5 สูตรลบรอยตีนกา ด้วยสมุนไพรธรรมชาติ

         หนึ่งในปัญหาผิวบนใบหน้าที่มักเจอเมื่อตัวเลขของอายุสูงขึ้นก็คือการเกิดรอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่น เนื่องจากชั้นผิวสูญเสียกระบวนการผลิตคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวขาดความยืดหยุ่นจึงเกิดเป็นริ้วรอยแห่งวัยหรือรอยรอบๆดวงตาได้ง่าย ถึงแม้อายครีมจะเป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมในการทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตาตึงกระชับอยู่เสมอ แต่ก็ต้องแลกไปกับราคาแสนแพง และต้องทาเป็นประจำทุกวัน แล้วจะดีกว่าไหมหากเรามีสูตรลบรอยตีนกามานำเสนอ ซึ่งเป็นวิธีธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องทาทุกวันเหมือนอายครีม เพียงแค่ใช้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ก็สามารถแก้ปัญหารอยตีนกาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

 

สูตรลบรอยตีนกา ด้วยสมุนไพรธรรมชาติ
        1.แครอต สูตรลบรอยตีนกาสูตรแรกคือการใช้ผลไม้หาง่ายอย่างแครอต โดยนำมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปปั่นผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อยพอให้เหนียวเป็นครีมสำหรับพอกหน้าได้ จากนั้นนำมาพอกทิ้งไว้ 15 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แครอตมีวิตามินและเกลือแร่สูง อีกทั้งยังมีสารเบต้าแตดรทีน สารเพกติน กรดอะมิโนที่มีสรรพคุณช่วยให้ผิวเนียนเรียบ เต่งตึง ชุ่มชื้น รวมถึงเหล็ก แมงกานีส ทองแดงที่จำเป็นต่อการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจน จึงช่วยให้ริ้วรอยจางลง ผิวหน้าเต่งตึงดูสดใสอ่อนกว่าวัย
        2.ใบบัวบก วิธีคือนำใบบัวบกที่ได้มาล้างให้สะอาดแล้วนำมาปั่น หรือบด หรือจะโขลกด้วยกรรมวิธีใดก็ได้ที่คุณถนัด เพราะสิ่งที่ต้องการคือน้ำใบบัวบก พอได้น้ำสดๆแล้ว ให้นำสำลีชุบมาน้ำใบบัวบก ทาให้ทั่วใบหน้าทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออก โดยควรทำก่อนนอน น้ำใบบัวบกจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลบรอยตีนกาอย่างได้ผล ทั้งนี้ ควรทำอย่างสม่ำสม่ำเสมอถึงจะเห็นผล
        3.ใบตำลึง ให้นำเอายอดและใบอ่อนมาพอประมาณ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง พอให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันจนละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด ใบตำลึงมีวิตามินเอสูง ช่วยลดริ้วรอย รอยตีนกา ทำให้ใบหน้าเต่งตึง แถมยังช่วยลดจุดด่างดำบนใบหน้าได้อีกด้วย

