ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง คุณค่าจากธรรมชาติสู่ผิวพรรณ

            “บำรุง ปกป้อง และดูแลผิวจากมลภาวะ ด้วยส่วนผสมที่คัดสรรมาอย่างดีจากพืชออร์แกนิคเกาหลี อุดมด้วยคุณค่าสารสกัดบริสุทธิ์จากธรรมชาติ”
ประโยคข้างต้นเป็นการอธิบายสรรพคุณไว้อย่างคร่าวๆ ของผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ ซึ่งเจ้าผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง คือเครื่องสำอางค์ดูแลผิวหน้าที่นำเข้ามาจากประเทศเกาหลี สามารถจัดการกับทุกปัญหาบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิว ปัญหารูขุมขนกว้าง และริ้วรอยหมองคล้ำต่างๆ เหตุใดมันถึงมีสรรพคุณแสนวิเศษ และเป็นที่ฮอตฮิตได้มากขนาดนี้ เรามาทำความรู้จักกับ ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง ไปพร้อมๆกัน

ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง คืออะไร
 ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง หรือ Dr.young มาจากสองคำรวมกันคือ Doctor+Young โดยคำว่า “Doctor” หมายถึงผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ผิวหนัง แพทย์ผิวหนัง ศัลยแพทย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโอเรียนเต็ล เคมียา และวัสดุนักวิทยาศาสตร์ ส่วนคำว่า “Young” มาจากความฝันของทุกคนที่อยากจะคงความหนุ่มสาว และมีผิวสุขภาพดีอยู่เสมอ
  ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง เป็นทางเลือกที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาผิวได้อย่างตรงจุด สร้างความเชื่อมั่นในตัวเองให้กลับมาอีกครั้ง โดยเชื่อว่าปัญหาเรื่องผิวพรรณไม่สามารถแก้ได้ที่ปลายเหตุ แต่ต้องแก้จากต้นเหตุ ซึ่งผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง เป็นมิตรต่อผิวพรรณ ไม่ทำให้ระคายเคือง เพราะมีแหล่งกำเนิดมาจากวัตถุดิบที่เป็นส่วนผสมของธรรมชาติ จึงสามารถแก้ปัญหา ฟื้นฟูสภาพผิวให้มีสุขภาพดีขึ้นจากภายใน สามารถอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ คือ
         No ไม่มีส่วนผสมของ Animal-origin และ Mineral oil
         Low มีสาร Preservative หรือสารกันเสียในเครื่องสำอางค์ อยู่ในระดับที่ปลอดภัย
         High ใช้ส่วนผสมจากวัตถุดิบออแกนิก Botanical oil น้ำมันที่สกัดจากพืช และน้ำแร่ธรรมชาติ
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง ยังได้รับการการันตีคุณภาพจากองค์การอาหารและยาในประเทศเกาหลี และประเทศไทยอีกแล้ว ยังได้รับการรับรองจากสถาบัน ECOCERT® ซึ่งเป็นที่ยอมรับสูงสุดในวงการเครื่องสำอาง

ไม่เพียงแค่นั้น ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง ได้รับเกียรติจาก “Jang Yoon Hee” Miss Korea ปี 2008 ที่เธอเป็นผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จาก ดร.ยังจริง และพบกับความงามที่ช่วยให้เธอเปล่งประกาย นำมาซึ่งตำแหน่ง Miss Korea นั่นเอง ที่สำคัญ Jang Yoon Hee ได้เป็น Brand Presenter และ Brand Endorser ของผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง เพื่อการันตีคุณภาพโดยไม่รับค่าตอบแทนใดๆ
ทั้งหมดทั้งมวลที่ได้กล่าวมา ส่งผลให้ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง มีตัวแทนจำหน่ายอยู่ในหลายประเทศ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน มาเลเซีย สิงค์โปร์ สหรัฐอเมริกา ฯลฯ และได้รับการรีวิวลงนิตยสารชั้นนำอีกมากมาย ซึ่งในปี 2012 ผลิตภัณ์ ดร.ยัง มียอดขายดีเป็นอันดับหนึ่งของประเทศเกาหลี รวมถึงผ่านการทดสอบและยืนยันโดยทีมแพทย์มาแล้วว่า ปลอดภัยไม่ก่อให้เกิดการแพ้ระคายเคือง
   ณ ตอนนี้ ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง ที่ได้นำเข้ามาในบ้านเรา มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโฟมล้างหน้า ครีมและเซรั่มบำรุงผิว แต้มสิว เจลบำรุงรอบดวงตา ฯลฯ และขอบอกเลยว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆมีผลตอบรับจากพี่น้องชาวไทยเป็นอย่างดี แม้จะเป็นสินค้าที่นำเข้าจากเกาหลีระดับพรีเมี่ยม แต่ยอดการสั่งซื้อก็ถล่มทลาย สังเกตได้จากการตามเว็บขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง กันเป็นจำนวนมาก เหตุผลง่ายๆก็คือ ใช้แล้วดี ใช้แล้วเห็นผลชัดนั่นเอง

ข้อดีของการใช้ผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง
1.เนื่องจากใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ จึงไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อผิว มีการคัดกรองวัตถุดิบในทุกขั้นตอน ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพมาตรฐานอย่างที่หลายสถาบันให้การยอมรับ ที่สำคัญเป็นการคืนความสมดุลธรรมชาติให้แก่ผิว
2.เหมาะกับทุกสภาพผิว ทั้งผิวแห้ง ผิวมัน หรือผู้ที่มีปัญหาผิวมีริ้วรอย ไม่เรียบเนียน โดยผลิตภัณฑ์ ดร.ยัง จะช่วยฟื้นฟูสภาพให้มีสุขภาพดีมากจากภายใน ซึบซาบไปสู่ชั้นผิวลึก ไม่ทำร้ายผิว โดยเน้นในการแก้ปัญหาผิวตามธรรมชาติให้ทำงานได้ดีขึ้น
3.เป็นผลิตภัณฑ์มาตรฐาน จาก อย.ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสถาบันด้านความงาม ไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น แม้จะต้องแลกไปกับราคาที่สูงขึ้นในระดับพีเมี่ยม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ที่ได้แล้วย่อมคุ้มค่า

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

‘โบท็อก’ วิธีทำหน้าเป๊ะแบบไม่ต้องพึ่งศัลย์

            การฉีดโบท็อกกำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเฉพาะในแวดวงดารา พริตตี้ ที่ต้องทำให้หน้าเป๊ะอยู่ตลอดเวลา ต่างก็ใช้โบท็อกเป็นตัวช่วยเสริมให้ตัวเองดูดีแบบทุกองศากันทั้งนั้น เหตุผลง่ายๆก็คือโบท็อกไม่ใช่การทำศัลยกรรมที่ต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ทำให้กระเป๋าตังค์ฉีก
และเมื่อคนเด่งคนดังฉีดโบท็อกกัน หนุ่มๆสาวๆที่อยากหน้าสวยเป๊ะจึงเอากับเขาบ้าง ต่างสรรหาคลินิคเพื่อไปฉีดโบท็อกกันจ้าละหวั่น วันนี้เรามาทำความรู้จักกับการฉีดโบท็อกกันให้มากขึ้น เพื่อเป็นตัวเลือกในการตัดสินของผู้ที่ต้องการหล่อสวยแบบทันใจ ไม่ต้องพึ่งศัลย์

