กดสิว อย่างไร ไม่ให้หน้าเสีย วิธีกดสิวให้สิวหาย

         คุณกำลังประสบปัญหาสิวกันอยู่ใช่หรือไม่ คำถามต่อมาก็คือคุณกำลังคันไม้คันมืออยากบีบสิวใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ วันนี้เรามีวิธีกดสิวที่จะไม่ทำให้ผิวหน้าแสนบอบบางเสีย หรือไม่ให้เกิดเป็นรอยดำช้ำมานำเสนอ ทั้งนี้ อาจทำให้เกิดรอยแดงๆเล็กน้อย ทว่ามันคือวิธีกดสิวที่ทำให้สิวหายไปโดยพลัน

ข้อดีและข้อเสียของการกดสิว
         คุณที่เคยกดสิวเป็นประจำคงสงสัยว่าทำไมบางครั้งไปกดสิวไปแล้ว สิวที่เคยอีกเสบบวมแดง เมื่อผ่านช่วงเวลาแค่ข้ามคืน สิวก็จะแห้งเกลี้ยง ในทางตรงกันข้ามบางทีกดสิวไปแล้ว ยิ่งเป็นการทำให้สิวอักเสบมากขึ้น แถมยังเห่อตามมาอีกด้วย นี่แหละคือสิ่งที่บอกได้ว่าการกดสิวมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
         ข้อดีคือ การกดสิวจะทำให้หัวสิวหลุดออกมา ถ้าทำอย่างถูกวิธีจะช่วยแก้ปัญหาสำหรับผู้ที่มีผิวมันและมีสิวอุดตันเยอะ ซึ่งโอกาสที่หัวสิวจะหลุดไปเองนั้นยากกว่าผิวแห้ง เพราะน้ำมันใต้ผิวจะผลิตตลอดเวลา ทำให้เกิดปัญหาสิวอุดตันซ้ำๆไม่มีวันจบสิ้น

         สำหรับข้อเสีย ถ้ากดสิวไม่ดี กดผิดถูกวิธี กดไม่หมด หรืออุปกรณ์ที่ใช้กดสิวไม่สะอาดพอ สิวอุดตันเม็ดเล็กๆก็จะกลับกลายเป็นสิวอักเสบเม็ดโต ทำให้ยากต่อการรักษาเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นหากใครอยากกดสิว ถ้ามีทุนทรัพย์และเวลาว่างพอ แนะนำให้กดกับผู้เชี่ยวชาญหรือไปตามคลินิค เพราะแทนที่จะกดสิวให้สิวหาย อาจได้หน้าพังมาแทน

วิธีกดสิวที่ถูกต้อง
         ต้องบอกก่อนเลยว่าการกดสิวด้วยตัวเองไม่ได้เหมาะกับทุกคน โดยจะเหมาะคนที่เป็นสิวไม่มากนัก และคนที่เป็นสิวหัวเปิด สิวหัวดำ สิวหัวปิดหัวขาว หรือสิวอักเสบบางกรณี ทั้งนี้ ต้องรู้จักคาดการณ์ด้วยตัวเองว่าสิวที่กำลังเปล่งอยู่นั้น ถ้ากด บีบ ออกมาแล้วผลจะออกมาทางบวกหรือทางลบมากกว่ากัน ถ้าไม่มั่นใจจริงๆควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มิใช่เห็นแล้วรู้สึกมันมือจึงกด บีบ เค้น กรณีแบบนี้อาจทำให้หน้าพัง เกิดรอยแผลเป็น ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะหาย
         สำหรับคนที่มั่นใจแล้วว่าจะกดสิวด้วยตัวเอง อุปกรณ์ที่ต้องใช้ ได้แก่ 1.ไม้กดสิวแสตนเลส (สามารถหาซื้อตามร้านขายยา หรือร้านขายเครื่องมือแพทย์) 2.แอลกอฮอล์ 3.สำลี 4.เข็มอินซูลิน (ขนาด 50 unit ซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป) 5.น้ำเกลือ และน้ำอุ่น ทั้งนี้ หากสวมถุงมือเหมือนที่คุณหมอใช้ ก็จะเป็นการดี ทีนี้ก็เริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการกดสิว

         – ล้างทำความสะอาดไม้กดสิว และนำไปแช่ในแอลกอฮอล์ ส่วนเข็มอินซูลินถ้าใช้ครั้งแรกก็ไม่จำเป็นต้องแช่ (ไม่ควรใช้เกิน 3-5 ครั้ง) แช่สักประมาณ 10 นาที แล้วนำสำลีมาซับให้แห้ง
         – ล้างทำความสะอาดใบหน้า และเช็ดโทนเนอร์ให้ทั่วผิวหน้า
         – นำสำลีชุบน้ำอุ่นมาวางแปะไว้บริเวณที่กด ประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้รูขุมขนเปิด รากสิวจะอ่อนตัว ทำให้สามารถกดสิวออกได้ง่ายขึ้น
         – ดูชนิดสิว ถ้าเป็นสิวหัวเปิด เช่น สิวหัวดำ สามารถเอาไม้กดสิวกดได้เลย แต่ถ้าเป็นสิวหัวปิด เช่น สิวอุดตัน หรือสิวหัวหนอง ให้เอาเข็มอินซูลินสะกิด (ห้ามเจาะหรือจิ้มจนเกิดแผลเด็ดขาด) บริเวณหัวสิว จะไม่รู้สึกเจ็บ หลังจากสะกิดแล้วค่อยๆเอาไม้กดสิวกดตามลงไป หากกดสิวแล้วเลือดซึมให้นำสำลีชุบน้ำเกลือ หรือสำลีปกติกดห้ามเลือดไว้ รอสักพักให้ทายาสิวทับ (ถ้ามี)
         สำหรับเทคนิคการกดสิว ให้เอาแท่งคร่อมหัวสิวแล้วกด หรือเอาแท่งกดสิวทำมุม 45 องศากับสิวแล้วกดจากด้านข้าง ที่สำคัญคือค่อยๆกดอย่างเบามือ อย่ากดสิวแรง จะได้ไม่เกิดรอยช้ำในวงกว้าง และไม่เกิดรอยแผลเป็นตามมา

 

รักษาสิวด้วย Dr.Young Sprinkling Gel Cream ปรับสภาพผิว คืนความชุ่มชื้น
         ผลิตภัณฑ์ Dr.Young Sprinkling Gel Cream มีคุณสมบัติที่ช่วยในการบำรุงผิว คืนความชุ่มชื้นให้กับผิว พร้อมกับปรับสภาพผิวให้สมบูรณ์อยู่ตลอดทั้งวัน ด้วยการผสมผสานส่วนผสมที่โดดเด่นในการช่วยบำรุงผิวพรรณ จากน้ำแร่ธรรมชาติแท้ๆจากเทือกเขา Alps ผนวกกับสารสกัดจากกระบองเพชร ช่วยในการรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ให้กับผิวได้เป็นระยะเวลานาน ลดความหยาบกร้านของผิว ทั้งยังช่วยทำให้ผิวหนังกระจ่างใสและนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น
         นอกจากนี้ ยังมีสารสกัดจากว่านหางจระเข้ และ Hyaluronic Acid ช่วยทำให้กระบวนการเมตะโบลิของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระตุ้นให้เนื้อเยื่อของผิวหนังที่ชำรุดเกิดการสร้างตัวเองขึ้นใหม่ จัดการปัญหาสิว ลดริ้วรอย ทำให้ผิวมีความกระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระ และช่วยกรองรังสียูวี ช่วยปกป้องฟื้นฟูปรับสภาพผิวให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีอุณหภูมิที่เหมาะสม

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ทำความรู้จัก ‘แอคโนติน’ ยารักษาสิวยอดฮิต

         แค่อ่านชื่อเรื่องหลายคนก็คงถึงบางอ้อกันแล้ว เพราะเจ้า “แอคโนติน” เป็นหนึ่งในยารักษาสิวยอดนิยมที่ส่วนใหญ่ต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี เนื่องจากเวลาเป็นสิวมากๆแล้วไปหาหมอที่คลินิคหรือโรงพยาบาลเฉพาะทาง นอกจากยาทาสิวที่บริเวณใบหน้าแล้ว แอคโนตินก็มักจะเป็นสิ่งที่คุณหมอให้เรากลับมารับประทานที่บ้านด้วย
         ทั้งนี้ทั้งนั้น แอคโนตินเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า เป็นยาที่มีผลข้างเคียง ช่วงแรกๆที่ใช้อาจผิวแห้งลอก ปากแห้ง ตาแห้ง ผิวไวต่อแดด ที่พบได้แต่ไม่บ่อย เช่น ผมร่วง เล็บเปราะหักง่าย เล็บอักเสบ ปวดศีรษะ และในระยะยาวอาจส่งผลเสียต่อตับได้ หากรับประทานต่อเนื่องเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตาม เพื่อความกระจ่างชัด วันนี้เราจะพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักับแอคโนตินให้มากขึ้น


แอคโนติน… ยาเทวดา หรือ ซาตาน ?

