ยาเบาหวาน มีอะไรบ้าง และต้องใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

         เบาหวาน…เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ด้วยวิธีการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาเบาหวาน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขเหมือนคนทั่วไป ทั้งนี้ ในเรื่องของการใช้ยาเบาหวาน จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ยาฉีดอินซูลิน และยารับประทาน

1.ยาเบาหวานแบบฉีดอินซูลิน
         เป็นยาที่ใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณต้นขา หรือหน้าท้อง วันละ 1-4 ครั้งก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งควรหมุนเวียนเปลี่ยนที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทนการฉีดซ้ำที่เดิม แต่ยังคงอยู่ในบริเวณผิวหนังเดียวกัน เช่น ฉีดบริเวณต้นขา ก็เปลี่ยนตำแหน่งแทงเข็มโดยให้ยังคงอยู่ที่บริเวณต้นขา

         อินซูลินมีทั้งชนิดที่เป็นน้ำใสและน้ำขุ่น หากต้องใช้ทั้ง 2 ชนิด ผู้ป่วยต้องใช้กระบอกฉีดยาดูดอินซูลินชนิดน้ำใสก่อน แล้วจึงดูดยาอินซูลินชนิดน้ำขุ่น เข้ามาผสมในกระบอกฉีดยาเดียวกัน จากนั้นจึงนำไปฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ข้อสำคัญคือ อินซูลินที่ยังไม่เปิดใช้ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง เมื่อจะใช้จึงนำออกมาจากตู้เย็น และนำไปคลึงระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้างเพื่อให้อินซูลินมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกายก่อนนำไปฉีด
         อย่างไรก็ดี ยาเบาหวานประเภทฉีดยังไม่เป็นที่นิยมของคนไทยมากนัก เนื่องจากคนในบ้านเรามักไม่ชอบการฉีดยาและมักจะยอมฉีดก็ต่อเมื่อไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้จากการรับประทานยาแล้วเท่านั้น ยาเบาหวานชนิดรับประทานจึงเป็นที่รู้จักและนิยมของคนไทยมากกว่า

2.ยาเบาหวานแบบรับประทาน
         1) ยาก่อนอาหาร ยากลุ่มนี้ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายพร้อมที่จะใช้พลังงานจากแป้งและน้ำตาล โดยกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา ณ เวลาที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหลังจากรับประทานอาหาร โดยทั่วไปแล้วยารุ่นเก่ามักแนะนำให้ใช้ก่อนอาหารประมาณ ๓๐ นาที ส่วนยารุ่นใหม่สามารถใช้ก่อนอาหารทันทีได้ขึ้นอยู่กับความเร็วในการกระตุ้นตับอ่อนของยาแต่ละตัว ยาเบาหวานก่อนอาหาร ก็อย่างเช่น Chlorpropamide, Gliclazide, Gliquidine, Glimepiride, และ Repaglinide เป็นต้น
         เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ก่อนอาหารแล้ว จำเป็นต้องรับประทานทานอาหารหลังกินยาเสมอ ไม่เช่นนั้นฮอร์โมนอินซูลินที่ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าระดับปกติ จนอาจเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่นเดียวกับกรณีลืมกินยา ไม่ควรกินยาหลังอาหารแทน เพราะยาจะออกฤทธิ์ในช่วงที่ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงไปแล้ว จึงทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำลงไปมากกว่าเดิม โอกาสเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดจะต่ำกว่าระดับปกติจะมากขึ้น