โบท็อกคืออะไร
 โบท็อก เป็นชื่อทางการค้ามีชื่อเต็มๆว่า “Botulinin Toxin” ซึ่งเป็นสารโปรตีนที่สกัดมาจากแบคทีเรียชนิดหนึ่ง คือ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium Botulinum) ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์ หากได้รับในปริมาณมากๆ เช่น จากอาหารกระป๋องที่ปนเปื้อนเชื้อตัวนี้ ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้จากการที่กล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน
แต่ในทางการแพทย์เป็นที่ทราบกันดีว่าโบท็อก คือสารจากธรรมชาติที่เป็นโปรตีนบริสุทธิ์ ที่แม้จะสกัดจากแบคทีเรีย แต่ก็สามารถสร้างประโยชน์ทางการแพทย์ได้ โดยยุคแรกๆ จักษุแพทย์จึงนำโบทูลินั่มท็อกซิน มาฉีดรักษาโรคตาเหล่ ตาเข และโดยบังเอิญทำให้แพทย์พบว่าริ้วรอยบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก หว่างคิ้ว และรอบดวงตาดีขึ้นด้วย ซึ่งพบกว่าสารโบท็อกออกฤทธิ์ยับยั้งการนำกระแสประสาทที่ส่งมายังกล้ามเนื้อบริเวณนั้น ทำให้กล้ามเนื้อทำงานลดลง เกิดการคลายตัวผิวหนังด้านบนของกล้ามเนื้อ จึงเรียบและไม่มีรอยย่น ส่วนการทำงานด้านอื่นๆของเส้นประสาท เช่น การรับรู้ความรู้สึกต่างๆก็จะเป็นปกติ ซึ่งโบท็อกมีทั้งหมด 7 ชนิด ตั้งแต่ A-G แต่ชนิด A เป็นชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดในมนุษย์ การฉีดโบท็อกโดยทั่วไปที่ใช้ในแวดวงความงามจึงใช้ชนิด A เป็นสารฉีดเข้าสู่ร่างกาย

ประโยชน์จากโบท็อก
 นอกจากโบท็อกจะช่วยคลายกล้ามเนื้อให้หดตัวที่ส่งผลให้ริ้วรอยลดเลือน ที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ก็คือการใช้โบท็อกช่วยลดขนาดกล้ามเนื้อบนใบหน้า โดยใช้เวลาไม่นาน เพียง 10 นาที หลังจากทำการรักษา กล้ามเนื้อจะรู้สึกผ่อนคลาย ร่องลึกจะเริ่มคลายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และเมื่อเวลาผ่านไปกล้ามเนื้อจะเล็กลง ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงกล้ามเนื้อบนใบหน้า ช่วยให้โครงสร้างใบหน้าเปลี่ยนได้ เช่น กล้ามเนื้อบริเวณกรามมีขนาดใหญ่ ก็จะช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้นใน 4 สัปดาห์ เนื่องจากโบท็อกไปลดการทำงานของกล้ามเนื้อ แต่จะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน นอกจากนี้ คนที่มีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ เช่น ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ ก็สามารถฉีดโบท็อกรักษาอาการได้ แต่จะอยู่ได้ประมาณ 6-10 เดือน

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากฉีดโบท็อก
 ผศ.พญ.รังสิมา วณิชภักดีเดชา แพทย์ประจำศูนย์เลเซอร์ผิวหนังและศัลยกรรมผิวหนัง ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ข้อมูลว่า หลังการฉีดโบท็อกซ์อาจเกิดปัญหาแทรกซ้อนได้ เช่น หนังตาบนตก คิ้วตก มุมปากตก รูปปากเบี้ยว รอยจ้ำเลือดในตำแหน่งที่ฉีดโบท็อก การเกิดภูมิต้านทานต่อโบท็อกซ์ และอาจพบอาการตาแห้งได้ ดังนั้นแพทย์ที่ใช้ควรมีความรู้ความเข้าใจทางเภสัชวิทยาของโบทูลินัม ท็อกซิน ควรรู้วิธีผสมยา การรักษาที่ถูกต้อง ที่สำคัญควรมีความรู้พื้นฐานทางกายวิภาคของกล้ามเนื้อแต่ละมัด ตลอดจนเทคนิคการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อให้ผลการรักษาเกิดประโยชน์สูงสุดและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด
เป็นอย่างไรกันบ้างกับความรู้คร่าวๆเกี่ยวกับโบท็อก หวังว่าคงเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของหนุ่มสาวที่กำลังคิดจะฉีดโบท็อกได้ไม่มากก็น้อย ก่อนจากกันขอทิ้งท้ายด้วยบุคคลที่ห้ามฉีดโบท็อกโดยเด็ดขาด ดังต่อไป
1.ผู้มีประวัติภูมิแพ้อย่างรุนแรงต่อโบทูลินัม ท็อกซิน
2.หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร
3.ผู้มีความผิดปกติของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง
4.ผู้มีปัญหาเลือดออกง่ายผิดปกติ หรือกำลังกินยาที่มีผลทำให้เลือดออกแล้วหยุดยาก
5.ผู้ที่กำลังรักษาด้วยยาบางชนิดซึ่งมีผลต่อการออกฤทธิ์ของโบท็อกซ์

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มะเขือเทศ รักษาสิว

            การรักษาสิวด้วยวิธีที่ใช้ส่วนผสมแบบธรรมชาติ มีอยู่ด้วยกันหลากหลายอย่างให้เราเลือกปฏิบัติ “มะเขือเทศ” ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเห็นผลจริง ที่สำคัญปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง ทั้งยังเป็นวิธีการที่แสนง่ายสามารถทำเองที่บ้านได้ โดยไม่ต้องออกไปคลินิคให้เสียทั้งเวลาและเงินในกระเป๋า
ในมะเขือเทศมีสารชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังมีความอุดมไปด้วยวิตามินซี และวิตามินเอ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ที่สามารถช่วยรักษาสิวได้อย่างดี และสำหรับสูตรที่จะใช้มะเขือเทศ รักษาสิว สามารถเลือกทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้

1.มาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศและโยเกิร์ต
ส่วนผสมได้แก่ มะเขือเทศครึ่งลูกใหญ่ และโยเกิร์ตธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำง่ายๆก็คือ นำมะเขือเทศสดที่ได้ผ่านการล้างให้สะอาดแล้วมาบด ขยี้ให้ละเอียด แล้วนำโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะใส่ผสมกับมะเขือเทศที่เตรียมไว้ ขยำส่วนผสมทั้งสองให้เข้ากัน จากนั้นนำมาทาหน้าให้ทั่วหน้าเว้นบริเวณรอบดวงตากับจมูกไว้ เหมือนกับการมาร์คหน้าทั่วๆไป ตรงไหนมีสิวหรือจุดด่างดำหรือหลุมสิวก็พอกไปหนาๆ ทิ้้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วก็ล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดหรือโฟมล้างหน้าตามปกติ หลังจากทำแล้วจะรู้สึกว่าใบหน้าสะอาด และนุ่มชุ่มชื้นดี
โดยควรทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ใบหน้าจะดูขาวสดใส มีชีวิตชีวามากขึ้น เนื่องจากตัวมะเขือเทศเองจะช่วยผลัดเซล์ผิวที่ตายออกไป เรียกได้ว่าเป็นการทำ AHA แบบธรรมชาติ ส่วนตัวโยเกิร์ตจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้าทำให้หน้ามีน้ำมีนวล และช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้ดี

2.กระชับรูขุมขนด้วยมะเขือเทศและแตงกวา
ใช้เป็นสูตรกระชับรูขุมขนแบบเย็นและอ่อนโยน โดยคั้นให้ได้น้ำมะเขือเทศสดพร้อมดื่ม หั่นแตงกวาบางๆ แล้วบีบให้ได้น้ำแตงกวาลงไปในน้ำมะเขือเทศ จากนั้นคนให้เข้ากัน แล้วใช้สำลีทาให้ทั่วใบหน้า สักครู่ล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยควรทำวันละ 1 ครั้งจะเห็นผล รูขุมขนที่กว้างจะเล็กลง ดูกระชับขึ้นด้วยคุณประโยชน์ที่ได้จากแตงกวานั่นเอง ซึ่งหากรูขุมขนเล็ก จะเป็นการป้องกันสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่ผิวได้ง่าย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิวต่างๆ ทั้งยังดูหน้าเนียนใสแบบธรรมชาติอีกด้วย

3.ลดความมันของใบหน้าด้วยมะเขือเทศ
สูตรมะเขือเทศ รักษาสิวนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้ามัน ซึ่งทำให้เกิดสิวได้ง่าย โดยให้เตรียมมะเขือเทศเอาไว้ครึ่งลูก แล้วให้นำไปทาให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวทั้งหมด เมื่อทาเสร็จแล้วก็ให้ทำการล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น จากนั้นก็เช็ดใบหน้าเบาๆให้แห้ง แค่นี้ก็ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ง่ายๆอีกวิธีหนึ่ง