         แอคโนติน คือยาในกลุ่มกรดวิตามินเอชนิดรับประทานชื่อ Isotretinoin เป็นหนึ่งในยาที่ผู้ป่วยเป็นสิวเห่อบริเวณใบหน้า นิยมรับประทานจากการจ่ายยาของแพทย์ ยาชนิดนี้แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวที่ดี แต่หากใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้เช่นกัน โดยยาแอคโนตินจะออกฤทธิ์การทำงานของต่อมไขมัน ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียก่อสิว Propionibacterium acnes และยับยั้งการสร้างหัวสิว (comedone)

         ยารักษาสิว แอคโนติน จะมี 2 แบบ คือ แบบ 10 มิลลิกรัม และ 20 มิลลิกรัม การสั่งยาจะขึ้นอยู่การวินิจฉัยของคุณหมอตามอาการ ซึ่งต้องขอย้ำว่าควรรับประทานตามคำแนะนำของหมอ เพราะทางสำนักงานกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ออกกฎสำหรับยาตัวนี้ว่าเป็นยาอันตราย ต้องให้แพทย์สั่งเท่านั้นถึงจะนำมารับประทานได้
         สำหรับการออกฤทธิ์ของยารักษาสิว แอคโนติน โดยส่วนใหญ่จะสามารถจัดการสิวบนใบหน้าได้อย่างเห็นผล สิวที่เคยขึ้นเห่อจะแลดูจางลง ผิวหน้าแลดูใสขึ้น และทำให้หน้าไม่มัน แต่ผลข้างเคียงของยาตัวนี้ที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆก็คือ ผิวแห้งลอก ปากแห้ง ตาแห้ง ผิวไวต่อแดด ที่พบได้แต่ไม่บ่อยคือ ผมร่วง เล็บเปราะหักง่าย เล็บอักเสบ หรืออาจปวดศีรษะ กรณีรับประทานยาเรตินอยด์ร่วมกับยากลุ่มเตตร้าไซคลิน มีผลต่อระดับเอนไซม์ตับ ระดับไขมันในเลือด ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หากใช้แอคโนตินระหว่างตั้งครรภ์ อาจทำให้ทารกพิการได้

         อย่างไรก็ดี การรับประทานยาแอคโนตินเพื่อรักษาสิวนั้น ไม่เป็นอันตราย หากอยู่ในความควบคุมและดูแลของแพทย์ ดังนั้น จึงไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะแพทย์จะดูแลปริมาณของยาที่รับประทานให้เหมาะกับปัญหาสิวบนใบหน้า และจะมีการติดตามอาการเพื่อดูการผลการตอบสนองต่อยาอย่างต่อเนื่อง

 

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ผิวใสไร้สิว ด้วย แอคโนติน review จากผู้ใช้

         “แอคโนติน” เป็นยารักษาสิวชนิดรับประทานที่คนเป็นสิวมากๆ ต่างก็รู้จักกันดี เพราะแอคโนตินเป็นยาที่มักถูกจ่ายให้คนไข้ที่มีสิวเห่อขึ้นหน้ามากผิดปกติ โดยคุณหมอจะกำชับว่าให้รับประทานนานแค่ไหน สัปดาละกี่เม็ด ซึ่งแต่ละรายจะแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ยังไม่เหมือนกัน บางคนรับประทานแล้วสิวหายจริงสมคำล่ำลือ ทว่าบางรายกลับไม่เห็นผลอะไร หนำซ้ำยังทำให้เป็นสิวมากขึ้นอีก ทั้งนี้ แอคโนติน ถือเป็นยาที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย วันนี้เราได้รวบรวมหลากหลายความคิดเห็นจากผู้ใช้จริง เพื่อเป็นทางเลือกให้ท่านผู้อ่านใช้ในการตัดสินใจ


แอคโนติน กับการ review จากผู้ใช้

         “เคยกินภายใต้ความควบคุมของแพทย์ค่ะ ตอนกินตาแห้ง ผิวแห้ง คอแห้ง แห้งทุกอย่าง… เห็นผลภายใน 1อาทิตย์ ไม่มีอาการเห่อ แต่เห็นเค้าว่าก็แล้วแต่บางคนนะคะ ตอนกินแฟนก็บ่น ด่า แต่ก็แอบกิน รู้ว่าไม่ดีต่อตับ แต่ก็สัญญากับตัวเองว่าครบโดสแล้วจะเลิกกิน แต่ตอนนั้นที่กิน กินแบบเม็ด 10 mg อาทิตละ 3 เม็ด ถือว่าโดสยาน้อยมาก ตอนนี้ไม่ได้กินมา 2 ปีแล้วค่ะ สิวมาบ้างแต่ไม่เยอะ ยามันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย ที่สำคัญควรอยู่ภายใต้ความควบคุมของแพทย์อ่าค่ะ”

