บำรุงไต ด้วย สารสกัด จากธรรมชาติ

         การบำรุงไตเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าคุณจะป่วยเป็นโรคไตหรือไม่ เนื่องจากถ้าไตแข็งแรงก็จะส่งผลดีต่อการสร้างเสริมสุขภาพในหลายๆด้าน หนึ่งในนั้นคือการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ไตที่แข็งแรงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว Macrophage ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเซลล์มะเร็ง เป็นต้น
ไม่เพียงแค่นั้น การบำรุงไตยังมีส่วนช่วยปรับระบบภูมิคุ้มกันให้อยู่ในภาวะสมดุล ซึ่งเมื่อระบบภูมิคุ้มกันสมดุลก็ทำให้อาการของโรคต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันสามารถหายขาดได้ อย่างโรคภูมิแพ้ หอบหืด โรค SLE โรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคสะเก็ดเงิน เป็นอาทิ ดังนั้น การบำรุงไตจึงจำเป็นสำหรับทุกคน บทความนี้จึงได้หยิบสารสกัดจากธรรมชาติที่มีส่วนช่วยในการบำรุงไตมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกัน


สารสกัดจากธรรมชาติ บำรุงไต

1.เก๋ากี้ แค่ชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสมุนไพรจีน โดยเก๋ากี้นั้นมีสารอาหารต่างๆมากมายที่ช่วยการทำงานของเซลล์ และอวัยวะได้แก่ betaine, วิตามิน A, B1, B2, calcium, phosphorus, iron, zeaxanthin จากการศึกษาพบว่าสารสกัดจากเก๋ากี้ช่วยยับยั้งการสะสมไขมันในเซลล์ ช่วยในการเกิดใหม่ของเซลล์ตับ บำรุงไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด และลดความดัน ช่วยสร้างเม็ดเลือดให้แข็งแรง ปรับปรุงเซลล์เม็ดเลือดขาว เพิ่มสมรรถภาพทางเพศช่วยระบบเจริญพันธุ์ ลดอาการอักเสบและโรคไขข้ออักเสบ
2.เห็ดหลินจือ ช่วยรักษาโรคไตอักเสบ ไตวาย เนื่องจากเห็ดหลินจือช่วยละลายใยแผลเป็นให้อ่อนตัว ไม่ให้รัดเส้นเลือดที่เลี้ยงไต เพื่อให้เลือดไหลไปเลี้ยงไตได้ จึงทำให้ไตทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีสารนิวคลีโอไชด์ มีคุณสมบัติละลายลิ่มเลือด ไม่ให้ลิ่มเลือดเกาะตัวง่ายจนทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือด ช่วยทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น ที่สำคัญเห็ดหลินจือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม
3.พุทราจีน ถูกใช้อย่างกว้างขวางในศาสตร์การแพทย์แผนจีน เพราะพุทราจีนประกอบไปด้วยวิตามินซีจำนวนมาก ทั้งยังมีโปรตีน น้ำตาล และวิตามินบี-2 ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมนุษย์ ผลวิจัยพบว่า ผู้ที่รับประทานผลพุทราจีนเป็นประจำ จะสามารถหลีกเลี่ยงต่ออาการผนังเส้นเลือดแข็งตัว ผนังเส้นเลือดหัวใจตีบตัน หรือเส้นเลือดในสมองแตก การมีปริมาณคอเลสเตอรอลภายในร่างกายสูง เนื่องจากสารเพคทิน (Pectin) ในพุทราจีนจะช่วยจับโลหะหนักที่ตกค้างในร่างกายและลดคลอเลสเตอรอลได้ มีประโยชน์ต่อไต

4.เส็กตี่ หรือ Chinese foxglove มีสรรพคุณช่วยบำรุงไตให้ชุ่มชื้นมีประโยชน์ต่อผู้ที่มีพลังไตอ่อนแอ นอกจากนี้เส็กตี่ยังช่วยในการบำรุงเลือด ดังนั้น จึงมีผลทำให้อายุยืน ร่างกายกระปรี้กระเปร่า อ่อนกว่าวัย และยังใช้เป็นยาบำรุง ลดความดัน และลดระดับน้ำตาลในเลือด ขับปัสสาวะ มีฤทธิ์ระบาย แก้ร้อนใน ลดระดับคลอเลสเตอรอล และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับอวัยวะสืบพันธุ์ทั้งหญิงและชายอีกด้วย
กระนั้นก็ตาม ผู้ที่เป็นโรคไต รวมถึงผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะเป็นโรคไต ควรควบคุมอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน โดยควรทำตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ควบคู่ไปกับการรับประทานสมุนไพรบำรุงไตข้างต้น รับรองว่าไตจะกลับมาแข็งแรงขึ้น

อาหารที่ควรควบคุม
คนที่เป็นโรคไตหรืออยู่ในภาวะเสี่ยง ควรงดอาหารที่มีเกลือโซเดียมมาก อาหารที่มีรสเค็ม เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ผงชูรส เพราะไตไม่สมารถขับโซเดียมออกจากร่างกายได้หรือขับได้น้อยผิดปกติ เมื่อเกลือในร่างกายมีมาก จะเกิดการอุ้มน้ำเอาไว้มากเกินไป จนคนที่เป็นโรคไตมีอาการบวม นอกจานั้นยังควรจำกัดโปรตีน แนะนำว่าในแต่ละวัน อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์น่าจะมีปริมาณวันละเท่ากับ 1 ฝ่ามือ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคไตเนฟโฟรติก มีการสูญเสียโปรตีนในปัสสาวะ ให้ใช้วิธีกินโปรตีนคุณภาพสูงเข้าไปทดแทน คือกินเฉพาะไข่ขาวในระหว่างที่ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ

วิธีนี้จะดีกว่าการรับประทานอาหารโปรตีนมากๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียทางไต และแนะนำว่าให้กินไข่ขาววันละ 4-6 ฟอง จะช่วยทดแทนโปรตีนที่สูญเสียไปกับปัสสาวะในแต่ละวัน หากไม่มีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะแล้วก็ให้งดการกินไข่ขาวไป ที่สำคัญควรงดสารปนเปื้อนในอาหารเด็ดขาด เช่น สีผสมอาหาร กลิ่นสังเคราะห์ รสชาติสังเคราะห์ สารกันบูด กันเชื้อรา ฯลฯ เพราะสารเคมีเหล่านี้ล้วนเป็นภาระให้ไตต้องขับออกนอกร่างกาย หรือทำงานหนักมากขึ้นนั่นเอง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

การใช้ยาโรคไตที่ถูกต้อง

         เมื่อเกิดโรคต่างๆขึ้นแล้ว สิ่งแรกที่คนเรามักนึกถึงก็คือการหายามารับประทาน อย่างเช่น เมื่อเริ่มมีอาการปวดหัวตัวร้อน ก็จัดการรับประทานยาพารา หรือยาลดไข้ เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับยาโรคไต ไม่ว่าจะเป็นไตวายเรื้อรัง โรคถุงน้ำที่ไต โรคไตอักเสบ และอื่นๆที่เกี่ยวกับไต จำเป็นต้องได้รับการรักษาและการใช้ยาโรคไตที่ถูกต้อง เพราะไตเป็นอวัยวะสำคัญและมีความละเอียดอ่อน หากขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ยาก็อาจส่งผลเสียต่อไต หรือยิ่งทำให้อาการทรุดหนักได้


ข้อมูลเกี่ยวกับยาโรคไตที่ควรทราบ

         1.ชื่อยาและขนาดยาที่ใช้ ยาบางรายการแพทย์จะพิจารณาปรับขนาดยาตามค่าการทำงานของไต หากผู้ป่วยโรคไตได้รับยาที่ถูกขจัดออกโดยไตในขนาดเท่ากับคนปกติ อาจเกิดการสะสมของยาในร่างกายจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากยาและเกิดพิษต่อไตตามมาได้ ผู้ป่วยจึงควรให้ความสำคัญกับชื่อยา ลักษณะเม็ดยา ขนาดยา และวิธีที่รับประทานต่อวันเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยาของผู้ป่วยเอง
         2.วัตถุประสงค์ของการใช้ยา ยาโรคไตบางชนิดมีหลายข้อบ่งใช้ ผู้ป่วยควรทราบข้อบ่งใช้และยาที่มีความจำเพาะเจาะจงต่อตนเอง ตลอดจนผลที่คาดหวังจากการใช้ยา
         3.วิธีการรับประทานยาและข้อควรระวัง ยาบางรายการมีวิธีการรับประทานยาที่แตกต่างไป ยาบางรายการมีขนาดและระยะเวลารับประทานซึ่งแพทย์ได้พิจารณาจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ อาจมีการปรับขนาดยาลงหรือเพิ่มขนาดยามากขึ้นในแต่ละครั้งที่ผู้ป่วยเข้ารับการตรวจรักษา ผู้ป่วยจึงควรสอบถามข้อมูลจากแพทย์และเภสัชกรให้ละเอียด

 
ตัวอย่างยาที่อาจส่งผลเสียต่อไต
         1.ยาแก้ปวดลดการอักเสบ ยากลุ่มนี้ไม่ใช่สเตียรอยด์ ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนค อินโดเมทาซิน นาโปรเซน และซีลีคอกซิบ เป็นต้น ซึ่งผลข้างเคียงอาจทำให้เกิดอาการบวม ความดันโลหิตสูง อันเป็นผลมาจากการคั่งของน้ำและเกลือในร่างกาย และยังมีผลทำให้การทำงานของไตลดลงด้วย จึงควรหลีกเลี่ยงงการใช้ยากลุ่มนี้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
         2.ยาหรือพืชสมุนไพรบางชนิด ปัจจุบันมีการนำยาสมุนไพรมาใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งอาจต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากข้อมูลการศึกษาของสมุนไพรในผู้ป่วยโรคไตยังมีน้อย และยังขาดการตรวจสอบด้านมาตรฐานในการผลิต นำมาซึ่งสารพิษและสิ่งเจือปน มีผลทำให้การทำงานของไตลดลงได้
         3.สารทึบรังสี (Contrast media) บางครั้งผู้ป่วยโรคไตอาจมีความจำเป็นต้องทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องได้รับสารทึบรังสีเข้าสู่ร่างกายทางหลอดเลือดดำ อันจะส่งผลให้การทำงานของไตลดลงเฉียบพลัน ดังนั้น ก่อนเอกซเรย์ทุกครั้งควรแจ้งให้รังสีแพทย์ทราบว่ามีโรคไต เพื่อจะได้ให้การป้องกันไม่ให้การทำงานของไตเสื่อมลง
         4.ยาปฏิชีวนะ ที่มีผลทำให้ไตเสื่อมการทำงาน เช่น ยา Gentamicin และ Amikacin การได้รับยากลุ่มนี้อาจทำให้การทำงานของไตลดลง และยาปฏิชีวนะบางตัวจะต้องมีการปรับลดขนาดยาลงในผู้ป่วยโรตไตเรื้อรัง ดังนั้น จึงไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง


คำแนะนำในการใช้ยาโรคไต

         ผู้ป่วยโรคไตต้องเข้าใจว่าการใช้ยาโรคไต มีเป้าหมายเพื่อชะลอการเสื่อมของไต และป้องกันและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ฉะนั้น ผู้ป่วย ญาติ หรือผู้ดูแล ควรแจ้งให้แพทย์และทีมรักษาทราบถึงรายการยา อาหารเสริม วิตามิน สมุนไพรที่ผู้ป่วยได้รับอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากยาและสมุนไพรบางชนิดอาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยารักษาโรคไตที่ผู้ป่วยใช้อยู่ หรืออาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่อไตได้ ส่วนวิตามินบางรายการอาจเกิดการสะสมในร่างกายเนื่องจากไตไม่สามารถทำหน้าที่ขจัดวิตามินเหล่านั้นออกได้ตามปกติ
         ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการซื้อยา อาหารเสริม วิตามิน และสมุนไพรมารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนทุกครั้ง และในแต่ละครั้งที่เข้าพบแพทย์ อาจมีการปรับเปลี่ยนขนาดยาที่ได้รับอยู่เดิม ดังนั้นผู้ป่วย ญาติ และผู้ดูแลควรสอบถามแพทย์ถึงระยะเวลาการรับประทานยาและขนาดยาที่ปรับเปลี่ยนไปในแต่ละครั้ง และควรยึดวิธีการรับประทานยาตามการใช้ยาครั้งใหม่ เพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการรักษาโรคไต

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคไต…โรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเป็น

         ทราบหรือมไม่ โรคไตนับเป็นปัญหาอันดับต้นๆของระบบสาธารณสุขทั่วโลก ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังจำนวน 8 ล้านคน มีผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 1 หมื่นคน และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นทุกปี ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายที่ต้องการการรักษาด้วยวิธีบำบัดทดแทนไต เช่น การฟอกเลือดทำไตเทียมการล้างไตทางช่องท้อง และการปลูกถ่ายไต รวม 4 หมื่นคน
         และข้อมูลสถิติที่น่าสนใจของผู้ป่วยโรคไตคือ ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลด้วยวิธีบำบัดทดแทนไต ต้องใช้งบประมาณ 2 แสนบาทต่อคนต่อปี คำนวณค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยทั้งประเทศจะสูงถึง 4-6 พันล้านบาท นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังต้องรับภาระค่ายา ค่าพาหนะ และคุณภาพชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ มีความทุกข์ทั้งกายและใจอีกด้วย เห็นไหมว่าโรคไตเป็นอีกหนึ่งโรคร้ายที่เป็นกันมาก และมีค่าใช้จ่ายแพงหูฉี่เลยทีเดียว


โรคไต คืออะไร

         เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องเราควรทราบกันก่อนว่า โรคไต หมายถึงโรคอะไรก็ได้ที่มีความผิดปกติหรือที่เรียกว่า “พยาธิสภาพ” เกิดที่บริเวณไต ที่พบมาก ได้แก่ โรคไตวายฉับพลันจากเหตุต่างๆ โรคไตวายเรื้อรังเกิดตามหลังโรคเบาหวาน โรคไตอักเสบ หรือโรคความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบเนโฟรติก โรคไตอักเสบจากภาวะภูมิคุ้มกันสับสน (โรค เอส.แอล.อี.) โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และโรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic Kidney Disease)

อาการของผู้ป่วยโรคไต
         ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตแต่ละชนิด จะมีอาการแตกต่างกันไป แต่ส่วนมากมักจะปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นเลือดสดๆ เลือดเป็นลิ่มๆ ปัสสาวะเป็นสีแดง สีน้ำล้างเนื้อ สีชาแก่ๆ หรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มก็ได้ ปัสสาวะเป็นฟองมาก เพราะมี albumin หรือโปรตีนออกมามาก จะทำให้ปัสสาวะมีฟองขาวๆเหมือนฟองสบู่ รวมทั้งการมีปัสสาวะเป็นเลือด พร้อมกับมีไข่ขาว-โปรตีนออกมาในปัสสาวะพร้อมๆกัน ก็เป็นข้อสันนิฐานที่มีน้ำหนักมากว่าจะเป็นโรคไต
         นอกจากนี้ หากปัสสาวะเป็นสีขุ่น อาจเกิดจากมี เม็ดเลือดแดง (ปัสสาวะเป็นเลือด) เม็ดเลือดขาว (มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย (แสดงว่ามีการติดเชื้อ) หรืออาจเกิดจากสิ่งที่ร่างกายขับออกจากไต แต่ละลายได้ไม่ดี เช่น พวกผลึกคริสตัลต่างๆ เป็นต้น และความผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ เช่น การถ่ายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบ ปัสสาวะราด เบ่งปัสสาวะ อาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมาก และท่อทางเดินปัสสาวะ