        4.มะขามเปียก ส่วนผสมที่ต้องใช้ ได้แก่ มะขามเปียก 1 กำมือ นมสดรสจืด 3 ช้อนโต๊ะ น้ำผึง 1 ช้อนโต๊ะ สำหรับวิธีทำเป็นวิธีแสนง่าย คือให้นำมะขามเปียกมาแกะเม็ดเอารกออกแล้วล้างน้ำให้สะอาด ผสมกับนมแล้วขยำให้เข้ากัน กรองด้วยผ้าขาวบางหรือกระชอนตาละเอียด เติมน้ำผึ้งคนให้เข้ากันก็จะได้ครีมมะขามเปียก ใส่ภาชนะมีฝาปิดเก็บไว้ในตู้เย็น ระหว่างรอสักพักหนึ่งให้ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด แล้วนำสูตรมะขามเปียกในตู้เย็นมาทาทิ้งไว้ 10 นาทีค่อยล้างด้วยน้ำสะอาด สูตรข้างต้นนี้เหมาะกับคนผิวมัน ถ้าคนผิวแห้งให้ลดมะขามเปียก เพิ่มปริมาณนมสดกับน้ำผึ้งให้มากขึ้น
        5.ว่านนางคำ หลายคนอาจไม่เคยได้ยินเจ้าสมุนไพรตัวนี้ แต่ว่านนางคำเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามาถนำมาใช้เป็นสูตรลบรอยตีนกาบนใบหน้าได้ โดยให้นำปั่นละเอียดผสมน้ำผึ้งแท้ๆ ซึ่งสามารถเพิ่ม-ลดส่วนผสมเท่าไหร่ก็ได้ตามความเหมาะสม หรือให้ใส่น้ำมะขามเปียกเล็กน้อยเข้าไปด้วยก็ได้ จากนั้นก็ไปล้างหน้าให้สะอาด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้สักประมาณ 20 นาทีจึงล้างออก และเพื่อการรักษาผิวหน้าให้เนียนนุ่มชุ่มชื่นขึ้น ให้ใช้โยเกิร์ตธรรมชาติที่แช่เย็นมาพอกอีกครั้งสัก 10 นาที
        สูตรลบรอยตีนกา ทั้ง 5 สูตรนี้ เป็นการใช้สมุนไพรธรรมชาติ อาจให้ผลลัพธ์แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย ทั้งนี้ ควรใช้อย่างระมัดระวังอย่าให้เข้าตา เพราะอาจเกิดการระคายเคืองตาได้ และถ้าใช้พอกผิวหน้าแล้วพบว่าเกิดอาการแพ้ แสบผิว มีอาการคัน เป็นผื่นแดง ควรหยุดใช้ทันที เนื่องจากผิวของคุณอาจบอบบางเกินไป จนไม่เหมาะสมต่อการใช้สูตรธรรมชาติ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เหตุผลที่ทำให้การฉีดโบท็อกซ์ได้รับความนิยมจากทั่วโลก

                การฉีดโบท็อกซ์ได้รับความนิยมอย่างมากทั่วโลก เพราะถือเป็นนวัตกรรมความสวยความงามที่แพร่หลายและเป็นที่สนใจของหนุ่มๆสาวๆ ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจทั้งใบหน้าและร่างกาย ที่สำคัญมีทั้งคุณและโทษ เราได้รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ “การฉีดโบท็อกซ์” ที่รวมถึงที่มาที่ไป คุณและโทษ ข้อควรปฏิบัติ และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหรือต้องระมัดระวัง
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของสารโบทูลินั่มท็อกซินเอ (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่งที่สร้างจากแบคทีเรียชื่อ ครอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ถูกค้นพบโดย จิสทินัส เคอร์เนอร์ นายแพทย์ชาวเยอรมัน โบท็อกซ์มีการใช้มานานมาก เริ่มต้นโดยการนำมารักษากล้ามเนื้อคอกระตุก กล้ามเนื้อตากระตุก รวมถึงอาการปวดไมเกรน ตาเหล่ ก็รักษาด้วยโบท็อกซ์นี้ ต่อมาปี 2002 FDA ของอเมริการับรองการใช้โบท็อกซ์ เพื่อการลดริ้วรอยหน้าผาก และรอยตีนกา จึงเป็นจุดเริ่มต้นการนำโบท็อกซ์มาใช้ในเรื่องของผิวพรรณและความสวยงาม