4.มาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศและอะโวคาโด้
  มีขั้นตอนง่ายๆ เพียงเตรียมผลมะเขือเทศและผลอะโวคาโด้ แล้วทำการบดเข้าด้วยกัน โดยบดให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที จึงล้างหน้าออกด้วยน้ำอุ่น หรือจะใช้น้ำธรรมดาก็ได้ เมื่อล้างเสร็จก็ให้เช็ดหน้าเบาๆจนแห้ง แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยสำหรับการมาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศและอะโวคาโด้ โดยเป็นวิธีแสนง่ายที่ช่วยให้ใบหน้าของเราเนียนใสไร้สิวแบบที่ทุกคนปราถนา
ทั้ง 4 สูตรมะเขือเทศ รักษาสิว ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าเห็นผลจริง แม้จะไม่ทันใจเท่าวิธีการสมัยใหม่อย่างเช่น การทำเลเซอร์สิว แต่รับรองว่าในระยะยาววิธีแบบธรรมชาติย่อมดีกว่า เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงที่ตามมา อย่างไรก็ดี หากจะให้มะเขือเทศ รักษาสิวได้ผลชัดขึ้น ควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และดื่มน้ำให้มากๆวันละ  8-10 แก้ว ที่สำคัญพยายามรักษาผิวหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ ออกห่างมลภาวะต่างๆ โดยเฉพาะควันพิษจากท่อไอเสียในอากาศ ที่เป็นตัวกาสำคัญให้ผิวหน้าเกิดสิวได้ง่าย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

บอกลาใบหน้าหมองคล้ำ ด้วยวิธีธรรมชาติ

            การมีผิวหน้าที่ดูขาวสม่ำเสมอ มีความสดใส ไร้สิว ไร้ริ้วรอย เป็นความใฝ่ฝันของใครหลายคน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่มักประสบปัญหาใบหน้าหมองคล้ำได้ง่าย เนื่องจากผิวมีความอ่อนโยน ไวต่อแสงแดด ทำให้เกิดสิว ฝ้า กระ และริ้วรอยต่างๆ และเพื่อให้สาวๆที่มีใบหน้าหมองคล้ำกลับมาขาว สว่างกระจ่างใส ชุ่มชื้น มีออร่า ลองดูวิธีแบบธรรมชาติที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งตัวยาที่อาจเกิดผลข้างเคียง แต่ก่อนอื่นเราควรรู้สาเหตุหลักๆที่ทำให้ใบหน้าหมองคล้ำกันเสียก่อน

            1. แสงแดด แม้ว่าจะโดนแสงแดดเพียง 60 วินาที ก็อาจทำให้ใบหน้าหมอคล้ำได้ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสาวๆ ว่าเซลล์ผิวเริ่มถูกทำลาย ให้รีบดูแลและปกป้องผิวก่อนที่จะโดนทำร้ายจนคล้ำเสียสะสม
            2.เครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเป็นแป้ง บีบีครีม หรือครีมรองพื้น หากทาซ้ำบ่อยๆ โดยไม่ล้างทำความสะอาดช่วงเย็นก่อนเข้านอนให้ผิวได้พักและหายใจ จะสร้างการอุดตันให้ผิวเกิดสิวและใบหน้าหมองคล้ำในที่สุด
            3.รังสียูวี ประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรอย่างเมืองไทย เสี่ยงกับการที่ผิวหน้าจะเผชิญกับรังสียูวีโดยตรง เนื่องจากเป็นโซนที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ และชั้นบรรยากาศช่วยกรองแสงได้น้อยกว่าประเทศแถบอื่น ทั้งนี้ คอมพิวเตอร์สามารถปล่อยรังสี UVA รวมไปถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้ใบหน้าหมองคล้ำได้ ผู้ที่อยู่กับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ควรหลีกเลี่ยงด้วยกันพักจากหน้าจอบ้าง
          4.จุดด่างดำจากรอยสิว โดยจะยิ่งคล้ำเสียลงยิ่งกว่าเดิมหากโดนแสงแดดมากๆ เนื่องจากเซลล์ผิวเพิ่งฟื้นตัวจากการเกิดสิว ถ้าโดนทั้งรังสียูวีเอและยูวีบีมากๆ จะทำให้รอยแดงของสิวยิ่งคล้ำเสียและเป็นจุดด่างดำที่ชัดเจนขึ้น
            5.ความเครียด เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดใบหน้าหมองคล้ำ ไม่สดใส ทำให้ผิวผลิตเมลานินมากกว่าปกติอีกด้วย

วิธีจัดการปัญหาใบหน้าหมองคล้ำ
  1.ทาครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆต้องมีติดกระเป๋าอยู่เสมอ เพราะหากต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้ใช้ให้ทันการ ยิ่งหากพึ่งขัดผิวมาหมาดๆ สมควรอย่างยิ่งที่ต้องปกป้องใบหน้าด้วยครีมกันแดด เพราะผิวคุณจะไวต่อแสงแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุกๆ 2-3 ชั่วโมง
2.ใช้น้ำนม ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่นมหรือน้ำแร่ในอ่าง แต่สามารถทําให้ผิวขาวได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า และอาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบาๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีแล้วล้างออก ใบหน้าหมองคล้ำก็จะมีน้ำมีนวล ค่อยๆขาวขึ้น โดยทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง     

            3.รับประทานวิตามินซี วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจซื้อวิตามินซีแบบเม็ดมารับประทานเพิ่ม วิธีนี้จะช่วยในเรื่องผิวและการขับถ่ายไปพร้อมๆกัน
4.รับประทานอาหารให้เหมาะสม โดยแต่ละมื้อควรให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่ง เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย นอกจากจะช่วยเรื่องของการขับถ่าย ยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับสดใสอยู่เสมอ ซึ่งหากร่างกายขับถ่ายได้ตามปกติ ผิวพรรณบนใบหน้าก็จะสดใสขึ้นโดยอัตโนมัต
            5.ออกกำลังกาย การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยขับเหงื่อไคลและสิ่งสกปรกใต้ผิว รวมถึงสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ผิวขาว มีออร่าอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญ ยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิวหน้า ไม่ให้เกิดสิวอีกด้วย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

“หน้ามัน ทำไงดี?” ยอดคำถามคาใจวัยหนุ่มสาว

            สำหรับหนุ่มสาวที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว จะพบว่าร่างกายเราเริ่มมีการปรับเปลี่ยนตัวครั้งใหญ่หลายๆอย่าง เช่นสิวที่เกิดขึ้น อารมณ์ที่แปรเปลี่ยนง่าย และหนึ่งในปัญหาโลกแตกนั่นก็คืออาการหน้ามัน โดยคำถามที่ต้องค้างคาใจคนหนุ่มสาวแน่ๆคือ “หน้ามัน ทำไงดี” และไม่เพียงแต่วัยรุ่นเท่านั้นที่ต้องประสบกับอาการหน้ามัน หากแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ต้องพบประสบเจอเช่นกัน ดังนั้นในบทความนี้จะพาค้นหาวิธีแก้ไขหน้ามันกัน 

            หน้ามัน เป็นอาการที่เกิดจากระบบร่างกายในส่วนของใบหน้า ได้ผลิตน้ำมันออกมาเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและคอยปกป้องสิ่งแปลกปลอมที่จะมาเกาะใบหน้า แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าน้ำมันธรรมชาติที่ร่างกายเราผลิตขึ้นมานั้นมันมีมากเกินพอดี จนทำให้ใบหน้าหนุ่มสาวและดูไม่ดี นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดจุดด่างดำและปัญหาสิวได้ ซึ่งนี้ก็คือต้นตอของสาเหตุหน้ามัน คราวนี้เราจะมาไขคำตอบของคำถามที่ว่า หน้ามัน ทำไงดี ด้วยวิธีป้องกันและรักษาหน้ามันกัน