         สำหรับใครที่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง (colicky pain) ร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่น หรือมีกรวดทราย แสดงว่าเป็นนิ่วในไต และทางเดินปัสสาวะ มีก้อนบริเวณไต หรือบริเวณบั้นเอวทั้ง 2 ข้าง อาจเป็นโรคไต เป็นถุงน้ำการอุดตันของไต หรือเนื้องอกของไต
         อาการปวดหลังมักเกิดในกรณีที่เป็นกรวยไตอักเสบ จะมีอาการไข้หนาวสั่น และปวดหลังบริเวณไต คือ บริเวณสันหลังใต้ซี่โครงซีกสุดท้าย อาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่บริเวณหนังตาในตอนเช้า หรือหน้าบวม ซึ่งถ้าเป็นมาก จะมีอาการบวมทั่วตัว อาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อย โรคไตอักเสบชนิดเนฟโฟรติค ซินโดรม (Nephrotic Syndrome)
         ส่วนกรณีที่มีความดันโลหิตสูง อาจเกิดจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิต ประกอบกับไตมีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำ และเกลือแร่ในร่างกาย เพราะฉะนั้นความดันโลหิตสูงอาจเป็นเพราะโรคไตโดยตรง หรือในระยะไตวายมากๆ ความดันโลหิตก็จะสูง ได้
         หากพบว่าตัวเองมีอาการดังกล่าวก็อาจเข้าข่ายเป็นผู้ป่วยโรคไตได้ ดังนั้น จึงควรไปพบแพทย์เพื่อทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ จึงจะพอบอกได้แน่นอนขึ้น ว่าเป็นโรคไตหรือไม่ ถ้าผลตรวจออกมาว่าเป็นโรคไตจะได้ทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ แต่หากไม่ใช่ ก็จะได้หาวิธีป้องกันโรคร้ายนี้ต่อไป

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ไตวาย อันตรายถึงชีวิตที่หลายคนมองข้าม

         “ไต” เป็นอวัยวะสำคัญ ที่ทำหน้าที่คอยช่วยกรองของเสียออกจากเลือด นอกจากนี้ไตยังมีส่วนช่วยในการควบคุมความดันโลหิต ให้มีความสมดุล การผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงภายในร่างกาย ดังนั้นเมื่อเกิดอาการไตวาย หรือไตล้มเหลวขึ้น จะทำให้ร่างกายเกิดความอ่อนแอ หายใจถี่ ง่วง ความสับสนมึนงง และที่สำคัญที่สุดเลยคือ ร่างกายไม่สามารถที่จะแยกเอาโพแสเซียมออกจากกระแสเลือด จนนำไปสู่จังหวะการเต้าของหัวใจที่ผิดปกติ ซึ่งร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้ในที่สุด
 มีหลายสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการไตวาย การรักษาที่ดีในขั้นต้นสำหรับบางสาเหตุอาจจะเริ่มจากการเยียวยารักษาไตให้กลับมาเป็นปกติ และอาจจำเป็นที่จะต้องใช้ความพยายามตลอดทั้งชีวิตในการควบคุมความดันโลหิต และโรคเบาหวาน แต่อาการไตวายอาจจะมีความรุนแรงมากขึ้น ภายในปัจจัย และสถานการณ์ต่างๆ เนื่องจากอายุการทำงานของไตที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เซลล์ทำงานของไตมีการเสื่อมสภาพมากขึ้นไปตามวันเวลาที่ผ่านไป อย่างไรก็ตามหากไตเกิดอาการล้มเหลว หรือไตวายอย่างสิ้นเชิง หนทางรักษาที่เหลืออยู่จะมีเพียงทางเดียว นั่นก็คือการล้างไต หรือปลูกถ่ายเท่านั้น

บทบาทหน้าที่ของไตภายในร่างกาย
 ไต อยู่ในร่างกายบริเวณช่องท้องค่อนไปทางด้านหลัง ในด้านของกระดูกสันหลัง ไตจะทำหน้าที่ในการคัดกรองของเสียออกจากกระแสเลือดผ่านทางหลอดเลือดแดงใหญ่โดยตรง พร้อมกับส่งเลือดผ่านกลับสู่หัวใจผ่านทางหลอดเลือดดำของไต
   นอกจากนี้ ไต ยังมีความสามารถในการตรวจสอบปริมาณของเหลวในร่างกาย ความเข้มข้นของอิเล็กโทร เช่น โซเดียม และโพแทสเซียม รวมไปถึงความสมดุลของกรดต่างๆในร่างกายให้อยู่ในระดับมาตราฐาน ไตจะทำหน้าที่ช่วยกรองของเสียจากการเผาผลาญของร่างกายอื่นๆ เช่น ยูเรีย จากการเผาผลาญโปรตีน และกรดยูริค จากการสลายดีเอ็นเอ เป็นต้น
 เมื่อเลือดไหลไปที่ไต เซ็นเซอร์ภายในเซลล์จะทำหน้าที่คอยควบคุมว่าร่างกายจะมีการขับของเสียที่ถูกกรองออกปริมาณมากน้อยเพียงใด ผ่านการปัสสาวะ ถ้าหากคนที่ร่างกายขาดน้ำมาก เช่น หลังการออกกำลังกาย หรือการเจ็บป่วย ปัสสาวะจะมีสีเข้ม ไตจะทำการคัดกรองของเสียเข้าไปในปริมาณมากที่สุด โดยปัสสาวะให้น้อยที่สุด เพื่อรักษารดับภายในร่างกายเอาไว้ แต่ถ้าหากระดับน้ำในร่างกายสูง ปัสสาวะก็จมีสีอ่อนลง นอกจากนี้ไต ยังทำหน้าที่ในการความคุมการสร้างเม็ดเลือดแดงภายในร่างกายอีกด้วย