         2) ยาพร้อมอาหาร ยาลดน้ำตาลในเลือดกลุ่มนี้ทำหน้าที่ออกฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด จึงควรรับประทานพร้อมกับมื้ออาหาร โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้พร้อมกับอาหารคำแรก ยากลุ่มนี้ ได้แก่ Acarbokse (ชื่อทางการค้า Glucobay) และ Voglibose (ชื่อทางการค้า Basen FDT)
         ระยะเวลาก่อนอาหารหรือหลังอาหารนานๆ ยากลุ่มนี้จะไม่เจอกับน้ำตาลที่ย่อยและพร้อมจะดูดซึมอยู่ในลำไส้เล็ก ดังนั้น ถ้าลืมใช้ยานี้พร้อมอาหาร อาจสามารถรับประทานยาหลังอาหารได้ทันที แต่ประสิทธิผลของยาจะน้อยกว่าการใช้ยาพร้อมอาหาร สำหรับมื้อที่ไม่ได้รับประทานอาหารก็ไม่จำเป็นต้องกินยากลุ่มนี้
         3) ยาหลังอาหาร จะออกฤทธิ์ช่วยทำให้อวัยวะต่างๆ ใช้น้ำตาลในกระแสเลือดที่ดูดซึมหลังรับประทานอาหารเพื่อไปเก็บสะสมหรือเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ดีขึ้น จึงสามารถใช้ยากลุ่มนี้หลังอาหารได้ทันที ทั้งนี้ ยาหลังอาหารมีหลายกลุ่มด้วยกัน ผู้ป่วยหลายคนอาจต้องใช้ยามากกว่า 1 ชนิด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการรักษามากขึ้น ตัวอย่างยาเบาหวานที่รับประทานหลังอาหาร เช่น Pioglitazone, Metformin, Saxagliptin, Sitagliptin, Vildagliptin เป็นต้น 
         เนื่องจากยาเบาหวานล้วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีความละเอียดอ่อนมาก หากใช้ไม่ถูกต้องอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้น ควรใช้ยาภายใต้คำสั่งของแพทย์เท่านั้น ที่สำคัญคือควรระมัดระวังในการรับประทานอาหาร เพราะควบคุมอาหารก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาโรคเบาหวาน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคเบาหวาน รู้ให้ทันป้องกันได้

         โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ในปัจจุบันนั้นมีมากมายหลากหลายเหนือคณานับ บางโรคก็ไม่ค่อยเป็นอันตรายหรือสร้างความเจ็บปวดต่อร่างกายมากนัก ในขณะที่บางโรคสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยจนถึงขั้นล้มหายตายจากก็มี อย่างเช่น การเกิดเนื้องอกในสมอง หลอดเลือดในสมองแตก โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น
         อย่างไรก็ดี บทความนี้จะพูดถึงโรคภัยอย่างหนึ่งที่ถือเป็นโรคเรื้อรังและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้มากมาย แต่ถ้าดูแลรักษาเป็นอย่างดี อาการต่างๆก็จะสามารถทุเลาลงได้ มันคือ “โรคเบาหวาน” นั่นเอง ซึ่งต้องบอกเลยว่าโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด เพราะโรคเบาหวาน ถ้ารู้ให้ทันก็สามารถป้องกันและยับยั้งอาการไม่ให้รุนแรงได้

         อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน ซึ่งเจ้าอินซูลินนี้เป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน ทั้งนี้ โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน และจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆได้ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
         เริ่มรู้จักกับโรคเบาหวานกันไปพอสมควรแล้วว่ามันเกิดจากอะไร ทีนี้มาดูกันว่าใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ง่าย ซึ่งถ้าคุณเข้าข่ายกลุ่มคนดังต่อไป ก็ควรดูแลเอาใจสุขภาพเป็นพิเศษ จะไดป้องกันพิษภัยจากโรคเบาหวานที่อาจจะมาเยือนเมื่อไหร่ก็ได้
         1.คนที่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน กลุ่มนี้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนอื่นๆ เพราะได้รับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ จึงไม่แปลกที่หากพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นโรคเบาหวานแล้วตนจะเป็นด้วย
         2.คนอ้วนหรืออยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน มีโอกาสเป็นโณคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วน เนื่องจากร้อยละ 80 ของโรคเบาหวานพบได้ในคนอ้วน
         3.คนที่ร่างกายอ่อนแอ โรคเบาหวานมักเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากขาดภูมิคุ้มกันโรค ทั้งนี้ คนที่ไม่ออกกำลังยยังมีความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆอีกมากมาย
         4.คนที่เครียดเป็นประจำ ความเครียดจะมีผลไปกระตุ้นให้มีการหลั่งของฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกายซึ่งขัดขวางการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ง่าย
         5.คนที่เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของตับอ่อน หรือมีการอักเสบที่ตับอ่อนจากเชื้อไวรัส หรือยาบางชนิด ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคเบาหวาน
         6.คนที่ดื่มสุราเป็นประจำ สุราจะทำให้ตับอ่อนเสื่อมสมรรถภาพได้ ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆตามมา โดยคนที่ชอบดื่มสุรามักเป็นโรคตับ และโรคอื่นๆมากมาย รวมทั้งเบาหวานด้วย