         “หมอจ่ายให้เราแบบ 20 mg เลยค่ะ ตอนนี้กินมาได้เดือนกว่าๆแล้วค่ะ ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือ หน้าแห้งไปเยอะหมอให้ทาฟิสิโอเจลค่ะ ตาแห้งต้องหยอดน้ำตาเทียมช่วย ปากแห้ง แต่สิวก็น้อยลงมากเลยค่ะ แทบไม่ขึ้นเลยค่ะ”
         “เป็นสิวหนักๆ เม็ดโตๆ บางคนกินเป็นปีครับ สองปีก็มี แล้วแต่อาการ เพื่อนอายุมากพอควรแล้ว เพิ่งมากินร่วมปีเหมือนกัน กินวันเว้นวันนะครับ หน้าใสขึ้นเยอะ แต่มันอดเที่ยวทะเล ตากแดดนานไม่ได้ พักหลังลดเหลือสัปดาห์ละ 2 วัน แต่ยังมีสิวเม็ดเล็กๆ ขึ้นกวนใจอยู่ก็เอาลดอักเสบทาเอาไม่กี่วันก็หาย”
         “ส่วนตัวเราเคยกินยานี้ค่ะ หายจริงๆนะ ยาดีมากๆ แต่ถ้าหยุดจะขึ้นไหม อืมมม..ตอนนี้เราก็ไม่ค่อยมีนะคะ ยังดีก็เล็กๆน้อยๆ สิวไขมันเล็กๆน้อยๆอะค่ะ ช่วงที่กินจะมีอาการปากแห้ง ผิวแห้งนะคะ ดื่มน้ำเยอะๆจริงๆยานี้แรงอยู่ แนะนำว่าอย่ากินทุกวัน เอาเป็นวันเว้นวัน หรือ 2 วันทานทีก็ได้ค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นเยอะเป็นน้อยอะค่ะ”

         “ดีนะค้าบ ส่วนตัวผมกินอยู่ หน้าใสกิ๊ก สิวหายเกลี้ยงเลย ^^ แต่ข้อเสียคือปากจะแห้ง ผิวจะแห้ง ต้องขยันทาวาสลีนบ่อยๆ และที่สำคัญเคยปรึกษาหมอเค้าบอกว่าควรกินไม่เกิน 3 เดือนแล้วพักตับซัก 1 เดือน ผมกินมาเกือบๆจะ 6 เดือนแล้ว พักบ้าง 1-2 เดือน แต่ไม่ถึงกับหยุดไปเลย เอาแบบนานๆๆๆๆจะกิน ^^ มันเป็นทางเลือกที่ดีมากนะค้าบสำหรับคนหน้ามันมากๆ แล้วแต่คนชอบค้าบ”
         จากหลากหลายความคิดเห็นทั้งหมดเกี่ยวกับยาลดสิวแอคโนติน” ส่วนใหญ่มักพูดกันว่า ยาตัวนี้รับประทานแล้วช่วยให้หน้าใสไร้สิวจริง ทั้งนี้ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มีผลข้างเคียงที่ทำให้หน้าแห้ง ผิวแห้ง ปากแห้ง จมูกแห้ง และอาจเป็นพิษต่อตับ ซึ่งถือว่าไม่เข้าขั้นร้ายแรงถ้าอยู่ในการดูแลของแพทย์ กระนั้นก็ตาม ผิวหน้าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้จึงแตกต่างกันออกไป และอะไรที่ขึ้นชื่อว่า “ยา” ย่อมมีผลข้างเคียงเป็นธรรมดา ดังนั้น การใช้แอคโนตินอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจึงถือเป็นการดีที่สุด

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เลเซอร์ Co2 จัดการสิวอุดตัน สิวอักเสบ ให้สิ้นซาก

         การทำเลเซอร์ Co2 หรือการรักษาสิวให้หายเร็วโดยใช้เลเซอร์คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ใช้กันมานาน โดยเฉพาะในคลินิคชื่อดัง เนื่องจากวิธีนี้จะช่วยจัดการกับสิวอุดตัน สิวอักเสบอย่างได้ผล ทั้งนี้ การเลเซอร์ Co2 มักใช้ในกรณีที่มีสิวอุดตันมาเป็นเวลานาน และไม่ตอบสนองต่อการทายาหรือรับประทานยา หรือสิวอุดตันนั้นโตเป็นสิวอักเสบ มีตุ่มแดงบนใบหน้า จนมีโอกาสเกิดเป็นรอยสิวและแผลเป็น
         หรืออีกกรณีคือคนที่เข้ามารักษาสิว โดยต้องการให้สิวบนใบหน้าจางลงไว หายจากการเป็นสิวโดยเร็ว (เพราะรำคาญใจ) ไม่อยากรอผลจากการทายา หรือรับประทานยา ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 1-3 เดือน จึงจะเห็นผลชัดเจน