วิธีที่ 1 ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง
โดยการล้างหน้าแต่ละครั้งนั้นย่อมส่งผลต่อความมันบนใบหน้าเป็นอย่างมาก เพราะการล้างหน้าบ่อยๆจะส่งผลทำให้หน้าเราแห้งและตึง ทำให้ผิวหน้าเร่งสร้างน้ำมันเพื่อเพิ่มคามชุ่มชื้น แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้หน้าเรามัน ดังนั้นการล้างหน้าที่ดีควรล้างวันละ 2 ครั้งเวลาเช้า – เย็น ก็เพียงพอกับการทำความสะอาดใบหน้าแล้ว หากเกิดความมันระหว่างวัน ขอแนะนำให้ใช้กระดาษซับหน้ามันจะดีที่สุด

วิธีที่ 2 มาร์กหน้าด้วยมะเขือเทศ
วิธีนี้การมาร์กหน้าอาจจะเป็นวิธีที่สาวๆหลายคนคุ้นเคย โดยมะเขือเทศนั้นมีวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวอยู่หลายตัว ช่วยดูดซับความมัน และยังช่วยกระชับรูขุมขนบนใบหน้าอีกด้วย วิธีทำมาร์กนั้นก็ไม่ยาก เพียงนำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียด จากนั้นก็นำมาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก ทำเพียงสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะช่วยลดความมันบนใบหน้าได้อย่างดี อีกทั้งยังได้ใบหน้าที่ใสดูดีด้วย

วิธีที่ 3 พอกหน้าด้วยว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้เป็นพืชสมุนไพรที่รู้จักกันดีถึงสรรพคุณรักษาแผลไฟไหม้ และช่วยลดอาการอักเสบที่เกิดจากสิว อีกทั้งยังช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ด้วย วิธีการนั้นก็แสนง่ายเพียงแค่นำวุ้นว่านหางจระเข้ไปล้างน้ำให้สะอาดก่อน โดยต้องแน่ใจว่าสะอาดจริงๆ เพื่อป้องกันยางกันหน้า เมื่อล้างสะอาดได้ที่แล้ว ก็ให้นำมาฝานบางๆ หลายๆแผ่นแล้วก็นำมาวางที่ใบหน้าให้ทั่ว เมื่อแปะไว้ที่ใบหน้าจะทำให้รู้สึกเย็น โดยแปะทิ้งไว้ประมาณ 15นาทีคอยนำออก

 

วิธีที่ 4 ดื่มน้ำสะอาดมากๆ
วิธีนี้ส่วนใหญ่หลายคนมักจะมองข้ามไปเพราะไม่คิดว่าจะทำได้จริง แต่จริงๆแล้วการดื่มน้ำสะอาดมากๆนั้นเป็นวิธีลดหน้ามันที่ประหยัดที่สุด และได้ผลดีมากๆ โดยเพียงแค่จิบน้ำสะอาดระหว่างวันบ่อยๆ เนื่องจากการดื่มน้ำนั้นจะช่วยทำให้ร่างกายทำความสะอาดจากภายใน ขับของเสียได้ง่ายขึ้นออกทางผิวหนังได้ดีขึ้น และเมื่อการขับถ่ายของเสียดีขึ้น ปัญหาสิวก็ลดลง อีกทั้งยังลดปัญหาหน้ามันไปในตัวด้วย
ทั้งหมดนี้ก็เป็นวิธีดูแลรักษาหน้ามันแบบง่ายๆ ที่ทำเองได้สำหรับคนหนุ่มสาวผู้มีคำถามคาใจว่า หน้ามัน ทำไงดี แต่อย่าลืมว่าปัญหาของใบหน้านั้นไม่ได้มีแต่เพียงหน้ามัน วัยมันส์อย่างเราๆคงต้องเจอปัญหาผิวพรรณอีกมากทั้งผิวแห้ง ผิวแตกลาย ต่างๆนาๆ ดังนั้นต้องหมั่นดูแลสุขภาพให้ครบรอบทุกด้าน เพื่อรักษาตัวเองให้ดูดีเสมอ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะช่วยไขปัญหา หน้ามัน ทำไงดี ได้ไม่มากก็น้อย ขอให้มีความสุขกับการรักษาสุขภาพผิวพรรณนะครับ!

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

บอกลา .. ผิวหน้าหมองคล้ำ


ผิวหน้าหมองคล้ำ เป็นปัญหาผิวที่เรามีโอกาสเป็นกันทุกคน โดยเฉพาะสาวเอเชียเมืองร้อนอย่างประเทศไทย ที่นับวันแดดยิ่งร้อนขึ้นทุกวันๆ ไม่ใช่เฉพาะปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำเพียงเท่านั้น ปัจจุบันยังพบปัญหาผิวอีกมากมาย เช่น กระ ฝ้า สิว ซึ่งเป็นปัญหาผิวที่แก้ไม่ตกสักที ยิ่งปัจจุบันนิยมคนผิวขาว เรียบเนียน จึงทำให้หนุ่มๆสาวๆสมัยนี้หันมาดูแลผิวหน้าและผิวกายมากขึ้น

ปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ .. เกิดจากอะไรบ้าง?
ผิวหมองคล้ำขาดความสดใสเปล่งปลั่ง มีสาเหตุใหญ่มาจาก การเผาผลาญภายในเซลล์ผิวมีประสิทธิภาพลดลงตามวัย รวมทั้ง ร่างกายเหนื่อยล้า พักผ่อนไม่เพียงพอ แม้แต่สภาพแวดล้อมที่ผิว ต้องเผชิญอยู่เสมอ เช่น รังสี UV และต้องอยู่ในที่ๆ อากาศแห้งมี การแปรปรวนเสมอก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำได้
1.สาเหตุจากแสงแดด รังสียูวีเอ ยูวีบี ป้องกันได้โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารปกป้องผิวจากแสงแดด เช่น ครีมกันแดด แป้งรองพื้นผสมสารกันแดด ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารกันแดด
2.สาเหตุจากการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว คนแต่ละวัยต่างต้องการการบำรุงที่แตกต่างกัน เพราะเซลล์ผิวจะมีการทำงาน ผลัดเปลี่ยนไปตามอายุ ลองหาครีมบำรุงที่เหมาะสมกับช่วงอายุ เช่น สูตรที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน และ ลดการอุดตันของรูขุมขน มีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวหน้า
3.สาเหตุจากการแต่งหน้า อาจจะเกิดมาจากการทำความสะอาดที่ไม่หมดจด ควรทำความสะอาดตามขั้นตอน ดังนี้
-เช็ดเครื่องสำอางออกด้วย ครีมน้ำนมหรือออยล์ทำความสะอาดเครื่องสำอางโดยเฉพาะ
-ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้า หรือ cleansing gel
-อีกสาเหตุ คือ อาจจะเกิดจากสารเคมีในเครื่องสำอางทำให้เกิดผิวการแพ้และหมองคล้ำได้
4.สาเหตุสุดท้าย คือ การใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ถูกต้อง เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ กินน้ำน้อย ความเครียด ควรที่จะปรับการใช้ชีวิต ควบคู่ไปกับอย่างอื่นด้วย

วิธีดูแลผิวหน้า(ไม่ให้)หมองคล้ำ
1.เลือกใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินซี หรือวิตามินบี
จะทำให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวและเพิ่มความสว่างใสให้กับผิว แต่ควรระวังเรื่องผิวถูกแดดนิดนึง วิตามินซีดูเหมือนจะไม่ค่อยถูกกับแสงแดดเท่าไหร่ จะยิ่งคล้ำกันไปใหญ่ แนะนำให้ใช้ครีมวิตามินซีทาทั่วใบหน้าก่อนนอน หรืออาจก่อนออกจากบ้าน
2.หลีกเลี่ยงแสงแดด
แสงแดด เป็นสาเหตุหลักของความหมองคล้ำ โดยเฉพาะแสดงแดดช่วง 10 โมงเช้า ถึงบ่าย 3 โมง เป็นแดดที่ทำให้ผิวเราคล้ำขึ้นอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดในช่วงเวลา ถ้าหากมีความจำเป็นต้องออกแดดแล้วล่ะก็ อย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกแดดทุกครั้ง
3.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
เพราะการออกกำลังกายช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา
4.ทานอาหารที่มีประโยชน์
โดยเน้นทานผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้ย่อยง่าย ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้ออกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย เมื่อร่างกายขับถ่ายปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณจะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
5.ใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง ซึ่งอาจใช้ใยบวบช่วยขัดผิวไปด้วยเบาๆ ผิวจะค่อยๆขาวขึ้น