 

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน
         1.ควบคุมอาหาร ประการแรกเลยคือต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณและสัดส่วนพอเหมาะวันละ 3 เวลา โดยควรลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกชนิด เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำหวาน และผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ขนุน ลำไย น้อยหน่า ละมุด มะม่วงสุก ลูกเกด มะขามหวาน โดยเฉพาะผลไม้กระป๋อง เช่น เงาะ ลิ้นจี่ องุ่น ป็นต้น
         นอกจากนี้ยังควรลดเนื้อสัตว์ติดมันต่างๆ ลดอาหารประเภทไขมันที่ได้จากสัตว์ อาหารที่มีกะทิ และให้เพิ่มการรับประทานอาหารประเภทผักให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักประเภทใบอย่างผักกาด ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง บวบ ตำลึง ต้นหอม กะหล่ำปี ฯลฯ
         2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับเพศและวัย ซึ่งการออกกำลังกายนี้จะยิ่งทำให้การควบคุมอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อน้ำหนักตัว ทำให้ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
         3.หากเป็นโรคเบาหวานแล้วควรพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจร่างกายตามนัดและปฏิบัติตาคำแนะนำของแพทย์โดยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งอย่าหยุดยาหรือเพิ่มยาเอง
         กระนั้นก็ตาม โรคเบาหวานมีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อยจะมี 2 ชนิด โดยชนิดที่ 1 มักจะพบในเด็กเป็นพวกขาดอินซูลิน ส่วนชนิดที่ 2 พบในคนสูงอายุและมีน้ำหนักเกิน การรักษาโรคเบาหวานทั้งสองชนิดไม่เหมือนกัน โรคแทรกซ้อนก็ต่างกัน การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 จะเน้นเรื่องการควบคุมน้ำหนัก การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย ส่วนเบาหวานชนิดที่ 1 จะเน้นการให้อินซูลินเข้าสู่ร่างกาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าโรคภัยคงไม่มีใครอยากเจอกับมันเป็นแน่ ฉะนั้น เมื่อรู้แล้วก็ควรหาทางป้องกันเสียตั้งแต่ตอนนี้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มาดูอาหารรักษาเบาหวาน ที่ผู้ป่วยควรรับประทาน

         เบาหวานถือเป็นอีกโรคยอดฮิตโรคหนึ่งที่คนมักเป็นกันมาก โดยเฉพาะในคนอ้วนและผู้สูงอายุ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีคนเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ก็เตรียมรับมือกับมันไว้ได้เลย เพราะเบาหวานเป็นโรคที่ได้มาจากพันธุกรรม ทั้งนี้ เบาหวานไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าประคับประคอง ดูแลรักษาเป็นอย่างดีก็จะแสดงอาการของโรคได้น้อยลง
         หากใครอยากรู้ว่าตนมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ สังเกตได้จากอาการกินจุ น้ำหนักลด หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะมากและบ่อย คันตามผิวหนัง เป็นแผลรักษายาก หญิงที่แท้งบุตรง่าย ทารกตายในครรภ์ คลอดบุตรหัวโตน้ำหนักเกิน 4,000 กรัม หรือถ้าจะให้ชัวร์ก็ไปพบแพทย์วินิจฉัยด้วยวิธีตรวจเลือด (ควรงดอาหารทุกอย่างหลังเที่ยงคืน) เมื่อตรวจเลือดแล้วน้ำตาลสูงกว่า 115 มิลลิกรัม ในเลือด 100 มิลิเมตร ก็แสดงว่าท่านเข้าข่ายเป็นโรคเบาหวานแล้ว