เลเซอร์ Co2 คืออะไร

         เลเซอร์ Co2 เป็นเครื่องมือ ที่ผลิตแสงที่มีความยาวช่วงคลื่น 10,600 nm. ซึ่งเกิดจากการขยายพลังงาน โดยการกระตุ้นก๊าซ CO2 ให้คลายพลังงานออกมาในรูปแสง ใช้รักษาโรคต่างๆมากมาย ได้แก่ เนื้องอกทุกชนิด เช่น เนื้องอกของท่อเหงื่อ (สิวหิน, Syringoma) ต่อมไขมันโต (Sebaceous Gland Hyperplasia) กระเนื้อ (Seborrhiec Keratosis) ไฝ (Nevus) หูด (Wart) ขี้แมลงวัน (Lentigene) สิวข้าวสาร (Milia) สิวอุดตัน และสิวอักเสบ
         เมื่อฉายแสงเลเซอร์ไปบนผิวหนัง แสงเลเซอร์จะทำหน้าที่คล้ายยาแก้อักเสบไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวและช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ใช้รักษาสิวอักเสบที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาชนิดอื่น ทำให้สิวแห้งได้เร็วภายในเวลาไม่นานหลังจากการฉายแสงเลเซอร์ Co2

ข้อดีของเลเซอร์ Co2 รักษาสิว
         การรักษาสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ ไม่ว่าจะด้วยการใช้ยาสลายหัวสิว การกดสิว หรือการจี้ด้วยไฟฟ้า อาจมีข้อเสียและเกิดผลข้างเคียง เช่น มีรอยดำรอยแดง ผิวหน้าช้ำ มีเลือดออก ดังนั้นจึงมีการพัฒนานวัตกรรมเลเซอร์ในการรักษาสิวให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสูงและไม่เกิดผลข้างเคียง โดยข้อดีของการรักษาด้วยเลเซอร์ Co2 คือเหมาะสำหรับในกรณีที่สิวอุดตัน สิวอักเสบมีจำนวนมากและอยู่ลึก ให้ผลการรักษาที่รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่เกิดรอยแผลเป็น และไม่มีเลือดออก

         กระนั้นก็ดี หลังทำเลเซอร์ Co2 รักษาสิวอักเสบ จะมีจุดแดง เห็นชัด 4-7 วัน แต่จะหายไปเอง มีน้อยรายที่รอยแดงอยู่เกิน 7 วัน หรือบางกรณีที่สิวเริ่มอักเสบรุนแรง หลังทำเลเซอร์ อาจมีแผลเป็นจากสิวที่เริ่มแดงและอักเสบ เพราะธรรมชาติของสิวอักเสบ การหายของแผลขึ้นกับสภาพผิวของแต่ละคน
         ท่านผู้อ่านคงได้เห็นถึงประโยชน์จากนวัตกรรมสมัยใหม่เกี่ยวกับการใช้เลเซอร์ Co2 ในการรักษาสิวอุดตัน สิวอักเสบกันไปแล้ว เชื่อว่าหลายคนที่กำลังประสบปัญหาสิวคงอยากไปรักษาด้วยวิธีนี้กัน ทว่าการทำเลเซอร์ Co2 ต้องใช้งบประมาณสูง แต่ละที่มีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันออกไป ท่านผู้อ่านควรศึกษารายละเอียดก่อน จะได้ไม่ต้องเสียทั้งเงินและเวลาไปฟรีๆ

 

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

DIY รักษาสิวอักเสบ แบบโฮมเมด

         เชื่อว่าทุกคนเคยประสบปัญหาสิวบนใบหน้า โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น อยู่ที่ว่าจะเป็นสิวประเภทใด บ้างเป็นเพียงสิวผดหรือสิวเทียม มาแปปเดียวก็หายไปเอง ในขณะที่บางคนเจอปัญหาสิวรุนแรง เป็นสิวอุดตัน สิวหัวหนอง สิวอักเสบ ประเภทสิวเหล่านี้มักส่งผลเสียต่อผิวหน้า ระหว่างเป็นมักมีอาการปวดร่วมด้วย แถมพอหายแล้วจะทิ้งรอยแผลเป็นให้เราปวดใจอีกต่างหาก แต่อย่าได้กังวลไป เพราะทางแก้ยังมีอยู่ โดยวันนี้เราได้นำสูตรรักษาสิวอักเสบ แบบโฮมเมดมาให้ได้ลองนำไปใช้กัน รับรองว่าสิวจะยุบลง ทั้งยังช่วยแก้ปัญหารอยดำรอยแดงหลังจากสิวหายได้ดีอีกด้วย


