มารู้จักการสครับหน้า สครับผิวที่ถูกวิธีกันดีกว่า

การสครับหน้า เป็นหนึ่งในวิธีการทำความสะอาดผิวหน้า โดยการช่วยผลัดชั้นผิวหนังที่ตาย หรือหมองคล้ำจากมลภาวะที่คุณสาวๆได้พบในชีวิตประจำวันให้หลุดออกไป เมื่อผิวหนังชั้นใหม่ขึ้นมาแทนที่ ผิวหน้าก็จะดูกระจ่างใส เกลี้ยงเกลา และขาวเนียนมากขึ้นกว่าเดิม

การสครับหน้านั้น มีวิธีการใช้ที่ถูกต้องอยู่ ถ้าหากใช้ไม่ดี การสครับอาจจะกลายมาเป็นดาบสองคมที่จะทำลายผิวหน้าได้อย่างง่ายๆ เช่นเดียวกัน สำหรับในวันนี้ ก็จะพาคุณสาวๆ ไปรู้จักกับหลักการใช้สครับหน้าที่ถูกต้อง ซึ่งหลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบกัน

ประเภทและของสครับ

สครับ (Scrub) สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ คือ สครับที่ผลิตจากธรรมชาติ และสครับที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี ซึ่งสครับทั้งสองประเภท สามารถนำมาใช้ในการสครับเพื่อทำความสะอาดใบหน้าได้เหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม หากคุณสาวๆ ต้องการที่จะทำการสครับใบหน้า ก็ควรที่จะทำการศึกษาสครับทั้ง 2 ประเภท ดังกล่าวเอาไว้ว่า มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันอย่างไร

            1. สครับที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี  เม็ดสครับที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ มักจะผสมเม็ดสครับสำหรับใช้ในการขัดผิว ซึ่งทำให้ชั้นผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกไป โดยส่วนใหญ่เม็ดสครับจะเป็นเม็ดพลาสติก หรือพลาสติกเคลือบ (Micro bead) ซึ่งจะมีตั้งแต่เม็ดแบบหยาบมาก ไปจนถึงเม็ดที่มีความละเอียดมาก โดยเม็ดสครับเหล่านี้จะมีลักษณะเป็นทรงกลม มีขนาดที่เท่ากัน

บางผลิตภัณฑ์เม็ดสครับอาจจะเป็นเพียงเม็ดพลาสติกธรรมดา ในบางผลิตภัณฑ์อาจจะมีการชุบสารสกัดจากธรรมชาติ เช่น Jojoba Bead สครับที่ทำการผลิตจากกระบวนการทางเคมี จึงทำให้มีโอกาสเกิดความระคายเคืองต่อผิวได้มากกว่าสครับที่ผลิตจากธรรมชาติ

2. สครับที่ผลิตจากธรรมชาติ เนื้อเม็ดของสครับจะทำขึ้นจากพืช หรือผลไม้ มีลักษณะที่ค่อนข้างหยาบ เม็ดสครับที่ได้จากธรรมชาติมีรูปร่าง และขนาดที่ไม่แน่นอน แต่ความแตกต่างทางรูปทรงของเม็ดสครับ กลับทำให้เม็ดสครับมีประสิทธิภาพในการขัดสิ่งสกปรกออกมาจากผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และยังทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่าสครับที่ผลิตขึ้นจากกระบวนการทางเคมี

การสครับหน้า กับลักษณะของผิว

            ก่อนที่จะทำการเลือกผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในการสครับหน้า หรือผสมครีมสครับขึ้นจากวัตถุดิบธรรมชาติด้วยตัวเอง คุณสาวๆควรที่จะทำการสำรวจตัวเองก่อนว่า สภาพผิวของตนเองนั้นมีลักษณะเช่นใด เพื่อที่จะได้เลือกครีสครับที่เหมาะสม ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ลักษณะผิวของคุณสาวๆ จะสามารถแบ่งออกได้กว้างๆ ดังต่อไปนี้