         เมื่อเป็นโรคเบาหวาน หลายคนคงเกิดความกังวลระคนสงสัยว่า จะรักษาเบาหวานได้หรือไม่ คำตอบก็คือ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถทำให้อาการทุเลาลงเหมือนคนปกติได้ ด้วยวิธีการให้อินซูลินในร่างกาย ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือรับประทานอาหารที่ไม่แสลงกับโรคเบาหวาน พูดง่ายๆก็คือต้องควบคุมอาหารเป็นอย่างดี และเน้นรับประทานอาหารที่เป็นโยชน์ต่อร่างกาย

อาหารรักษาเบาหวานที่ควรรับประทาน
         1.ข้าวกล้อง มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนผ่านการขัดสีน้อย
         2.วุ้นเส้นทำจากถั่ว สามารถบริโภคได้ประจำตามปริมาณที่กำหนด ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยววุ้นเส้น แกงจืด ยำวุ้นเส้น เป็นต้น
         3.อาหารไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก เป็นต้น
         4.ผัก ผลไม้ การรับประทานผักให้หลากหลายทุกวันอย่างน้อย 2 มื้อ จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และรักษาโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ควรรับประทานแบบต้มหรือนึ่งจะดีที่สุด หากเป็นผัดผักต้องใช้น้ำมันน้อยๆ

         สำหรับผักที่แนะนำ ได้แก่ มะระขี้นก หั่นชิ้นเล็กแล้วตากแดดให้แห้ง นำมาชงกับน้ำเหมือนชงชา ฟักทอง ให้ใช้เมล็ดฟักทองต้มน้ำดื่ม ครั้งละ 300 เมล็ด จะช่วยรักษาเบาหวานให้ดีขึ้น นอกจากนี้ผลฟักทองและน้ำฟักทอง ก็ช่วยลดอาหารเบาหวานได้ และผักอีกอย่างที่แนะนำคือแตงกวา การคั้นน้ำแตงกวาพร้อมเมล็ดจะดีต่อสุขภาพเมื่อดื่มขณะท้องว่าง
         5.น้ำนม ควรเลือกดื่มชนิดจืด ไม่เติมน้ำตาลหรือชนิดไม่ปรับปรุงแต่งรส หรือนมพร่องมันเนยที่มีไขมันประมาณ 1.9% สำหรับนมเปรี้ยว ควรเลือกชนิดที่ไม่ปรุงแต่งรส และนมที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรรับประทานคือนมข้นหวาน และนมถั่วเหลืองชนิดหวาน ทั้งนี้ น้ำเต้าหู้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถดื่มได้ แต่ต้องไม่เติมน้ำตาล

อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง
         ได้ทราบกันไปแล้วว่าอาหารรักษาเบาหวานที่ควรรับประทานมีอะไรบ้าง ทีนี้มาดูอาหาทีที่ผู้ป่วยโรคนี้ไม่ควรรับประทานกันบ้าง จะได้เป็นความรู้ในการหลีกเลี่ยงอาหารพวกนี้ ได้แก่ น้ำตาลทุกชนิดรวมทั้งน้ำผึ้ง น้ำตาลจากผลไม้ ขนมหวานและขนมเชื่อมต่างๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น สังขยา ลอดช่อง ฯลฯ ผลไม้กวน เช่น มะม่วงกวน ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ฯลฯ น้ำหวานต่าง ๆ น้ำผลไม้ ยกเว้น น้ำมะเขือเทศ นมรสหวานรวมทั้งน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น ชา กาแฟ ถ้าจะดื่มกาแฟควรดื่มกาแฟดำไม่ควรใส่น้ำตาล นมข้นหวาน หรือครีมเทียม

         นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ลำใย มะม่วงสุก ขนุน ละมุด น้อยหน่า ลิ้นจี่ อ้อย สับปะรด ผลไม้แช่อิ่ม หรือ เชื่อมน้ำตาล รวมถึงของขบเคี้ยวทอดกรอบ และอาหารชุบแป้งทอดต่างๆ เช่น ปาท่องโก๋ กล้วย แขก ข้าวเม่าทอด เป็นต้น
         จากการแนะนำของแพทย์ หลักการรักษาเบาหวานจะต้องทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข และไม่มีโรคแทรกซ้อนซึ่งต้องประกอบไปด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่การออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร งดบุหรี่ การดูแลสุขภาพทั่วๆไป ควบคุมความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ และการใช้ยาเม็ดหรือยาฉีดตามคำสั่งของแพทย์ เพียงแค่นี้อาการเบาหวานก็จะดีขึ้น ไม่เกิดความรุนแรง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