6. เติมความชุ่มชื้นด้วย Essence
ผิวหน้าหมองคล้ำมักขาดความชุ่มชื้น และหยาบกร้าน เพราะวงจรการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวไม่ราบรื่น แนะนำให้ใช้ Essence เสริมควบคู่ไปกับ Moisturizer ทุกเช้า-ก่อนนอน
7.ดื่มน้ำให้มากๆ
 8.น้ำตาลขัดผิว
การใช้น้ำตาลขัดผิวเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายๆ โดยใช้น้ำตาลประมาณ 2 ช้อนโต๊ะผสมลงในน้ำมันมะกอก เสร็จแล้วนำมานวดและขัดให้ทั่วใบหน้าและตัว ขัดอยู่อย่างนั้นจนกว่าน้ำตาลจะละลาย
9.พอกหน้าด้วยไข่ขาว
โดยแยกไข่ขาวออกจากไข่แดง แล้วนำไข่ขาวมาผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์อีก 1 ช้อนชา พอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีก่อนล้างออก
10.ควรนั่งห่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 14-24 นิ้ว
พร้อมปรับค่าความสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เป็น 0 ก็จะสามารถช่วยลดแสงที่ทำให้ผิวคล้ำผิวเสียได้มากถึง 80%

การดูแลผิวหน้าไม่ให้กลายเป็นผิวหน้าหมองคล้ำ” เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับหนุ่มสาวยุคนี้ การดูเเลผิวหน้าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อภาพลักษณ์ที่หล่อ สวย ดูดี หากใครที่กำลังประสบปัญหาผิวหน้าหมองคล้ำ ลองนำวิธีข้างต้นไปปฏิบัติจัดการกับผิวหน้าตัวเอง เพื่อผิวหน้าที่ไม่หมองคล้ำและสุขภาพดี แล้วคุณจะได้ บอกลา .. ผิวหน้าที่หมองคล้ำตลอดไป

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

หน้าลอกเป็นขุย ทำยังไงดี!

                 ผิวแห้งเป็นอาการปกติของผิวที่ต้องพบเจออากาศที่แห้งและเย็น โดยถ้าหากผิวที่แขนและขาแห้งอาจจะไม่ใช่เรื่องหน้าตกใจอะไร เพราะสาวๆยังสามารถใส่เสื้อและกางเกงปกปิดได้ แต่ถ้าหน้าแห้งแล้วสิ่งที่ต้องเกิดตามมาแน่ๆ คือคือ หน้าลอกเป็นขุย ซึ่งหาอุปกรณ์ปกปิดได้ยาก และถ้าจะให้ใส่หมวกกันน็อคหรือหมวกไอ้โม่ง ก็คงเป็นเรื่องที่สาวๆทำใจไม่ได้แน่ๆ โดยอาการหน้าลอกเป็นขุยนั้น ไม่ว่าจะหาแป้งรองพื้นดีสักขนานไหนก็ปกปิดรอยขุยได้ยากมากๆ เพราะตัวเนื้อแป้งมักจะไม่เกาะติดใบหน้าลอกเป็นขุย ดังนั้นคงต้องบอกลาวิธีนี้ได้เลย ดังนั้นหน้าลอกเป็นขุยจึงเป็นปัญหาอีกอย่างที่สาวๆต้องพบเจอในช่วงฤดูหนาวอย่างแน่นอน

แก้อาการหน้าลอกเป็นขุยด้วย Cleansing
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีแก้ไขอาการหน้าลอกเป็นขุยเสียทีเดียว เพราะถ้าหากปล่อยไว้สาวๆคงไม่ต้องก้าวออกจากบ้านยามหน้าหนาวเลยทีเดียว โดยวิธีการแก้ไขอาการหน้าลอกเป็นขุยนั้นไม่ยาก เริ่มจากล้างหน้าด้วย Cleansing ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ โดยสามารถดูสรรพคุณของ Cleansing ว่ามีมอยส์เจอไรเซอร์หรือไม่? ได้ที่ขวด เพราะมอยส์เจอไรเซอร์นั้นมีส่วนทำให้ใบหน้าของสาวๆนั้นมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งและเสียเหมือนการล้างหน้าด้วยเจลหรือครีมล้างหน้าทั่วไป ข้อควรระวังก็คือไม่ควรใช้ Cleansing ที่มีเม็ดบีทส์ขัดผิว เพราะเม็ดบีทส์เหล่านั้นจะยิ่งทำให้หน้าแห้งยิ่งขึ้น ซึ่งเกิดจากการขัดถู และยิงทำให้ผิวแตกยิ่งขึ้นในหน้าหนาว อันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดหน้าลอกเป็นขุย

เมื่อล้างหน้าด้วย Cleansing แล้วก็ควรล้างออกด้วยน้ำเย็น สาเหตุที่ต้องล้างด้วยน้ำเย็นก็เป็นเพราะว่า น้ำเย็นนั้นจะช่วยให้ผิวรักษาความชุ่มชื้นบนในหน้าได้ดีว่า ซึ่งถ้าหากใช้น้ำอุ่นความอุ่นนั้นจะช่วยทำให้หน้าแห้งเร็ว จนอาจจะทำให้เกิดหน้าลอกเป็นขุยก็ได้ ดังนั้นควรล้างออกด้วยน้ำเย็นเพื่อให้ใบหน้าเก็บความชุ่มชื้นให้นานที่สุด และหลังจากที่ล้างหน้าแล้วอย่าลืมตบท้ายด้วยครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมมอยส์เจอไรเซอร์ ทำอย่างนี้ทั้งเช้าและเย็นจะช่วยรักษาอาการหน้าลอกเป็นขุยได้ดีทีเดียว
เมื่อพูดถึงฤดูหนาวในไทยแล้ว ทุกคนย่อมรู้ว่าแดดช่วงเช้าและกลางวันนั้นแรงมาก ถ้าหากไม่ทาครีมกันแดดไปมีหวังผิวได้คล้ำไหม้เป็นแน่ และแดดนี่เองก็จะเป็นตัวเร่งทำให้หน้าแห้งและแดดแรงๆนี่เองที่สามารถทำลายผิวหน้าสาวๆได้ โดยแนะนำว่าให้เลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ต่ำที่สุดคือ 30 เพื่อปกป้องใบหน้าที่สวยงามได้

  

ทาครีมไม่พอต้องเปลี่ยนวิธีกินด้วย
แม้ว่าการทาครีมจะช่วยแก้อาการหน้าลอกเป็นขุยได้ แต่เพื่อให้การป้องกันเกิดประสิทธิผลที่ดี ควรต้องอาศัยการกินที่ดีด้วยเช่นกัน หลายคนอาจจะกังวลว่า ต้องถึงขั้นควบคุมอาหารเลยหรือเปล่า? คำตอบคือไม่ถึงขั้นอดอาหารหรือ ปรับเปลี่ยนวิธีกาสรกินเสียทีเดียว โดยวิธีการกินนั้นก็คือการเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน A และ B โดยแนะนำว่าอาหารจำพวกธัญพืชนี่เป็นทางเลือกที่ดีมากๆ และถ้าหากไม่ผ่านการขัดสีจะยิ่งดีมากขึ้น และเมื่อพูดถึงความชุ่มชื้นแล้วก็ต้องนึกถึงน้ำ ดังนั้นการดื่มน้ำดื่มสะอาดไม่ตำกว่าวันละ 8 แก้วนั้นจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้นและเปล่งปลั่ง ซึ่งเป็นการป้องกันอาการหน้าลอกเป็นขุยได้อย่างดี
และนี่ก็คือวิธีที่แสนง่ายในการป้องกันอาการหน้าลอกเป็นขุย โดยสามารเริ่มทำได้ง่ายๆ ซึ่งวิธีเหล่านี้ไม่จำเป็นจะต้องให้ถึงฤดูหนาวแล้วค่อยทำ แต่สามารถทำได้ทันทีหากพบว่าตัวเองมีอาการหน้าลอกเป็นขุย สุดท้ายนี้ก็ของให้สาวๆมีความสุขกับการรักษาสุขภาพผิว และมีสุขภาพร่างการแข็งแรงนะครับ!

