว่า มีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มสูงขึ้นถึง 20 เท่า โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือ ทั้งนี้ สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ การทำงานที่แข่งขันกับเวลา ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ความดันสูง เบาหวาน ความอ้วน การสูบบุหรี่ การขาดการออกกำลังกาย ความเครียด และอาหาร


เส้นเลือดตีบตัน คืออะไร

         โรคเส้นเลือดตีบในที่นี้ หมายถึงหลอดเลือดแดงขนาดกลาง หรือเส้นใหญ่ มีการสะสมของไขมันและแคลเซียมที่ผนังด้านในของหลอดเลือดแดง เมื่อสะสมมีขนาดใหญ่พอ ก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะน้อยลง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตัน และมีผลทำให้เกิดอาการร้ายแรงตามมา เช่น โรคหลอดเลือดในสมอง หลอดเลือดหัวใจตีบตัน กลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น
         โดยสาเหตุทางการแพทย์ยังไม่ทราบทั้งหมด แต่ก็มีข้อสันนิฐานของการเกิดเส้นเลือดตีบตันได้จากการได้ผลกระทบที่ผนังหลอดเลือดแดง (intima) ซึ่งอาจจะเกิดจากแรงดันของความดันโลหิต การอักเสบจากโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน โรคติดเชื้อบางชนิดเช่น Chlamydia pneumoniae or Helicobacter pylori) หรือเชื้อไวรัสบางตัวเช่น cytomegalovirus สารเคมีในร่างกาย เช่น ไขมัน Cholesterol น้ำตาล

         เมื่อผนังหลอดเลือดแดงได้รับอันตรายไม่ว่าจะเกิดจากไขมัน หรือการติดเชื้อ ก็จะมีเม็ดเลือดขาวที่เรียกว่า Monocyte หรือ Macrophage มาจัดการกับสิ่งแปลกปลอมนั้น เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเกิดเป็นคราบหรือที่เรียกว่า Plaque ซึ่งจะมีขนาดใหญ่จนบางครั้งอาจจะอุดทำให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะน้อยลง
         แต่ก็มีบางภาวะโดยเฉพาะคราบที่เกิดใหม่ซึ่งส่วนประกอบของคราบจะเป็นไขมัน โดยที่มีผังผืด Fibrous capsule ไม่แข็งแรง เมื่อเจอภาวะที่แรงดันเลือดสูงทำให้คราบนั้นฉีกขาด ร่างกายก็จะมีเกล็ดเลือด เม็ดเลือดขาวมายังที่เกิดการฉีกขาด ทำให้เกิดลิ่มเลือด Thrombus ซึ่งอาจจะอุดตันเส้นเลือดดังกล่าวหรืออาจจะหลุดลอยไปอุดเส้นเลือดส่วนปลายทำให้เกิดเส้นเลือดตีบตัน

ผลกระทบจากเส้นเลือดตีบตัน
         อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า หากมีภาวะเส้นเลือดตีบตัน จะทำให้เกิดโรคร้ายแรงตามมามากมาย หนึ่งในโรคที่เป็นกันมากคือ “โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน” ซึ่งอาจกว่าได้ว่าเกิดจากความเสื่อมของเส้นเลือด ผลพวงของการมีไขมันและการสะสมของหินปูนไปเกาะเส้นเลือดแดง จนเกิดการอุดตันหรือเส้นเลือด ปริแตกเกิดขึ้น จึงส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง บางรายอาจทำให้เสียชีวิตแบบเฉียบพลันได้ ส่วนเหตุที่ทำให้หลอดเลือดหัวใจเสื่อม เกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น การสูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคอ้วน ซึ่งทำให้เส้นเลือดตีบ

         สำหรับการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่ได้รับความนิยม คือการขยายหลอดเลือดที่ตีบด้วย บอลลูน และใส่ขดลวดค้ำยัน ในรายที่มีหลอดเลือดตีบหลายตำแหน่ง การรักษาที่เป็นมาตรฐาน มักจะใช้วิธีการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือที่รู้จักกันว่า “การทำบายพาส” นั่นเอง
         เห็นไหมว่าเส้นเลือดตีบตัน เปรียบเสมือนภัยเงียบที่ไม่ควรประมาท ถ้าไม่อยากเผชิญกับโรคร้ายนี้ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะเป็นการลดปัจจัยเสี่ยง เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนัก และอาหารการกิน โดยให้รับประทานผัก ผลไม้ รวมถึงอาหารที่มีเส้นใยสูง ที่สำคัญควรหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด ทำจิตใจให้สบาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และต้องหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ไตวาย อันตรายถึงชีวิตที่หลายคนมองข้าม