สูตรรักษาสิวอักเสบ แบบธรรมชาติ

         1.หอมแดง วิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะสะดวกรวดเร็ว เพียงแค่นำหอมแดงที่เตรียมไว้มาปอกเปลือก แล้วล้างให้สะอาด ใช้มีดฝานเป็นแผ่นบางๆ นำมาแปะตรงบริเวณที่เป็นสิว หรือบริเวณที่เป็นจุดด่างดำทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรืออีกวิธีคือให้ใช้มีดทุบแล้วนำไปบดให้ละเอียด โดยใส่น้ำเปล่าลงไปนิดหน่อย แล้วนำหอมแดงที่ได้ทาปิดตรงที่เป็นสิวอักเสบ ทิ้งไว้สักประมาณ 20-30 นาทีแล้วล้างออก แต่ขอบอกเลยว่าต้องทนกับกลิ่นที่ค่อนข้างฉุนของหอมแดงกันสักหน่อย
         2.มะละกอ ผลไม้นี้มีคุณสมบัติในการทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวล และยังช่วยลดรอยดำรอยแดงจากสิวอักเสบได้อีกด้วย เพราะในเนื้อมะละกอมีเอ็นไซม์ที่จัดการกับเนื้อเยื่อที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ง่าย ช่วยผลัดเซลล์ผิวได้เร็วขึ้น โดยให้เลือกที่มะละกอสุก นำมาปอกเปลือก ล้างยางออกให้หมดแล้วบดละเอียด พอกทิ้งไว้บนผิวหน้า 10-15 นาทีจึงล้างออก เพียงแค่ครั้งแรกจะรู้สึกได้ถึงความเนียนนุ่มชุ่มชื่นของผิว หากใช้เป็นประจำจะช่วยรอยสิวจางลงจนหายเป็นปกติ

         3.มะนาว อีกหนึ่งทางเลือกยอดฮิตคือการใช้สมุนไพรที่หาได้ง่ายอย่างมะนาว เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ (AHA, Alpha Hydroxy Acids) รักษาสิวอักเสบได้ชะงัด ช่วยในการลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้เซลล์ผิวเกิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว วิธีที่นิยมใช้กันคือหยดน้ำมะนาวสัก 1-2 หยดมาแต้มสิวทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออก แต่สำหรับคนที่ผิวหน้าไม่เหมาะกับมะนาวหรือคิดว่ามะนาวแรงเกินไป ก็ให้ใช้น้ำมะนาวผสมกับน้ำผึ้งแทน
         4.ว่านหางจระเข้ ให้นำว่านหางจระเข้มาลอกเปลือกด้านนอก แล้วตัดเป็นชิ้นเล็กๆคล้ายลูกเต๋า จะได้วุ่นว่านหางจระเข้ จากนั้นก็นำไปทาบนผิวหน้า เน้นบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ ว่านหางจระเข้จะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกในรูขุมขน และยังช่วยให้ผิวที่แห้งเป็นขุยกลับมาเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นขึ้น ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป แก้ปัญหารอยแผลเป็นได้อีกด้วย

         5.มะเขือเทศกับโยเกิร์ต ตบท้ายกันด้วยสูตรธรรมชาติอย่างมะเขือเทศที่ฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพผิว ทั้งยังมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ช่วยในการรักษาสิวอักเสบได้ วิธีคือให้หั่นมะเขือเทศออกเป็นครึ่งลูก และสับให้ละเอียด นำไปผสมกับโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นนำมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

แอคโนติน แก้ปัญหา สิวอักเสบ ได้ผลเร็ว

         พอพูดถึงปัญหาสิวอักเสบ หลายคนที่กำลังตกอยู่ในวังวนของสิวคงรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ใบหน้าขึ้นมาทันที เพราะสิวประเภทเป็นกันมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น ลักษณะจะเป็นสิวเม็ดใหญ่ บางคนเรียกว่า “สิวหัวช้าง” มักมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วย เนื่องจากมีหนองสะสมอยู่ใต้ผิว เป็นตุ่มปูดบวมแดง บางคนอาจช้ำจนเป็นสีม่วง และที่น่าเจ็บใจคือสิวอักเสบ เมื่อหายแล้วมักจะทิ้งรอยดำรอยแดง หรือรอยแผลเป็นไว้ให้ สิวประเภทนี้จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครต่างยกให้เป็นปัญหาระดับชาติ