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อยากหน้าเนียนแบบประหยัดงบ ทำยังไงดี?

                เป็นคำถามสำหรับคนอยากหน้าเนียน ว่าจะมีวิธีอย่างไรบ้างที่ทำให้ตนนั้นหน้าดูเนียนนุ่มสวย ยิ่งสมัยนี้มีเครื่องสำอางจำพวกมาส์กหน้าขายอยู่มากมายหลายสูตร ชนิดที่ว่าเลือกใช้กันแทบไม่ถูกเลยทีเดียว ยิ่งในช่วงที่มีการลดแลกแจกแถม สาวๆก็นิยมซื้อเครื่องสำอางตุนกันเต็มที่ แต่พอถึงเวลาที่มาส์กหน้าเหล่านี้ขายตามราคาปกติ ก็อาจจะทำใจลำบากเช่นกัน ดังนั้นในบทความนี้ขอแนะนำวิธีต่างๆเพื่อใบหน้าที่สวยสำหรับคนอยากหน้าเนียน โดยไม่รบกวนเงินในกระเป๋าสตางค์เพียงไม่กี่บาท

1. มาส์กไข่ขาวแบบ DIY
มาส์กสูตรอมตะมีมาแต่โบราณ ทำได้ง่ายโดยการใช้ไข่ขาวหนึ่งใบตีให้ให้เข้าเข้ากันเป็นโฟม (อย่าลืมเอาข่แดงออกด้วยนะ) จากนั้นก็ทางลงบนใบหน้าที่เพิ่งล้างมา โดยทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สาวๆจะรู้สึกถึงความเต่งตึงของผิวหน้าได้และรูขุมขนที่เล็กลงทันที หรือจะนำมาดัดแปลงไปเป็นมาส์กลอกสิวได้ด้วยการนำกระดาษทิชชู่แปะลงบนหน้าจากนั้นก็นำไข่ขาวทาทับ รอให้กระดาษแห้งแล้วค่อยๆลอก จากนั้นก็เตรียมตัวฟินกับสิวและคราบสกปรกที่ถูกลอกติดกระดาษทิชชู่ได้เลย

2. หน้านุ่มด้วยน้ำผึ้ง กะทิ ข้าวโอ๊ต
สำหรับสาวๆที่อยากหน้าเนียนขอแนะนำสูตรนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก วิธีการทำก็มีอยู่ไม่ยาก โดยการนำข้าวโอ๊ต 1 กำมือ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และกะทิปริมาณที่มากพอจะทำให้เป็นเนื้อครีม นำทั้งสามอย่างมาผสมคนเข้าด้วยกันจนเป็นครีม แล้วนำมามาส์กที่ใบหน้าทิ้งไว้สักพักประมาณ 15 นาที โดยข้าวโอ๊ตจะช่วยสครับผิวตอนล้างออก กะทิทำให้หน้าเนียน และนำผึ้งมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรคอย่างอ่อนๆ สามสิ่งนี้จะทำมให้สาวๆรู้สึกหน้าเนียน จนอยากจับหน้าตัวเองทั้งวัน

3. มาส์กมะเขือเทศกับโยเกิร์ต
นำมะเขือเทศ 1 ลูกมาบด ผสมด้วยโยเกิร์ต 1 ช้อโต๊ะ หยอดน้ำมันมะกอกลงหน่อยๆ แล้วตามด้วยน้ำส้มสายชูอีกสัก 2-3 หยด โดยตัวมะเขือเทศจะช่วยเปิดรูขุมขน ส่วนน้ำส้มสายชูจะเข้าไปทำลายเชื้อโรค และโยเกิร์ตนั้นก็ทำให้หน้าเนียนนุ่มสะอาด ช่วยผลัดผิวอย่างอ่อนโยน โดยให้ทาทิ้งไว้ที่ใบหน้าประมาณ 15 นาทีแล้วค่อยล้างออก แล้วสาวๆจะรับรู้ถึงใบน้าอันนุ่มได้ทันใจ โดยเป็นอีกสูตรที่เหมาะสำหรับคนอยากหน้าเนียน

4. ไข่ขาวกับน้ำส้ม ช่วยให้หน้าเนียน
วิธีนี้ทำได้ง่ายโดยการนำไข่ขาวไปตีในชามจากนั้นก็เติมน้ำส้มคั้นลงไป 2-3 ช้อนโต๊ะ จาหนั้นนำข้าวโอ๊ตที่แช่จนนิ่มแล้วใส่ลงไปในชามแล้วตีให้เข้ากันอีกเพื่อเพิ่มความหนืด เมื่อได้ครีมมาส์กแล้วให้นำมาทาที่ใบหน้า โดยไข่นั้นอุดมไปด้วยโปรตีนช่วยลดการเกิดสิว น้ำส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยทำความสะอาดผิวและผลัดผิวอย่างอ่อนโยน ส่วนข้าวโอตนั้นนอกจะจะเป็นส่วนที่ช่วยให้ครีมหนืดแล้ว ยังเป็นตัวช่วยในการสครับใบหน้าที่แสนอ่อนโยนด้วย

5. แตงกวา ไข่ขาว และมะนาว
เริ่มจากล้างแตงกวาให้สะอาด แล้วก็หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นนำไปปั่นโดยไม่ต้องปลอกเปลือก แล้วนำแตงกว่าที่ปั่นได้ไปผสมกับไข่ขาว คนให้เข้ากันจนเป็นครีมข้น แล้วเติมน้ำมะนาวเข้าไป จากนั้นนำครีมมาส์กที่ได้ไปทาที่หน้าแต่ให้เว้นที่ตาและปาก ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำ เป็นอีกสูตรที่เหมาะสำหรับคนอยากหน้าเนียน ทำแบบนี้ประมาณ 2 สัปดาห์ ผิวหน้าก็จะเรียบเนียนได้ไม่ยาก
ทั้งหมดเป็นวิธีเล็กๆน้อยๆสามารถตอบโจทย์สาวๆที่อยากหน้าเนียน แต่ไม่ต้องการรบกวนกระเป๋าสตางค์ได้เป็นอย่างดี และด้วยวิธีเหล่านี้สมารถทำได้ง่ายและวัตถุดิบก็สามารถหาซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อทั่วไป สาวๆคงไม่ต้องคิดหนักเรื่องการทำหน้าเนียนเป็นแน่ นอกจากดูแลใบหน้าแล้วอย่าลืมดูแลร่างกายส่วนอื่นๆด้วย เพราะคนที่ดูดีจะต้องดูดีทุกส่วน ขอให้มีความสุขกับวิธีดูแลใบหน้าให้เนียนนะครับ

อยากหน้าเนียนมากขึ้นโดยไม่ต้องเนื่อยหาวัตถุดิบมาสครับผิวเอง ทำยังไงดี?
 คนส่วนใหญ่อยากที่จะมีใบหน้าที่เนียนสวย ผิวหนังกระชับ รูขุมขนเล็กแต่งหน้าง่าย และไม่ดูขัดตา ซึ่งการที่จะมีใบหน้าเช่นนั้นในครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสามารถสร้างได้ด้วยสูตร และเคล็ดลับดังที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น แต่สำหรับใครที่ไม่อยากเหนื่อยที่จะต้องออกไปตามหาวัตถุดิบ เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการทำครีมหน้าเนียน แล้วกำลังมองหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวดีๆสักชิ้น ที่มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวที่เท่าเทียม หรือดีกว่าอยู่ล่ะก็ ในวันนี้ผู้เขียนก็มีผลิตภัณฑ์เวชสำอาง์ดีๆ ที่ช่วยในบำรุงผิวพรรณ นำเข้าจากประเทศเกาหลีมาฝากให้ลองกัน