         “ไต” เป็นอวัยวะสำคัญ ที่ทำหน้าที่คอยช่วยกรองของเสียออกจากเลือด นอกจากนี้ไตยังมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิต ให้มีความสมดุล การผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงภายในร่างกาย ดังนั้นเมื่อเกิดอาการไตวาย หรือไตล้มเหลวขึ้น จะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ หายใจถี่ ง่วง ความสับสนมึนงง และที่สำคัญที่สุดเลยคือ ร่างกายไม่สามารถที่จะแยกเอาโพแสเซียมออกจากกระแสเลือด จนนำไปสู่จังหวะการเต้าของหัวใจที่ผิดปกติ ซึ่งร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด
 มีหลายสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการไตวาย การรักษาที่ดีในขั้นต้นสำหรับบางสาเหตุอาจจะเริ่มจากการเยียวยารักษาไตให้กลับมาเป็นปกติ และอาจจำเป็นที่จะต้องใช้ความพยายามตลอดทั้งชีวิตในการควบคุมความดันโลหิต และโรคเบาหวาน แต่อาการไตวายอาจจะมีความรุนแรงมากขึ้น ภายในปัจจัย และสถานการณ์ต่างๆ เนื่องจากอายุการทำงานของไตที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เซลล์ทำงานของไตมีการเสื่อมสภาพมากขึ้นไปตามวันเวลาที่ผ่านไป อย่างไรก็ตามหากไตเกิดอาการล้มเหลว หรือไตวายอย่างสิ้นเชิง หนทางรักษาที่เหลืออยู่จะมีเพียงทางเดียว นั่นก็คือการล้างไต หรือปลูกถ่ายเท่านั้น

บทบาทหน้าที่ของไตภายในร่างกาย
 ไต อยู่ในร่างกายบริเวณช่องท้องค่อนไปทางด้านหลัง ในด้านของกระดูกสันหลัง ไตจะทำหน้าที่ในการคัดกรองของเสียออกจากกระแสเลือดผ่านทางหลอดเลือดแดงใหญ่โดยตรง พร้อมกับส่งเลือดผ่านกลับสู่หัวใจผ่านทางหลอดเลือดดำของไต
   นอกจากนี้ ไต ยังมีความสามารถในการตรวจสอบปริมาณของเหลวในร่างกาย ความเข้มข้นของอิเล็กโทร เช่น โซเดียม และโพแทสเซียม รวมไปถึงความสมดุลของกรดต่างๆในร่างกายให้อยู่ในระดับมาตราฐาน ไตจะทำหน้าที่ช่วยกรองของเสียจากการเผาผลาญของร่างกายอื่นๆ เช่น ยูเรีย จากการเผาผลาญโปรตีน และกรดยูริค จากการสลายดีเอ็นเอ เป็นต้น
 เมื่อเลือดไหลไปที่ไต เซ็นเซอร์ภายในเซลล์จะทำหน้าที่คอยควบคุมว่าร่างกายจะมีการขับของเสียที่ถูกกรองออกปริมาณมากน้อยเพียงใด ผ่านการปัสสาวะ ถ้าหากคนที่ร่างกายขาดน้ำมาก เช่น หลังการออกกำลังกาย หรือการเจ็บป่วย ปัสสาวะจะมีสีเข้ม ไตจะทำการคัดกรองของเสียเข้าไปในปริมาณมากที่สุด โดยปัสสาวะให้น้อยที่สุด เพื่อรักษารดับภายในร่างกายเอาไว้ แต่ถ้าหากระดับน้ำในร่างกายสูง ปัสสาวะก็จมีสีอ่อนลง นอกจากนี้ไต ยังทำหน้าที่ในการความคุมการสร้างเม็ดเลือดแดงภายในร่างกายอีกด้วย

อาการไตวาย ข้อเท็จจริงของอันตรายที่คุณควรทราบ
 เมื่อเกิดอาการไตวาย โดยเฉพาะอาการไตวายฉียบพลัย ความสามารถในการทำงานของไตจะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากคนเราจะมีไตอยู่สองข้าง ถ้าหากโชคดีมีเพียงไตด้านเดียวที่เกิดอาการล้มเหลว แพทย์สามารถที่จะถอดไตนั้นออกได้ แม้จะเหลือไตเพียงข้างเดียว คุณก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ตามปกติเช่นเดิม แต่ถ้าหากอาการไตวายเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์กับไตทั้งสองแล้วล่ะก็ คุณอาจจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน จากการสะสมของเสียเอาไว้ภายในกระแสเลือดที่มากจนเกินไป สำหรับอาการที่ก่อให้เกิดอาการไตวายขึ้น มีดังต่อไปนี้
 1.ปริมาณเลือดต่ำ การสูญเสียเลือด หรือน้ำภายในร่างกายในปริมาณมากๆ
 2.การบริโภคของเหลวที่ไม่ดี เช่น ยาขับปัสสาวะ ที่ก่อให้เกิดการสูญเสียน้ำภายในร่างกายที่มากจนเกินไป
3.การไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติ ที่มักเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอุดตันของหลอดเลือดแดงไต หลอดเลือดดำ เป็นต้น
4.แบคทีเรีย การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด โดยเฉพาะในทางเดินปัสสาวะ นำไปสู่การเกิดอาการไตอักเสบ และการปิดของไต
 5.ยาบางชนิดที่เป็นพิษต่อไต เช่น Nonsteroidal ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น ibuprofen (แอ๊ด Motrin และอื่น ๆ ) และ naproxen (Aleve, Naprosyn) ยาปฏิชีวนะเช่น aminoglycosides GENTAMICIN (Garamycin), tobramycin ,ลิเธียม (Eskalith, Lithobid) เป็นต้น ยาเหล่านี้บางครั้ง จะทำให้กล้ามเนื้อ ระบบการกรองของไตอุดตัน หรือได้รับความบาดเจ็บ ที่อาจนำไปสู่อาการไตวาย ในที่สุด

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.