สิวอักเสบ…ปัญหาใหญ่ที่แก้ไม่ตก

         สิวอักเสบ (Inflammatory ance) คือการที่สิวอุดตัน (Comedone) ได้รับการติดเชื้อแบคทีเรีย แล้วเจ้าแบคทีเรียนี้เองเป็นตัวการปล่อยเอนไซม์ไปกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบ ทำให้ยกระดับเป็นสิวอักเสบ โดยแต่ละรายจะมีความรุนแรงแตกต่างกัน แล้วแต่จำนวนเชื้อและขนาดของสิวอุดตัน สิวอักเสบนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เพื่อลดการอักเสบที่อาจลุกลาม และการเกิดแผลเป็น
         ลักษณะสิวประเภทนี้ ที่่เรามองเห็นจะเป็นเม็ดตุ่มนูนๆ บวมแดง อาจเป็นเม็ดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ บางครั้งเห็นเป็นหนองบริเวณหัวสิว หรือที่เรียกว่า “สิวหนอง” หากสิวอักเสบมีการติดเชื้อและอักเสบมากทำให้มีขนาดใหญ่เป็นสิวหัวช้าง ทั้งนี้ สิวอักเสบ เกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ
         1.เกิดขึ้นเองตามธรมชาติ เกิดจากสภาวะที่ร่างกายมีฮอร์โมนไม่สมดุล จึงทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้น
         2.เกิดขึ้นจากสิ่งสกปรกและฝุ่นละออง เมื่อฝุ่นละอองและเชื้อแบคทีเรียเข้าไปอุดตันในบริเวณรูขุมขน จึงทำให้เกิดอาการอักเสบในที่สุด

‘แอคโนติน’ พระเอกตัวจริง พิชิตสิวอักเสบ

         หากไปรักษาสิวอักเสบที่โรงพยาบาลหรือคลินิค นอกจากคุณหมอจะแนะนำให้รักษาความสะอาดบนใบหน้า หลีกเลี่ยงมลภาวะอย่างฝุ่นควันแล้ว ก็มักจะจ่ายยารักษาสิวให้กลับไปรับประทานยา ยาที่ว่านี้ก็คือ “แอคโนติน” (Acnotin) คือยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ ชนิดรับประทาน ชื่อ Isotretinoin เป็นหนึ่งในยาที่ผู้ป่วยสิวนิยมซื้อรับประทานเอง อย่างไรก็ดี ยาชนิดนี้แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวที่ดี แต่หากใช้ยาอย่างไม่ถูกต้องก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้

การใช้ แอคโนติน ที่ถูกต้อง
         เนื่องจากยาแอคโนตินจะเข้าไปลดการทำงาน ของต่อมไขมัน ลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียก่อสิว Propionibacterium acnes และยับยั้งการสร้างหัวสิว (comedone) จึงทำให้สามารถจัดการสิวอักเสบได้อย่างอยู่หมัด แต่วิธีรับประทานยาที่ถูกต้องคือ ขนาดยา เริ่มต้น 0.5–1 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน รับประทานยาต่อเนื่องกันจนได้ขนาดยารวมทั้งหมด 120 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จากนั้นสามารถหยุดรับประทานยาได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องค่อยๆ ปรับลดขนาดยาลงก่อน เนื่องจากในช่วง 1 เดือนแรก อาการสิวมักแย่ลง แพทย์จึงจำเป็นต้องให้ยาลดการอักเสบนำก่อนประมาณ 2-4 สัปดาห์

         อย่างไรก็ดี แอคโนตินอาจมีผลข้างเคียงต่อผู้ป่วย อย่างที่มีคนออกมารีวิวการใช้ยาในโลกสังคมออนไลน์ แต่อาการข้างเคียงมักเป็นช่วงแรกๆที่ใช้ ที่พบได้บ่อยคือผิวแห้งลอก ปากแห้ง ตาแห้ง ผิวไวต่อแดด ที่พบได้แต่ไม่บ่อย เช่น ผมร่วง เล็บเปราะหักง่าย เล็บอักเสบ ปวดศีรษะ

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รอยแผลเป็น รักษาให้หายได้ ด้วยครีมรักษา รอยแผลเป็น