               โบท็อกซ์ คือ สารจากธรรมชาติที่เป็นโปรตีนบริสุทธิ์สกัดจากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ชนิดหนึ่งซึ่งจะช่วยคลายกล้ามเนื้อบริเวณที่หดตัว โดยหลังการฉีดโบท็อกซ์แล้วตัวยาจะจับตัวกับปลายเส้นประสาทที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นคลายตัว ส่งผลให้ริ้วรอยลดเลือน เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกร็งตัวแล้ว โบท็อกซ์ยังจะช่วยส่งผลปรับลดขนาดกล้ามเนื้อ ช่วยให้คุณแลดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น เพียง 10 นาที หลังจากทำการรักษา กล้ามเนื้อของคุณจะรู้สึกผ่อนคลาย ร่องลึกจะเริ่มคลายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเมื่อเวลาผ่านไปกล้ามเนื้อจะเล็กลง ทำให้ผิวบริเวณนี้เรียบตึง
การฉีดสารเหล่านี้มีระยะเวลา โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับว่าฉีดรักษาอาการอะไร ฉีดบริเวณใด ฉีดเป็นครั้งแรกหรือเป็นการฉีดซ้ำ เพราะการฉีดสารประเภทนี้ส่วนใหญ่แล้ว คนจะติดใจ คือฉีดแล้วรู้สึกว่ามั่นใจขึ้น สาวขึ้น สวยขึ้น ก็เลยต้องฉีดซ้ำเรื่อยๆ
โบท็อกซ์จับกับปลายประสาท สัญญานกกระตุ้นการหดตัวจะไม่มีผล กล้ามเนื้อของคุณจะผ่อนคลาย ริ้วรอยต่างๆจะค่อยๆเนียนเรียบขึ้นจากเดิม และจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดริ้วรอยใหม่ การฉีดโบท๊อกซ์ที่ถูกวิธีนั้นนอกจากจะไม่ทำให้หน้าคุณดูแข็งเกร็งแล้วคุณยังสามารถแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้อย่างเป็นปกติ เพราะโบท๊อกซ์จะทำงานเฉพาะในส่วนของกล้ามเนื้อที่แพทย์ได้เลือกฉีด เช่น หากฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณกล้ามเนื้อที่หน้าผากส่วนกลางแล้ว จะไม่กระทบกับการทำงานของกล้ามเนื้อหน้าผากด้านข้าง ผลคือคุณจะสามารถการยกคิ้วได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเป็นไปได้อย่างเป็นปกติ นอกจากจะช่วยให้ผิวเรียบตึงขึ้นแล้วโบท็อกซ์ยังสามารถช่วยลดการทำงานในส่วนของกล้ามเนื้อที่เราไม่ต้องการ ซึ่งจะช่วยปรับรูปหน้าของคุณให้เรียวขึ้นได้อีกด้วย

ข้อดีของการฉีดโบท็อกซ์ (Botox)

1.สามารถแก้ปัญหาริ้วรอยได้
2.ทำให้รูปหน้าเรียวเล็กลง
3.เห็นผลเร็ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของการฉีดด้วย ซึ่งมีทั้งเห็นผลแทบจะทันที ถึงเป็นเดือนกว่าจะเห็นผล ก็มีเช่นกัน
4.มีใบรับรอง จากองค์การอาหารและยา ทำให้สบายใจได้ ว่ามีความปลอดภัย
5.ไม่ต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ ก่อนเข้ารับการฉีด
6.เมื่อฉีดเสร็จ สามารถทำกิจกรรม ตามปกติได้ทันที
7.เพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง
8.มีผลข้างเคียงน้อย
อย่างที่รู้ๆกัน การฉีดโบท๊อกซ์นั้นไม่ได้มีแต่ข้อดีเท่านั้น ยังมีโทษอีกมามาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง และผลที่ตามมาก็คือ

ข้อเสียของการฉีดโบท็อกซ์ (Botox)
1.อาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะฉีด แต่โดยทั่วไป จะมีการทายาชาก่อน ทำให้ลดอาการเจ็บปวดลงได้
2.โบท็อกซ์ ไม่ได้อยู่ตลอดไป ซึ่งก็หมายความว่า ริ้วรอยบนใบหน้า หรือกรามที่เล็กลงนั่น จะกลับมาเป็นสภาพเดิมอีกครั้ง กลังเวลาผ่านไป ประมาณ 6 เดือน
3.มีราคาสูง การฉีดโบท็อกซ์ มีค่าใช้จ่ายที่ค่อยข้างสูง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ บริเวณที่ต้องการฉีด และสถานที่เข้ากับการฉีดด้วย
4.หากฉีดจากแพทย์ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญอาจเป็นอันตรายได้
5.ควรเลือกสถานที่ที่มีอุปกรณ์ปฐมพยาบาลครบถ้วน มิฉะนั้นหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น อาจมีอันตรายถึงชีวิต
6.อาจมีอาการแทรกซ้อน สำหรับผู้ที่มีประวัติแพ้ยาหรือหญิงตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการฉีดทุกครั้ง