Dr.Young  Pore Tightening Serum
ผลิตภัณฑ์ Dr.Young  Pore Tightening Serum มีส่วนผสมหลักจากสารสกัดจากต้นวิชฮาเซล (Witch Hazel Extract) ซึ่งป็นต้นไม้ในแถบอเมริกาเหนือ มีคุณสมบัติในการช่วยกระชับผิว กระชับรูขุมขน พร้อมปรับสภาพให้รูขุมขนที่ลึกให้ค่อยๆตื้นขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยในการกระตุ้นการ Elastin และ Collagen ใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวเกิดความกระชับ เต่งตึง เรียบเนียน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิวพร้อมกับปกป้องผิวจากมลภาวะต่างๆอีกด้วย และยังช่วยในการปรับลดการสร้างน้ำมัน (Sebum) ส่วนเกินจากต่อมไขมันในผิวหนัง ด้วยส่วนผสมที่อ่อนโยนจากธรรมชาติ ทำให้ผลิตภัณฑ์ Dr.Young  Pore Tightening Serum  สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว แม้แต่กับผิวที่แห้งหรือผิวที่แพ้ง่าย ดังนั้นเมื่อทำการปรับสภาพผิวด้วยการสครับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การใช้ผลิตภัณฑ์ Dr.Young  Pore Tightening Serum ก็จะเป็นการช่วยฟื้นฟู ไปพร้อมกับปกป้องสภาพผิวของคุณเอาไว้แข็งแรง สวยงามอย่างยาวนานเลยทีเดียว
นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ Dr.Young  Pore Tightening Serum ยังได้รับเครื่องหมาย Ecocert เป็นเครื่องหมายรับรอง “มาตรฐานการกำกับกระบวนการผลิตแบบอินทรีย์” ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่เป็นผู้นำของตรารับรองมาตรฐานการใส่ใจธรรมชาติที่มีชื่อเสียงในระดับสากล ที่ได้รับการยอมรับว่าเทียบเท่ากับกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา สัญลักษณ์ Ecocert จะมอบให้กับเฉพาะกับสินค้าคุณภาพระดับสูง และถูกกำกับดูแลขั้นตอนการผลิตทั้งหมดอย่างละเอียด ตั้งแต่การสร้างสูตร การผลิต การบรรจุ และบรรจุภัณฑ์ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่ได้มาตรฐาน ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมความงามและดูแลรักษาผิวพรรณจำนวนไม่มากนักในประเทศเกาหลี ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตจาก Ecocert

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

คืนใบหน้าให้กลับมาอ่อนวัยด้วยการทำ Baby face

                เรื่องการทำ baby face นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเป็นวิธีการรักษาหน้าใหม่ล่าสุดแต่อย่างใด แต่การทำ baby face นั้นจะเริ่มอยู่ในความคิดสำหรับสาวๆวัยทำงานหลายๆคน เพราะย่อมเป็นธรรมดาที่สาวๆจะคิดถึงใบหน้าเมื่อครั้งยังอยู่ในวัยเรียน ซึ่งเป็นช่วงที่ยังได้รับความนิยมจากหนุ่มๆ ดังนั้นการทำ baby face จึงเป็นทางออกสำหรับการรักษาดูแลใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์
โดยปกติแล้วผิวเราจะผลัดเซลในทุกๆ 28 วันอยู่แล้ว  แต่ยิ่งอายุมากระยะเวลาการผลัดเซลก็ยิ่งใช้เวลานานมากขึ้น โดยก่อเกิดการสะสมของเม็ดสีผิวซึ่งเป็นสาเหตุของผิวคล้ำและริ้วรอยที่มีเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นหากปล่อยไว้ก็มีแต่ทำให้ใบหน้าเราสาวๆดูมีอายุขึ้นในทุกๆวัน ยิ่งสาวโสดยิ่งเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ ดังนั้นในบทความนี้ขอนำเสนอการทำ baby face ด้วยวิธีการต่างๆดังนี้

ลอกผิวด้วยสารเคมี
วิธีการลอกผิวด้วยสารเคมีเป็นวิธีทำ baby face ที่นิยมใช้ในสมัยก่อน อย่างวิธีการลอกผิวชั้นตื้นด้วย สารเคมีกลุ่ม Glycolic Acid หรือ Lactic Acid ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อของ AHA โดยวิธีนี้จะลอกเพียงผิวชั้นบนสุดซึ่งมีการสะสมเม็ดสีผิวที่ทำให้ดูหมองคล้ำ โดยในระยะแรกจะทำให้หน้าดูลอกเป็นขุย แต่หลังจากนั้นผิวหน้าก็จะดูเนียนและใสขึ้น รอยหมองคล้ำก็จะค่อยๆหายไป แต่วิธีการนี้อาจจะไม่ค่อยเห็นผลชัดเจนมากนัก และผลของการรักษานั้นก็อยู่ได้ไม่นาน
วิธีที่สองคือการลอกผิวชั้นกลาง โดยการทำ baby face จะเป็นการขัดผิวไปยังผิวชั้นลึก โดยวิธีนี้ไม่ได้ช่วยรักษาเรื่องเม็ดสีผิวเพียงอย่างเดียว แต่ช่วยรักษาเรื่องกระ ฝ้า และริ้วรอยด้วย ซึ่งเป็นการลอกผิวที่รุนแรงพอสมควร อาจจะมีการเกิดสะเก็ดแผล หรือมีรอยเป็นหน้าไหม้ในสัปดาห์แรก ซึ่งสาวๆจะต้องหมั่นดูแลผิวระยะแรกให้ดีๆ โดยสารเคมีที่ใช้ลอกหน้าผิวชั้นกลางนั้นเป็นสารจำพวก Trichoroacetic Acid, Phenol, Salicylic Acid หรือ Resorcinol โดยวิธีนี้ปัจจุบันไม่นิยมแล้วเพราะ ถ้าหากดูแลผิวไม่ได้อาจจะทำให้เกิดรอยดำบนใยหน้าหลังทำได้

การกรอผิวด้วยเครื่องกรอ
โดยการกรอผิวนั้น เป็นการทำ baby face คล้ายๆกับวิธีการขัดผิว ต่างกันตรงที่ว่าครั้งนี้ใช้เครื่องจักร ที่มีลักษณะเหมือนล้อซึ่งมีเกล็ดเพชรเล็กๆติดอยู่ โดยจะกรอผิวที่ใบหน้าให้ปลายหมุดเพชรเล็กๆค่อยๆลอกหน้าไปทีละนิด ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ผิวหน้าได้ผลัดเซลล์ผิว หลังจากที่กรอเสร็จแล้วให้พักผิวหน้าอย่างน้อยๆ 1 สัปดาห์ หรือ 10 วันก่อนที่จะทำการแต่งหน้า และต้องใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 เดือนเพื่อให้รอบแดงจากการกรอผิวค่อยๆหายไป แต่ถ้าหากดูแลผิวช่วงระยะแรกไม่ดี ก็อาจจะก่อให้เกิดรอยดำบนใบหน้าได้

การลอกผิวด้วยวิธีเลเซอร์
เป็นการทำ baby face ที่ทันสมัยสุดๆ โดยการรักษาแบบนี้จะเป็นการยิงเลเซอร์เพื่อทำลายผิวหนัง ซึงเป็นเป็นการลอกผิวหนังในระดับลึก โดยจะทำให้เกิดแผลและมีน้ำเหลืองในช่วงแรกๆ แต่พอผ่านไป 1 สัปดาห์แล้วจะเริ่มมีอาการดีขึ้น แต่ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นตามมาก็คือรอยแดงและดำบนใบหน้า โดยมีมากหรือน้อยนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับหน้าของแต่ละคน ถ้าคนที่ผิวขาวอาจจะไม่มีปัญหา แต่ถ้าคนผิวคล้ำอาจจะต้องพบปัญหานี้ประมาณ 5-6 เดือน จากนั้นใบหน้าก็จะดีขึ้น