1. ผิวแพ้ง่าย สำหรับคนที่เป็นผิวแพ้ง่ายไม่ควรทำการสครับหน้าทุกวัน เพราะอาจจะทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวได้ง่าย และก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ หรือส่วนผสมในการทำสครับจากธรรมชาติ ควรทดลองนำไปใช้กับส่วนอื่นๆของร่างกาย เช่น หลังมือ เป็นต้น ก่อนนำไปใช้กับใบหน้า เพื่อตรวจสอบดูว่าเกิดอาการแพ้ของผิวขึ้นหรือไม่

            2. ผิวมัน สำหรับคนที่เป็นผิวมัน ใบหน้ามีการผลิตทั้งเหงื่อ และไขมันออกมาเป็นจำนวนมาก สามารถทำการสครับหน้าได้ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่การขัดถูมากๆ จะยิ่งทำให้รูขุมขนกว้างมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้ใบหน้ามันมากยิ่งขึ้น หากต้องการทำการสครับใบหน้า ควรพยายามหลีกเลี่ยงในบริเวณที่มีรูขุมขนกว้าง

3. ผิวแห้ง สำหรับผิวแห้ง การสครับหน้าจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าหากต้องการจะสครับหน้าจริงๆ ควรทำการสครับหน้าเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว

4. ผิวที่เป็นสิว ควรพยายามหลีกเลี่ยงสครับที่มีกรดธรรมชาติสูงๆ เช่น กรด AHA และ BHA เพราะอาจจะทำให้ผิวเกิดการอักเสบ หรือทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ และควรหลีกเลี่ยงการสครับในบริเวณที่เป็นสิว เพราะอาจทำให้สิวเกิดการอักเสบขึ้นได้เช่นกัน

ข้อควรจำในการขัดผิวหน้าอย่างถูกวิธี

            1. ไม่ควรทำการขัดหน้าบ่อยจนเกินไป โดยความถี่ที่เหมาะสมในการขัดหน้า คือ 1-2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเพียงพอแล้ว นอกจากนี้การทิ้งระยะเวลาในการขัดหน้าจะช่วยเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทนแทนเซลล์ผิวเก่าที่ถูกขัดออกไป ดังนั้นถ้าหากฝืนทำการขัดหน้าบ่อยๆ แทนที่จะทำให้หน้าใส กลับเป็นการรบกวนผิว ทำให้ใบหน้าแห้งกรัง เกิดสิว แถมริ้วรอยยังมาเยือนอีกต่างหาก

2. ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์หรือครีมที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟา ไฮดรอกซี (Alpha hydroxyl acids) ที่มากจนเกินไป เพราะถึงแม้ว่ากรดดังกล่าวจะมีฤทธิ์ในการช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่หากใช้ในปริมาณมากจนเกินไป หรือทาบ่อยๆเป็นประจำทุกวัน การกระตุ้นให้ผิวหน้าผลัดเซลล์อยู่ตลอดเวลาจะทำให้ผิวใบหน้าถูกทำลายมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาด้านผิวเกิดขึ้นตามมาในระยะยาว

3. ไม่ควรนำผลิตภัณฑ์ขัดผิวตัวมาใช้ในการขัดผิวหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการขัดผิวหน้าโดยเฉพาะ และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวหน้าที่มีเม็ดขรุขระ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดละเอียด เพื่อความปลอดภัยต่อผิวหน้าที่มากขึ้น ให้คุณสาวๆนำผลิตภัณฑ์ที่จะใช้ทำการขัดผิวหน้า มาทดลองขัดที่ผิวหนังบริเวณหลังมือก่อน ถ้าหากทำการถูแล้วไม่รู้สึกเจ็บ หรือแสบผิว จึงค่อยนำไปใช้ในการขัดผิวหน้าต่อไป

4. ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการขัดผิวหน้ามากที่สุด คือ เวลากลางคืน เพราะหลังจากที่เราทำการขัดผิวหน้าเสร็จแล้ว ในขณะที่นอนหลับ เซลล์ผิวหน้าจะได้ทำการซ่อมแซม ฟื้นฟู จากการสูญเสียที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการขัดหน้า

            5. สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องสิวแต่อยากทำการขัดผิวหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวหน้าสำหรับคนที่เป็นสิวเป็นเฉพาะ เพื่อช่วยลดโอกาสที่จะไปสร้างความระคายเคืองให้กับผิวหน้าในขณะที่ทำการขัดผิวหน้า ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิว หรือสิวอักเสบมากขึ้น แต่ทางที่ดีที่สุดคือ ควรงดการขัดผิวหน้าในขณะที่เป็นสิวจนกว่าจะหายดี

6. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวหน้าเมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องไปในสถานที่ที่มีแสงแดดจัด เช่น ชายทะเล เป็นต้น ไม่ควรทำการขัดผิวหน้า อย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนไปในบริเวณที่มีแสงแดดมาก เพราะการขัดผิวหน้าทำให้ผิวหน้าบางลง ผิวหน้าจึงมีความไวต่อแสงแดดมากขึ้นตามไปด้วย

7. หลังจากที่ทำการขัดผิวหน้าควรทาครีมกันแดด ที่มีค่า SPF มากกว่า 15 เมื่อจำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอกบ้าน เพราะการขัดผิวหน้าจะทำให้ผิวบอบบางลง และไว้ต่อแสงแดดมากยิ่งขึ้น

8. ในขณะที่ทำการขัดผิวหน้าด้วยมือ ควรขัดเบาๆ พร้อมกับใช้มือขัดในลักษณะถูเป็นวงกลมเล็กๆ ไล่ให้ทั่วใบหน้า โดยเน้นที่บริเวณหน้าผาก จมูกและคางเป็นพิเศษ เนื่องจากในบริเวณดังกล่าวมักจะเกิดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งทำให้เกิดสิวขึ้น อีกทั้งยังไม่ควรขัดผิวหน้านานจนเกินไปนัก ควรใช้เวลาในการขัดประมาณ 10-15 นาที หรือน้อยกว่านั้นก็เพียงพอแล้ว

9. หลังจากที่ทำการขัดผิวหน้าควรทำการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ทุกครั้ง เพื่อเป็นการคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
การสครับขัดผิวให้ขาวสะอาด ควรทำด้วยความนุ่มนวล และไม่ควรทำบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวบอบบางลง จนไม่สามารถทนต่อแสงแดดที่รุนแรงได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้ผิวหยาบกร้านได้ง่ายขึ้น โดยปกติแล้วผิวหนังจะมีการผลิตเซลล์ผิวเป็นประจำทุก 2-4 สัปดาห์ แต่เมื่ออายุมมากกว่า 20 ปี ขึ้นไป

การสครับผิวจะค่อยๆ ช้าลง การขัดเซลล์ผิวจะช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างใส แต่ไม่ควรทำการขัดผิวเป็นประจำทุกวัน ความถี่ในการขัดผิวกายที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 2 ครั้ง ต่อเดือน โดยการขัดผิวกายนั้น ให้ทำการขัดเป็นวงกลมอย่างเบามือ และหลังจากที่ทำการขัดผิวเสร็จแล้ว ควรหามอนส์เจอไรเซอร์มาทาที่ผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

@kwang

by @kwang

@kwang. แอดมินกวาง ผู้คร่ำหวอดในวงการ สุขภาพ ลดน้ำหนัก อาหารเสริม และ สินค้าความงามตั้งแต่ปี 2010 อยากรู้เรื่องอะไรสอบถามได้เลยค่ะ เรามีทีมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเตรียมตอบคำถามให้คุณ Line: @beauty24store / Tel: 092-254-8284


"ติดต่อสอบถามสินค้าและบริการ" Call center: 092-254-8284 แอดไลน์ : @beauty24store หรือกดลิ้งเลยค่ะ Line@ คลิ๊ก


Leave a Reply