4 สุดยอดสมุนไพรเบาหวาน ที่หาได้ใกล้ตัว

         โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการเมตาบอลิซึม (ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน) ที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดที่ได้จากอาหารไปใช้ตามปกติได้
         โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากความบกพร่องของการหลั่งอินซูลินผิดปกติ ซึ่งอินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อสร้างพลังงาน เมื่อร่างกายของผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอินซูลินไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นนั่นเอง โดยสามารถเกิดโรคแทรกซ้อนต่อระบบต่างๆ ตามมาได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองอุดตัน ไตวาย และปลายประสาทเสื่อม ทำให้มีอาการชาซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดแผลบริเวณอวัยวะส่วนปลายได้ 

         รู้จักกับโรคเบาหวานกันพอสมควร หลายคนคงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที แต่ก็อย่าพึ่งตกอกตกใจไป เพราะโรคเบาหวานสามารถรักษาเยียวยาให้อาการดีขึ้นได้ โดยวันนี้เราได้นำสุดยอดสมุนไพรเบาหวานแบบไทยๆ สามารถหาได้ใกล้ตัวมาให้ท่านผู้อ่านได้ทำความรู้จัก จะได้นำไปบอกต่อคนรอบข้างที่กำลังป่วยเป็นเบาหวาน ช่วยให้มีอาการดีขึ้น

สุดยอดสมุนไพรเบาหวาน
         1.ตำลึง ไม่ว่าใบอ่อนหรือแก่ก็สามารถใช้รับประทานเพื่อรักษาเบาหวานได้ โดยตำลึงนั้นทั้งปลูกง่ายและให้สารอาหารที่มีคุณค่ายิ่งกับร่างกาย มีแบต้าแคโรทีน ป้องกันมะเร็ง แถมยังมีแคลเซียมในปริมาณสูง ธาตุเหล็กและฟอสฟอรัสอยู่อีกไม่น้อย และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด เร่งการหายของแผล เป็นสมุนไพรเบาหวานที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นผักหาง่าย ราคาย่อมเยา แต่ให้คุณค่ามหาศาล
         2.กะเพรา เรานิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่คุณทราบหรือไม่ว่ากะเพรานั้นมีสรรพคุณทางยาในหลายๆด้าน ทั้งแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ขับเสมหะ ทำให้โล่งจมูก ช่วยลดความดันในเลือด ยั้บยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด เพิ่มระยะเวลาแข็งตัวของเลือด ช่วยลดไขมันในเลือด และปริมาณคอเลสเตอรอล ปกป้องตับเนื่องจากการถูกทำลายของสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์ หรือสารปรอท ที่สำคัญมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และรักษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้

         3.ว่านหางจระเข้ สมุนไพรเบาหวานอย่างว่านหางจระเข้ แม้จะขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณในการใช้ภายนอก ช่วยสมานแผลให้หายเร็ว มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ แต่ว่านหางจระเข้ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคเบาหวานได้อีกด้วย วิธีใช้คือให้ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงตามลำดับโดยเฉพาะในผู้ที่เป็นเบาหวานในระยะแรก
         4.กระเจี๊ยบมอญ คนส่วนใหญ่อาจรู้จักกระเจี๊ยบแดงมากกว่า เนื่องจากนิยมรับประทานน้ำกระเจี๊ยบแดงมากในปัจจุบัน แต่กระเจี๊ยบมอญที่ว่านี้สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ โดยการต้มแล้วจิ้มกับน้ำพริก มีสรรพคุณทางยามากมาย โดยในสมุนไพรเบาหวานนี้มีสาร mucilage และ peetin ในผลอ่อน จะเป็นส่วนสำคัญที่ลดน้ำตาลในเลือด โดยสารเมือก (mucilage) จะไม่ถูกย่อย ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล ผ่านผนังลำไส้ ดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือดได้ช้าลง ทำให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่สูงขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้
         สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน นอกจากจะใช้สมุนไพรใกล้ตัวดังกล่าวแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรออกกำลังนานเกินกว่า 30 นาที โดยแบ่งเป็นอบอุ่นร่างกาย 10 นาที และช่วงของการออกกำลังแบบเบาๆอีก 10 นาทีด้วย ทั้งนี้ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลที่บริเวณเท้า การออกกำลังกายควรเลือกประเภทที่ไม่มีผลต่อการบาดเจ็บที่เท้า ที่แนะนำสำหรับคนป่วยเบาหวานก็อย่างเช่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน การเดินเร็ว การว่ายน้ำ เป็นต้น เพียงแค่นี้สุขภาพร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ได้ไม่ยาก