อาการไตวาย ข้อเท็จจริงของอันตรายที่คุณควรทราบ
 เมื่อเกิดอาการไตวาย โดยเฉพาะอาการไตวายฉียบพลัย ความสามารถในการทำงานของไตจะหายไปอย่างรวดเร็ว แต่เนื่องจากคนเราจะมีไตอยู่สองข้าง ถ้าหากโชคดีมีเพียงไตด้านเดียวที่เกิดอาการล้มเหลว แพทย์สามารถที่จะถอดไตนั้นออกได้ แม้จะเหลือไตเพียงข้างเดียว คุณก็สามารถที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ตามปกติเช่นเดิม แต่ถ้าหากอาการไตวายเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์กับไตทั้งสองแล้วล่ะก็ คุณอาจจะเกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน จากการสะสมของเสียเอาไว้ภายในกระแสเลือดที่มากจนเกินไป สำหรับอาการที่ก่อให้เกิดอาการไตวายขึ้น มีดังต่อไปนี้
 1.ปริมาณเลือดต่ำ การสูญเสียเลือด หรือน้ำภายในร่างกายในปริมาณมากๆ
 2.การบริโภคของเหลวที่ไม่ดี เช่น ยาขับปัสสาวะ ที่ก่อให้เกิดการสูญเสียน้ำภายในร่างกายที่มากจนเกินไป
3.การไหลเวียนของเลือดที่ผิดปกติ ที่มักเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การอุดตันของหลอดเลือดแดงไต หลอดเลือดดำ เป็นต้น
4.แบคทีเรีย การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด โดยเฉพาะในทางเดินปัสสาวะ นำไปสู่การเกิดอาการไตอักเสบ และการปิดของไต
 5.ยาบางชนิดที่เป็นพิษต่อไต เช่น Nonsteroidal ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น ibuprofen (แอ๊ด Motrin และอื่น ๆ ) และ naproxen (Aleve, Naprosyn) ยาปฏิชีวนะเช่น aminoglycosides GENTAMICIN (Garamycin), tobramycin ,ลิเธียม (Eskalith, Lithobid) เป็นต้น ยาเหล่านี้บางครั้ง จะทำให้กล้ามเนื้อ ระบบการกรองของไตอุดตัน หรือได้รับความบาดเจ็บ ที่อาจนำไปสู่อาการไตวาย ในที่สุด

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

บำรุงไตอย่างไร ให้ไตแข็งแรง อายุยืน

         เมื่อพูดถึงโรคที่เกี่ยวกับไต บอกได้เลยว่ามีมากมายสารพัด ไม่ว่าจะเป็นโรคนิ่วในไต กรวยไตอักเสบ โรคไตอักเสบ และที่เป็นกันมากในปัจจุบันนั่นก็คือโรคไตวายเรื้อรัง ซึ่งการทำงานของไตเสียอย่างถาวร ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ โดยโรคนี้เป็นภาวะที่เกิดจากโรคหลายอย่าง เช่น โรคเบาหวานที่เป็นมานานเกิน 15 ปี เป็นโรคความดันโลหิตสูงนานๆ โรคหัวใจ เป็นต้น
         วิธีการรักษาที่ดีที่สุดคือ การผ่าตัดปลูกเปลี่ยนไตจากคนที่บริจาคไตให้ แต่มีข้อจำกัดตรงที่มีผู้บริจาคไตน้อย ในขณะที่ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังมีมาก ผู้ป่วยเหล่านี้จะอยู่ได้ด้วยการล้างไต ซึ่งแน่นอนว่าต้องทนทุกข์ทรมานและใช้งบประมาณในการรักษาสูงมาก …ที่เกริ่นมาแบบนี้ เพราะอยากให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักถึงการรักษาสุขภาพ โดยเฉพาะการทำให้อวัยวะสำคัญอย่างไตมีความแข็งแรง ในอนาคตจะได้ไม่ต้องเป็นผู่ป่วยโรคไต