แนวทางปฏิบัติตัวหลังฉีดโบท็อกซ์

 1.หลังฉีด ทันที ไม่ควรจับ ลูกคลำ หรือนวดบริเวณที่ฉีด เพราะอาจมีผลต่อการกระจายตัวของตัวยา
2. ภายใน 4 ชั่วโมง ไม่ควรไปนอนราบ หรือนอนตะแคง เพราะในช่วง 4 ชั่วโมงแรก เป็นช่วงการซึมของยาเข้ากล้ามเนื้อ ถ้านอนตะแคงจะทำให้การกระจายตัวของยาผิดจากตำแหน่งที่แพทย์คาดการณ์ไว้ได้ เมื่อเลย 4 ชั่วโมงไปแล้ว สามารถนอน หรือตะแคงได้ตามปกติ
3.ภายใน 4 ชั่วโมงแรก ต้องบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดบ่อยๆ เพื่อให้ตัวยาซึมเข้าสู่กล้ามเนื้อที่ต้องการให้ออกฤทธิ์มากที่สุด เช่น ฉีดหางตา ควรยิ้มบ่อยๆ ฉีดหน้าผากควรยักคิ้วบ่อยๆ หรือฉีดกรามควรเคี้ยวหมากฝรั่ง 15-30 นาที่ หรือ 4 ชั่วโมง ตามดุลยพินิจแพทย์
4. ภายใน 2 สัปดาห์แรก ควรงดการเข้าอบไอน้ำ อบซาวน่า ยิงเลเซอร์ ทำ RF หรือไอออนโตที่หน้า เพราะความร้อนเฉพาะจุดเป็นเวลานานอาจส่งผลต่อโบท๊อกซ์ได้ใน 2 สัปดาห์แรกความร้อนที่สามารถโดนได้คือ ไดร์เป่าผม อาบน้ำอุ่น (งดบริเวณที่ฉีดโบท๊อกซ์) และโดนแสงแดดที่ไม่แรงจ้าเกินไปได้ตามปกติ
5. หลังฉีดแต่งหน้า ทาแป้ง ทาครีมได้ตามปกติ เมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์สามารถทำ Treatment ได้ตามปกติ (ยกเว้น Laser, RF และ Ionto ต้องรอ 2 สัปดาห์)
6.สำหรับการฉีดโบท๊อกซ์ที่กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น กล้ามเนื้อกราม และน่อง ตัวยาจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-4 สัปดาห์ ดังนั้น ช่วงแรกๆ อาจยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง ฤทธิ์ยาจะมีผลสูงสุดในช่วง 4-8 สัปดาห์ (1-2 เดือน) และจะหมดฤทธิ์เมื่อครบเวลา 4-6 เดือน หรืออาจจะนานกว่านี้ กรณีที่ฉีดโบท๊อกซ์อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ ดังนั้นถ้าจะให้เห็นผลในการลดขนาดกล้ามเนื้อกรามและน่องอย่างมีประสิทธิภาพควรฉีดต่อเนื่องกันทุก 4-6 เดือน ประมาณ 3-4 ครั้ง เมื่อหยุดฉีดขาดกล้ามเนื้อจะเปลี่ยนไปจนสังเกตได้
7.ใน 2 วันแรก งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะแอลกอฮอล์ จะเพิ่มระบบการไหลเวียนของเลือด และจะเป็นการล้างยาโบท๊อกที่ฉีดไป
8.หลังฉีดสามารถรับประทานอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ

การฉีดโบท็อกซ์ ถึงแม้จะเป็นนวัตกรรมเสริมความสวยความงามที่แพร่หลายอย่างมากทั่วโลก แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่โชคร้ายกับการฉีดโบท็อกซ์เข้าร่างกาย และมีมากมายหลายคนต้องเสียโฉมเพราะเจ้าโบท็อกซ์นี้ ดังนั้นเราควรระมัดระวัง ศึกษาอย่างละเอียด ก่อนตัดสินใจเสริมความงามเหล่านี้ ก่อนที่จะเสียทั้งเงินทั้งหน้าตาของเราไป

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.