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

กลุ่มอาการโรค NCDs ภัยเงียบที่ไร้อาการ ที่คร่าชีวิตคนไทยกว่า 73% ต่อปี

กลุ่มอาการโรค Non-Communicable Diseases (NCDs) หรือ “กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” เป็นชื่อเรียกของกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเชื้อโรค ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส คลุกคลี หรือติดต่อผ่านพาหะนต่างๆ เหมือนกับโรคติดต่อปกติโดยทั่วไป ในอดีตเชื่อกันว่ากลุ่มอาการโรค NCDs เป็น “โรคของคนรวย” แต่ที่จริงแล้ว กลุ่มอาการของโรค NCDs เป็นโรคที่ “คุณสร้างเอง/Life style diseas” หรือ เป็นโรคที่เกิดจากการใช้วิถีชีวิตอย่างไม่ระวัง ซึ่งเป็นโรคที่สามารถพบได้จากกับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในหมู่ “ผู้สูงอายุ” ที่มักเกิดขึ้นจากการสะสมต้นเหตุของโรคเอาไว้ด้วยการทำร้ายตัวเองตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่มีอายุน้อย ก็มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคในกลุ่มอาหาร NCDs สูงมากขึ้นเรื่อยๆ และ 1 ใน 4 ของผู้ที่เสียชีวิต อยู่ในช่วงอายุน้อยกว่ 60 ปี

สาเหตุหลักๆของการเกิดกลุ่มอาการโรค NCDs สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ

  1. พฤติกรรมการใช้ชีวิต มาจากปัจจัยต่างๆภายในร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากลักษณะการใช้ขีวิต ที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย ทานอาหารรสหวาน มัน เค็ม จัดจนเกินไป ความเครียด เป็นต้น
  2. โรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นโรคที่มักพบในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป โดยที่ร่างกายเกิดความผิดปกติในการสันดาปอาหารในกลุ่มให้พลังง่น เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
  3. ปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรม และอายุที่เพิ่มมมากขึ้นจะก่อให้เกิดปัญหาการเสื่อมสภาพของการทำงานอวัยวะต่างๆตามธรรมชาติ

ถึงแม้ว่ากลุ่มอาการโรค NCDs จะเป็นโรคติดต่อไม่เรื้อรัง แต่ถ้าหากไม่ได้รับการควบคุมรักษาอย่างถูกต้อง อาการของโรคเหล่านี้ก็จะค่อยๆรุนแรงมากขึ้นทีละน้อย แต่กลุ่มอาการโรค NCDs สามารถเกิดขึ้นพร้อมๆกันเป็นกลุ่มโรคได้ทีละหลายโรค ดังนั้นในหลายครั้งผู้ป่วยจึงมักมีอาการของโรคที่หลากหลาย และส่งผลต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก

จากการศึกษาขององค์กรอนามัยโลก (WHO) ให้ความสำคัญกับกลุ่มอาการโรค NCDs อยู่ในระดับของปัญหาที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี พ.ศ.2554 กลุ่มอาการโรค NCDs ได้คร่าชีวิตของประชากรโลกโดยรวมมากกว่าสาเหตุการตายอื่นๆรวมกันมากดึง 36.2 ล้านคน ต่อปี  หรือคิดเป็น 63% ของประชากรโลก ที่น่าตกใจคือ กว่า 80% ของผู้ที่เสียชีวิต เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนาสำหรับในประเทศไทย จากสถิติเมื่อปี พ.ศ.2552 พบว่า มีผู้ป่วยจากกลุ่มอาการโรค NCDs กว่า 14 ล้านคน นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตของประชากรในประเทศไทย มากถึง 300,000 คน หรือคิดเป็น 73% ของผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมด สถิติการเสียชีวิตดั่งกล่าว แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลก และมีแนวโน้มว่าจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