อาหารบำรุงไต

         การรับประทานอาหารหลายๆอย่างที่มากเกินความจำเป็น จะทำให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารบางชนิดเกินกว่าความต้องการและอาจทำให้ “ไต” ต้องทำงานหนักและเสื่อมเร็วได้ ในทางตรงกันข้ามอาหารบางชนิดเมื่อรับประทานแล้วมีส่วนช่วยบำรุงไตให้แข็งแรงยิ่งขึ้น    
         1.งาดำ มีฤทธิ์กลางๆ หรือภาษาหมอไทยเรียกมีฤทธิ์สุขุม รสหวาน เหมาะสำหรับบำรุงตับ ชำระตับบำรุงสายตา เด็กกินได้ ผู้ใหญ่กินดี ช่วยบำรุงไตให้แข็งแรง สุขภาพดี นอกจากนี้ยังช่วยให้ดวงตาแจ่มใส มองชัดเจนยิ่งขึ้น
         2.กระเทียมสด จะมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ดี มีสรรพคุณในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา รวมทั้งป้องการโรคหัวใจโรคหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ที่สำคัญยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคไต และการอักเสบต่างๆ
         3.หอมหัวใหญ่ป็นอาหารบำรุงสุขภาพสำหรับคนที่มีระดับครีเอตินิน ในระดับสูง หรือผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคไต ซึ่งในหอมหัวใหญ่จะมีสารประกอบธรรมชาติอย่างโพรสตาแกลนติน ที่มีคุณสมบัติในการลดความหนืดของเลือด และช่วยลดความดันของเลือด ซึ่งจะทำให้ลดอาการโรคไตลงได้

         4.กะหล่ำปลี จะมีวิตามินซี กรดฟอลิก เส้นใย และยังมีโพแทสเซียมต่ำ ซึ่งสามารถขจัดสารพิษบางอย่างออกจากร่างกายได้ ทำให้ลดภาระการทำงานของไตได้ และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งทั้ง 2 โรค สามารถเชื่อมโยงการเกิดโรคไตได้
         5.ปลาสดช่น แซลมอน เทราต์ และซาร์ดีน อุดมไปด้วยโปรตีนและโอเมก้า 3 ที่คนไม่สามารถผลิตเองได้ ซึ่งการรับประทานปลาสดเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิต และคอเลสเตอรอลสูงได้
         6.แครนเบอร์รี่ ผลไม้ลูกเล็กสีแดงที่จะช่วยเพิ่มความเป็นกรดของปัสสาวะ และลดความเสี่ยงในการเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และบำรุงไตให้แข็งแรงได้อีกด้วย

ออกกำลังกายเพิ่มพลังไต
         การออกกำลังกายนี้นำมาจากศาสตร์จีน คือจะช่วยเพิ่มพลังให้แก่ไต และบำรุงไตให้แข็งแรง ช่วยให้การหมุนเวียนพลังงานเป็นไปอย่างราบรื่น การออกกำลังกายที่ดีต่อไตโดยเฉพาะ คือการออกกำลังกายที่ช่วยให้ได้หายใจลึกและยาว เช่น ชี่กงหรือไทเก๊ก และควรทำในช่วงเช้า เนื่องจากเป็นช่วงที่ยังพลังหยินสะสมอยู่ในอากาศมาก การได้บำรุงพลังหยินจะช่วยฟื้นฟูให้ดีขึ้นได้

         ข้อดีของไทเก๊กและชี่กง คือเป็นการออกกำลังกายช้าๆ ช่วยให้กระดูกและข้อต่อได้เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ซึ่งเป็นการออกแรงเหมือนการยกเวต จึงช่วยให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อค่อยๆหนาตัวขึ้น และการที่กระดูกได้รับแรงกระแทกนิดหน่อยจะช่วยให้กระดูกค่อยๆมีความหนาแน่นมากขึ้น
         การออกกำลังกายด้วยวิธีนี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของไต ซึ่งมักมีปัญหาเรื่องกระดูกตามมาด้วย ทั้งนี้ ทุกครั้งที่ออกกำลังกายควรเลือกสถานที่ที่ให้พลังจากธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพด้วย แพทย์แผนจีนเชื่อว่า การได้ออกกำลังกายในที่ที่มีอากาศ เช่น ในที่ที่มีต้นไม้ใหญ่มากๆหรือริมทะเล จะช่วยให้ร่างกายได้รับพลังงานธรรมชาติจากสถานที่นั้นๆด้วย
         นอกจากนี้ การว่ายน้ำก็เป็นการออกกำลังกายอีกประเภทหนึ่งที่ช่วยฟื้นฟูสุขภาพของไตได้ดีเช่นกัน เพราะการว่ายน้ำช่วยทำให้หายใจลึก ยาว ตลอดจนมีการกลั้นหายใจ ซึ่งเป็นช่วงที่ช่วยให้ไตได้จับพลังงานจากอากาศอย่างเต็มที่ ทั้งยังช่วยให้ปอดแข็งแรง การออกกำลังกายจะช่วยให้ไตค่อยๆกักเก็บพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น จึงควรออกกำลังกายเพิ่มพลังไตอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