 

สรุปวิธีการดูแลผิวหน้าหลังทำ baby face
การทำ baby face วิธีการต่างๆ แน่นอนที่สุดคือ ผิวหน้าของผู้ทำจะต้องบางลงแน่ๆ สิ่งจำเป็นที่สุดที่สาวๆควรระวังก็คือ การทาครีมบำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการออกแดด หากจำเป็นจริงๆก็ให้เลือกครีมกันแดดที่ดี และใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ และการแต่งหน้านั้นต้องปรึกษาแพทย์หลังจากที่ทำ baby face เสร็จแล้ว เพราะแต่ละวิธีก็ส่งผลทำให้แต่งหน้าได้ยากในช่วงแรง ซึ่งกินระยะเวลาไม่เท่ากัน

หลังจากที่สาวๆได้รู้วิธีการทำ baby face ที่หลากหลายแล้ว ก็คงทำๆสาวๆหลายคนมีได้รู้ตัวเลือกการทำ baby face พอสมควร ส่วนจะเลือกวิธีไหนนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับคนทำ ขอให้สาวๆมีความสุขกับการทำ baby face เพื่อย้อนเวลาให้ใบหน้ายังดูเด็กและสวย และอย่าลืมรักษาสุขภาพร่างกายในส่วนอื่นๆด้วยนะครับ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เผยความลับของเมือกปลาดาว นวัตกรรมบำรุงผิวแบบใหม่จาก เบสท์ ซีครีม

 
“เมือกปลาดาว” อาจจะฟังดูเป็นสารสกัดในการบำรุงผิวที่ไม่ค่อยจะคุ้นหูนัก เนื่องจากเป็นนวัตกรรมสารสกัดตัวใหม่ที่พึ่งจะเริ่มเข้ามามีความนิยมในประเทศไทยในขณะที่ได้รับความนิยมในการนำเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ของต่างๆประเทศมานานหลายปีแล้ว ในประทศไทยปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพียงไม่กี่ตัวที่มีส่วนผสมของเมือกปลาดาว เช่น ผลิตภัณฑ์น้องใหม่ที่กำลังมาแรงอย่างเบสท์ ซีครีม เป็นต้น ดังนั้นเพื่อให้คุณสาวๆสามารถมีใบหน้าที่สวยใสไม่ตกเทรนด์ ในวันนี้จึงจะขอพาไปทำความรู้จักกับเจ้าเมือกปลาดาวว่า มันมีประโยชน์ในการบำรุงผิวหน้าอย่างไรกันบ้าง

ความลับของปลาดาว
ปลาดาว เป็นสัตว์ทะเลที่รู้จักกันดี เนื่องจากรูปร่าง และสีสันที่เด่นสะดุดตา อีกทั้งยังมีคุณสมบัติสุดมหัศจรรย์ในการงอกเซลล์ขึ้นใหม่ได้ อีกทั้งยังมีหน่วยความจำที่ทำการจดจำรูปร่างดั้งเดิมเอาไว้ ทำให้แม้จะเกิดบาดแผล รอยยุบหรือหลุมขึ้นที่ผิว ผิวของปลาดาวก็จะสามารถกลับมาเรียบเนียนเต่งตึงได้เช่นเดิม
จากการค้นคว้าวิจัยความมหัศจรรย์ปลาดาวมาอย่างยาวนาน ในที่สุดนักวิจัยก็สามารถไขความลับและพบว่าเมือกของปลาดาวภายในอ้อมแขนทั้ง 5 เสมือนเป็นตัวแทนในการดูแลรักษา 5 ปัญหาผิว ได้แก่  ริ้วรอย, ผิวขาว, กระชับเต่งตึง, ความชุ่มชื้น และการฟื้นฟูบำรุงผิว โดยเฉพาะเมือกปลาดาวจากประเทศแคนาดานั้น มีประสิทธิภาพในการบำรุงผิวที่ดีที่สุดในโลก

สารสกัดจากเมือกปลาดาว (Juventide) มีโมเลกุลขนาดเล็กที่สามารถซึมลงสู่ชั้นผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ สารสกัดจากเมือกปลาดาวนั้น มีคุณสมบัติคล้ายกับ Vitamin – A  และ นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ต่อต้านริ้วรอยแห่งวัย  ลดความหย่อนคล้อยของผิว ฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง บำรุงผิวให้เรียบเนียนนุ่ม กระชับเต่งตึงมากขึ้น พร้อมกับเสริมสร้างสุขภาพผิวแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
ด้วยคุณสมบัติในการช่วยบำรุงผิวพรรณได้อย่างน่าอัศจรรย์ดังกล่าว ทำให้ผลิตภัณฑ์เบสท์ ซีครีม ได้นำเมือกปลาดาวมาเป็นหนึ่งในส่วนประกอบหลักของเนื้อครีมเบสท์ ซีครีม รวมกับส่วนประกอบอื่นๆที่ทรงคุณค่าจากท้องทะเล อาทิเช่น สารสกัดจากไข่มุก,สารสกัดจากแพลงตอนทะเล, Astaxanthin, สารสกัดจากแมงกะพรุน และสารสกัดจากรังไข่ปลาแซลมอน เป็นต้น

เบสท์ ซีครีม มีประโยชน์ในการบำรุงผิวอย่างไร?
เนื่องจากผลิตภัณฑ์เบสท์ ซีครีม มีส่วนผสมจากส่วนประกอบของเมือกปลาดาว และสารสกัดอื่นๆจากท้องทะเลที่ได้ทำการกล่าวถึงไปแล้วในข้างต้น ทำให้เบสท์ ซีครีมมีคุณสมบัติในการบำรุงผิว ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย ช่วยทำให้ผิวขาวกระจ่างสดใส ผิวนุ่มเนียน น่าสัมผัส ลดรอยหมองคล้ำ ลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน เสริมสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ยกกระชับผิวให้เต่งตึง เสริมสุขภาพผิวให้แข็งแรง ผิวชุ่มชื้น ผิวดูอ่อนเยาว์กว่าวัย และยังช่วยป้องกันผิวจากอนุมูลอิสระ ด้วยคุณสมบัติที่เรียกได้ว่าครบเครื่องในการบำรุงผิวพรรณดังกล่าว ทำให้เบสท์ ซีครีม กลายมาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์น้องใหม่มาแรงที่น่าจับตามองของคุณสาวๆสำหรับปีนี้กันเลยทีเดียว

รวบรวมประสบการณ์ของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ Best Sea Cream
จากการรวบรวมข้อมูล ความคิดเห็น และประสบการณ์ของผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ Best Sea Cream จากเว็บไซต์ รวมไปถึงเว็บบอร์ดที่ได้รับความนิยมในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆในอินเทอร์เน็ต หลังจากที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Best Sea Cream ในการบำรุงผิวหน้าเป็นประจำทุกวัน กลุ่มผู้ใช้มีความเห็น ดังต่อไปนี้

            หลังจากที่ใช้ผลิตภัณฑ์ Best Sea Cream เป็นประจำ ถือว่าเป็นครีมที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีแก่ผิวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆตามระยะเวลาที่ใช้อย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่มีความเห็นที่ค่อนข้างตรงกันว่า สำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบบนใบหน้า เมื่อใช้แล้วสิวจะยุบตัวหายไปอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลา 1-3 วัน ในขณะที่สิวใหม่ที่กำลังขึ้นมาบนใบหน้าก็ยุบตัวลงตั้งแต่เพียงการใช้ครั้งแรก ส่วนสำหรับผลลัพธ์ผิวขาว หน้าใสเป็นเงางามมากขึ้น และรูขุมขนที่กระชับมากขึ้นนั้น มักจะเห็นผลอย่างชัดเจนหลังจากที่ใช้ต่อเนื่องเป็นประจำประมาณ 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ Best Sea Cream ยังช่วยในการลดเลือนร่องรอยแผลเป็น และรอยด่างดำที่มักเกิดขึ้นจากกหลุมสิวให้แลดูลดลงอย่างมากอีกด้วย 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.