6 กลุ่มอาการโรค NCDs ที่มีอัตราผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุด
กลุ่มอาการของโรค NCDs ที่มีอัตราผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ได้แก่  โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ คิดเป็น 48% ของผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อทั้งหมด รองลงมาคือโรคมะเร็ง 21% โรคถุงลมโป่งพอง รวมโรคปอดเรื้อรังและหอบหืด 12% และโรคเบาหวาน 4 %

  1. กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ (Cardiovascular & Cerebrovascular Diseases ) ในปี  พ.ศ.2548 ประชากรโลก 17.5 ล้านคน เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ 80% อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และเป็นประชากรในกลุ่มวัยแรงงาน  ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ทำนายเอาไว้ว่า ในปี พ.ศ.2573 ประชากรโลกจะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ มากขึ้นเป็นกว่า 23 ล้านคน โดย 85% จะเกิดขึ้นกับประชากรของประเทศที่กำลังพัฒนา
  2. กลุ่มโรคมะเร็ง (Cancer) เป็นกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริยเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ ด้วยการแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกลายเป็นเนื้องอกร้าย ที่รุกรานเข้าสู่ร่างกายข้างเคียง มะเร็งอาจสามารถแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ ผ่านระบบน้ำเหลือง หรือกระแสเลือด
  3. กลุ่มโรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) มีผู้ป่วยกว่า 80 ล้านคน ทั่วโลก และมีอัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ยถึงปีละ 3 ล้านคน เป็นประชากรไทยเกือบ 1 แสนคน สำหรับสาเหตุหลักๆร้อยละ 90 คือ การสูบบหุรี่ โรคถุงลมโป่งพองจะส่งผลทำให้ปอดมีสภาพคล้ายกับลูกโป่งที่เคยเป่ามาแล้ว ตีบ และแคบ เมื่อทำการหายใจ ทำให้เกิดลมค้างอยู่ที่ปอดบีบออกไม่หมด ทำให้ไม่สามารถหายใจได้เต็มปอด อึดอัด แน่นหน้าอก ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยไม่พอต่อการใช้งาน
  4. กลุ่มโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 6.9 % หรือประมาณ 3.2 ล้านคน มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยเฉพาะประชากรชายที่มีน้ำตาลในเลือดสูง เพียง 56.7% ที่รู้ตัว และมีเพียง 21.1% ที่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้
  5. กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เมื่อค่าความดันโลหิตตัวบนเท่ากับหรือสูงกว่า 140 มม. ปรอท และค่าความดันโลหิตตัวล่างเท่ากับ หรือสูงกว่า 90 มม. ปรอท จะก่อให้เกิดแรงเลือดกระทำต่อผลนังหลอดเลือดที่มากเกินกว่ามาตราฐาน จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 21.4 % เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่มีอัตราของคนที่รับรู้ และการเข้ารับการรักาทางการแพทย์ที่ต่ำ ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
  6. กลุ่มโรคอ้วนลงพุง (Obesity) เป็นภาวะอ้วน ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับส่วนเอว เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่ในช่องท้องมากจนเกินควร ส่งผงให้หน้าท้องยื่นออกมาอย่างชัดเจน สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งคนที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตราฐาน และที่มากกว่ามาตรฐาน ซึ่งโรคอ้วนลงพุง มักที่ตะทำให้เกิดความผิดความผิดปกติอื่นๆของร่างกายร่วมด้วยอีกหลายโรค อาทิเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และระดับไขมันในเลือดสูง เป็นต้น จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 19.4 % หรือเกือบ 9 ล้านคน มีภาวะไขมันคอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งประชากรไทยเกือบ 1 ใน 3 เข้าข่ายภาวะน้ำหนักเกิน และอีกกว่า 8.5 % เข้าข่ายป่วยเป็นโรคอ้วน และจากการสำรวนสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงของคนไทยที่มีอายุมากกว่า 15 ปี ขึ้นไป พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่เป็นโรคอ้วนในช่วงเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเพศชาย ที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง (ปี พ.ศ.2535 – 2552) มากขึ้นถึง 4 เท่า