กลุ่มอาการโรค NCDs ภัยเงียบที่ไร้อาการ ที่คร่าชีวิตคนไทยกว่า 73% ต่อปี

กลุ่มอาการโรค Non-Communicable Diseases (NCDs) หรือ “กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” เป็นชื่อเรียกของกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเชื้อโรค ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส คลุกคลี หรือติดต่อผ่านพาหะนต่างๆ เหมือนกับโรคติดต่อปกติโดยทั่วไป ในอดีตเชื่อกันว่ากลุ่มอาการโรค NCDs เป็น “โรคของคนรวย” แต่ที่จริงแล้ว กลุ่มอาการของโรค NCDs เป็นโรคที่ “คุณสร้างเอง/Life style diseas” หรือ เป็นโรคที่เกิดจากการใช้วิถีชีวิตอย่างไม่ระวัง ซึ่งเป็นโรคที่สามารถพบได้จากกับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในหมู่ “ผู้สูงอายุ” ที่มักเกิดขึ้นจากการสะสมต้นเหตุของโรคเอาไว้ด้วยการทำร้ายตัวเองตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่มีอายุน้อย ก็มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคในกลุ่มอาหาร NCDs สูงมากขึ้นเรื่อยๆ และ 1 ใน 4 ของผู้ที่เสียชีวิต อยู่ในช่วงอายุน้อยกว่ 60 ปี

สาเหตุหลักๆของการเกิดกลุ่มอาการโรค NCDs สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ

  1. พฤติกรรมการใช้ชีวิต มาจากปัจจัยต่างๆภายในร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากลักษณะการใช้ขีวิต ที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย ทานอาหารรสหวาน มัน เค็ม จัดจนเกินไป ความเครียด เป็นต้น
  2. โรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นโรคที่มักพบในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป โดยที่ร่างกายเกิดความผิดปกติในการสันดาปอาหารในกลุ่มให้พลังง่น เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
  3. ปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรม และอายุที่เพิ่มมมากขึ้นจะก่อให้เกิดปัญหาการเสื่อมสภาพของการทำงานอวัยวะต่างๆตามธรรมชาติ

ถึงแม้ว่ากลุ่มอาการโรค NCDs จะเป็นโรคติดต่อไม่เรื้อรัง แต่ถ้าหากไม่ได้รับการควบคุมรักษาอย่างถูกต้อง อาการของโรคเหล่านี้ก็จะค่อยๆรุนแรงมากขึ้นทีละน้อย แต่กลุ่มอาการโรค NCDs สามารถเกิดขึ้นพร้อมๆกันเป็นกลุ่มโรคได้ทีละหลายโรค ดังนั้นในหลายครั้งผู้ป่วยจึงมักมีอาการของโรคที่หลากหลาย และส่งผลต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก

จากการศึกษาขององค์กรอนามัยโลก (WHO) ให้ความสำคัญกับกลุ่มอาการโรค NCDs อยู่ในระดับของปัญหาที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี พ.ศ.2554 กลุ่มอาการโรค NCDs ได้คร่าชีวิตของประชากรโลกโดยรวมมากกว่าสาเหตุการตายอื่นๆรวมกันมากดึง 36.2 ล้านคน ต่อปี  หรือคิดเป็น 63% ของประชากรโลก ที่น่าตกใจคือ กว่า 80% ของผู้ที่เสียชีวิต เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนาสำหรับในประเทศไทย จากสถิติเมื่อปี พ.ศ.2552 พบว่า มีผู้ป่วยจากกลุ่มอาการโรค NCDs กว่า 14 ล้านคน นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตของประชากรในประเทศไทย มากถึง 300,000 คน หรือคิดเป็น 73% ของผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมด สถิติการเสียชีวิตดั่งกล่าว แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลก และมีแนวโน้มว่าจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

6 กลุ่มอาการโรค NCDs ที่มีอัตราผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุด
กลุ่มอาการของโรค NCDs ที่มีอัตราผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ได้แก่  โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ คิดเป็น 48% ของผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อทั้งหมด รองลงมาคือโรคมะเร็ง 21% โรคถุงลมโป่งพอง รวมโรคปอดเรื้อรังและหอบหืด 12% และโรคเบาหวาน 4 %

  1. กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ (Cardiovascular & Cerebrovascular Diseases ) ในปี  พ.ศ.2548 ประชากรโลก 17.5 ล้านคน เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ 80% อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และเป็นประชากรในกลุ่มวัยแรงงาน  ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ทำนายเอาไว้ว่า ในปี พ.ศ.2573 ประชากรโลกจะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ มากขึ้นเป็นกว่า 23 ล้านคน โดย 85% จะเกิดขึ้นกับประชากรของประเทศที่กำลังพัฒนา
  2. กลุ่มโรคมะเร็ง (Cancer) เป็นกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริยเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ ด้วยการแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกลายเป็นเนื้องอกร้าย ที่รุกรานเข้าสู่ร่างกายข้างเคียง มะเร็งอาจสามารถแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ ผ่านระบบน้ำเหลือง หรือกระแสเลือด
  3. กลุ่มโรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) มีผู้ป่วยกว่า 80 ล้านคน ทั่วโลก และมีอัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ยถึงปีละ 3 ล้านคน เป็นประชากรไทยเกือบ 1 แสนคน สำหรับสาเหตุหลักๆร้อยละ 90 คือ การสูบบหุรี่ โรคถุงลมโป่งพองจะส่งผลทำให้ปอดมีสภาพคล้ายกับลูกโป่งที่เคยเป่ามาแล้ว ตีบ และแคบ เมื่อทำการหายใจ ทำให้เกิดลมค้างอยู่ที่ปอดบีบออกไม่หมด ทำให้ไม่สามารถหายใจได้เต็มปอด อึดอัด แน่นหน้าอก ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยไม่พอต่อการใช้งาน
  4. กลุ่มโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 6.9 % หรือประมาณ 3.2 ล้านคน มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยเฉพาะประชากรชายที่มีน้ำตาลในเลือดสูง เพียง 56.7% ที่รู้ตัว และมีเพียง 21.1% ที่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้
  5. กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เมื่อค่าความดันโลหิตตัวบนเท่ากับหรือสูงกว่า 140 มม. ปรอท และค่าความดันโลหิตตัวล่างเท่ากับ หรือสูงกว่า 90 มม. ปรอท จะก่อให้เกิดแรงเลือดกระทำต่อผลนังหลอดเลือดที่มากเกินกว่ามาตราฐาน จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 21.4 % เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่มีอัตราของคนที่รับรู้ และการเข้ารับการรักาทางการแพทย์ที่ต่ำ ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
  6. กลุ่มโรคอ้วนลงพุง (Obesity) เป็นภาวะอ้วน ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับส่วนเอว เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่ในช่องท้องมากจนเกินควร ส่งผงให้หน้าท้องยื่นออกมาอย่างชัดเจน สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งคนที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตราฐาน และที่มากกว่ามาตรฐาน ซึ่งโรคอ้วนลงพุง มักที่ตะทำให้เกิดความผิดความผิดปกติอื่นๆของร่างกายร่วมด้วยอีกหลายโรค อาทิเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และระดับไขมันในเลือดสูง เป็นต้น จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 19.4 % หรือเกือบ 9 ล้านคน มีภาวะไขมันคอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งประชากรไทยเกือบ 1 ใน 3 เข้าข่ายภาวะน้ำหนักเกิน และอีกกว่า 8.5 % เข้าข่ายป่วยเป็นโรคอ้วน และจากการสำรวนสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงของคนไทยที่มีอายุมากกว่า 15 ปี ขึ้นไป พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่เป็นโรคอ้วนในช่วงเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเพศชาย ที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง (ปี พ.ศ.2535 – 2552) มากขึ้นถึง 4 เท่า

กลุ่มอาการโรค NCDs ที่มักเกิดขึ้นจากการแทรกซ้อนของโรค
นอกจากกลุ่มอาการของโรค NCDs ที่เสี่ยงต่อการอัตราการเสี่ยงเสียชีวิตสูง 6 อันดับ ดังที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น ยังมีโรคอื่นๆ ที่ถูกนับว่าเป็นกลุ่มอาการของโรค NCDs ด้วยเช่นกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดร่วมกับกลุ่มอาการของโรค NCDs อื่นๆ เช่น

  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา
  • โรคหลอดเลือดหัวใจ
  • โรคไต
  • โรคแผลติดเชื้อที่เท้า
  • โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด
  • โรคตับแข็ง
  • โรคหลอดเลือกสมองตีบ
  • โรคสมองเสื่อม
  • โรคอัมพาธ
  • โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล

การดูแลรักษา และป้องกันตัวเองจากกลุ่มโรค NCDs
ถึงแมว่าสถติการป่วยและเสียชีวิตจากกลุ่มโรค NCDs จะสูงมาก แต่ก็สามารถที่จะทำการป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค จากพฤติกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้มากถึง 80% และยังสามารถลดการเกิดโรคมะเร็งได้มาก 40% โดย สารถปฎิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค NCDs ได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้

หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกฮออล์ จากาการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่า ปริมาณการดื่มแอลกฮอลล์ของคนไทยมากเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย เฉลี่ยนคนละ 52 ลิตร ต่อปี เป็นกลุ่มวัยรุ่นมากถึง 17 ล้านคน หรือ คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด

  1. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ จากาการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่า การสูบบุหรี่ของประชากรไทยอยู่ที่ร้อยละ 21.40 หรือราวๆ 11.5 ล้านคน
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเพียง 150 นาที ต่อสัปดาห์ ลดมะเร็งได้ 80% ลดอ้วนลงพุงได้ 50-90%
  3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีหวาน มัน เค็มจัด การสำรวจพบว่า ประชากรไทยมีแนวโน้มในการบริโภคอาหารรสจัดเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆมาโดยตลอด คนไมยบริโภคน้ำตาลมากเกินพิกัด เฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา เกินกว่ามาคาฐานถึง 3 เท่า
  4. รู้จักการรับมือและหลีกเลี่ยงความเครียด
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่โหมทำงานหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงจนเกินไป
  6. ทานอาหารเสริมหรือวิตามินเสริมไปกับอาหารมื้อหลักบ้างเพื่อเติมสารอาหารบ้างส่วนที่ขาดแต่ต้องศึกษาข้อมูลให้แน่ใจด้วย

อย่างไรก็ตาม การรักษาโรค NCDs จำเป็นที่จะต้องรักษาตามอาการของโรคที่เกิดขึ้น และควรได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง อีกทั้งยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรั้งที่มักเป็นตลอดชีวิต และมักมีอาการที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต การงาน และคุณภาพชีวิต เนื่องจากไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถที่จะควบคุมอาการของโรคได้ ด้วยการปรับเปลี่นพฤติกรรม ด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ ที่ได้ทำการนำไปแล้ว ซึ่งง่ายกว่าการรักษาเป็นอย่างมาก

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.