กลุ่มอาการโรค NCDs ที่มักเกิดขึ้นจากการแทรกซ้อนของโรค
นอกจากกลุ่มอาการของโรค NCDs ที่เสี่ยงต่อการอัตราการเสี่ยงเสียชีวิตสูง 6 อันดับ ดังที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น ยังมีโรคอื่นๆ ที่ถูกนับว่าเป็นกลุ่มอาการของโรค NCDs ด้วยเช่นกัน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอาการแทรกซ้อนที่เกิดร่วมกับกลุ่มอาการของโรค NCDs อื่นๆ เช่น

  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคเบาหวานขึ้นจอประสาทตา
  • โรคหลอดเลือดหัวใจ
  • โรคไต
  • โรคแผลติดเชื้อที่เท้า
  • โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด
  • โรคตับแข็ง
  • โรคหลอดเลือกสมองตีบ
  • โรคสมองเสื่อม
  • โรคอัมพาธ
  • โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล

การดูแลรักษา และป้องกันตัวเองจากกลุ่มโรค NCDs
ถึงแมว่าสถติการป่วยและเสียชีวิตจากกลุ่มโรค NCDs จะสูงมาก แต่ก็สามารถที่จะทำการป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรค จากพฤติกรรมต่างๆในชีวิตประจำวันได้มากถึง 80% และยังสามารถลดการเกิดโรคมะเร็งได้มาก 40% โดย สารถปฎิบัติตัวเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค NCDs ได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้

หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกฮออล์ จากาการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่า ปริมาณการดื่มแอลกฮอลล์ของคนไทยมากเป็นอันดับที่ 3 ของเอเชีย เฉลี่ยนคนละ 52 ลิตร ต่อปี เป็นกลุ่มวัยรุ่นมากถึง 17 ล้านคน หรือ คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด

  1. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ จากาการสำรวจเมื่อปี พ.ศ.2554 พบว่า การสูบบุหรี่ของประชากรไทยอยู่ที่ร้อยละ 21.40 หรือราวๆ 11.5 ล้านคน
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเพียง 150 นาที ต่อสัปดาห์ ลดมะเร็งได้ 80% ลดอ้วนลงพุงได้ 50-90%
  3. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีหวาน มัน เค็มจัด การสำรวจพบว่า ประชากรไทยมีแนวโน้มในการบริโภคอาหารรสจัดเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆมาโดยตลอด คนไมยบริโภคน้ำตาลมากเกินพิกัด เฉลี่ยวันละ 20 ช้อนชา เกินกว่ามาคาฐานถึง 3 เท่า
  4. รู้จักการรับมือและหลีกเลี่ยงความเครียด
  5. พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่โหมทำงานหนักติดต่อกันหลายชั่วโมงจนเกินไป
  6. ทานอาหารเสริมหรือวิตามินเสริมไปกับอาหารมื้อหลักบ้างเพื่อเติมสารอาหารบ้างส่วนที่ขาดแต่ต้องศึกษาข้อมูลให้แน่ใจด้วย

อย่างไรก็ตาม การรักษาโรค NCDs จำเป็นที่จะต้องรักษาตามอาการของโรคที่เกิดขึ้น และควรได้รับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง อีกทั้งยังต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรั้งที่มักเป็นตลอดชีวิต และมักมีอาการที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต การงาน และคุณภาพชีวิต เนื่องจากไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถที่จะควบคุมอาการของโรคได้ ด้วยการปรับเปลี่นพฤติกรรม ด้วยการป้องกันไม่ให้เกิดโรคเหล่านี้ ที่ได้ทำการนำไปแล้ว ซึ่งง่ายกว่าการรักษาเป็นอย่างมาก

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.