         ปัญหาเรื่องผิวพรรณนั้นมีมากมาย ที่พบเจอกันมากก็อย่างเช่น ปัญหาสิว ผดผื่นคัน ริ้วรอยแห่งวัย รอยแตกลาย เป็นต้น และอีกหนึ่งปัญหาที่มักเจอบ่อยไม่แพ้กันก็คือ “รอยแผลเป็น” เนื่องจากมันเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งรอยแผลเป็นจากสิว อีสุกอีใส อุบัติเหตุต่างๆที่ทำให้เป็นแผล หรืออาจเกิดจากการที่เคยเย็บแผลมาก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้เกิดรอยแผลเป็นบนผิวหนังได้ทั้งสิ้น แล้วเมื่อเกิดปัญหาผิวนี้เราจะสามารถรักษาให้หายได้หรือไม่ อย่างไร รวมถึงรอยแผลเป็นมีกี่ประเภท วันนี้เรามาหาคำตอบกัน

ประเภทของรอยแผลเป็น และการรักษา
        1.รอยดำ บางคนจะเหมารวมว่ารอยดำที่เกิดขึ้นหลังสิวหายหรือแผลหาย แล้วทิ้งรอยดำๆเอาไว้ว่าเป็นรอยแผลเป็น จริงๆแล้วมันเป็นแค่รอยดำ ที่เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากเกินไป เนื้อเยื่อผิวหนังไม่ได้เสียหาย จึงไม่ใช่รอยแผลเป็นที่รุนแรง รอยดำพวกนี้ส่วนใหญ่ถ้าไม่รักษา มักจะจางหายไปได้เองภายในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน และสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาทา ทำทรีทเมนต์ผลักตัวยาลดเม็ดสี และใช้เลเซอร์กลุ่ม Q switched ND YAG (RM Laser) รวมทั้งการทารีมกันแดดสม่ำเสมอก็จะทำให้รอยดำจางเร็วขึ้น
        2.รอยแผลเป็นแท้ๆ เกิดจากการบาดเจ็บที่รุนแรงในชั้นหนังแท้ ทำให้คอลลาเจนเสียหาย เมื่อร่างกายซ่อมแซม ก็จะเกิดรอยแผลเป็น ซึ่งบางคนอาจต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต แบ่งเป็น

        2.1 แผลเป็นปกติ เมื่อแผลหายจะยังคงเห็นเป็นรอย ซึ่งอาจจะมีสีซีด หรือเข้มกว่าผิวหนังปกติรอบๆรอยก็ได้
        2.2 แผลเป็นนูน เกิดจากร่างกายสร้างเนื้อเยื่อออกมาซ่อมแซมบาดแผลมากเกินไป โดยจะทั้งรอยแผลเป็นแบบ Hypertrophic scar หรือเนื้อเยื่อที่ถูกสร้างขึ้นมานูนใหญ่กว่าปกติ แต่ไม่ขยายออกนอกรอยแผลเดิม และรอยแผลเป็นแบบ Keloid ที่นอกจากจะนูนใหญ่มากกว่าปกติแล้วยังขยายลุกลามออกจากรอยแผลเดิมด้วย และอาจเกิดการดึงรั้ง ส่วนใหญ่มักจะเกิดบริเวณใบหู คาง หน้าอก หัวไหล่ มักจะเกิดในผู้ที่ประวัติครอบครัวมีภาวะนี้
        การรักษารอยแผลเป็นดังกล่าวนี้ อาจใช้วิธีการฉีดยาเพื่อรักษาคีลอยด์ หรือการใช้นวัตกรรมอื่นๆที่สามารถเข้ารับการรักษาได้ตามคลินิคผิวหนัง หลังจากรักษาแล้วจะทำให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น แต่บางรายก็อาจช่วยได้ไม่มาก ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความรุนแรงของรอยแผลเป็น
        3.รอยแผลเป็นหลุม หรือรอยแผลเป็น depressed เกิดจากการที่เนื้อเยื่อผิวหนังถูกทำลายเสียหาย และไม่เกิดการซ่อมแซมที่เพียงพอ หรืออาจเกิดพังผืดในชั้นผิวดึงรั้งใหเกิดการยุบตัวลงมา ทำให้สุดท้ายเกิดเป็นรอยแผลเป็นหลุมขึ้น ส่วนใหญ่มักเกิดที่ใบหน้า ที่พบมากสุดเลยก็คือรอยแผลจากสิวนั่นเอง
        การรักษารอยแผลเป็นหลุมนิยมใช้ laser ยิงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ โดยทำให้เกิดความร้อนที่ใต้ชั้นผิวหนังชั้นลึก เรียกว่า Photothermolysis ส่งผลให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวหนังเรียบเนียนกระชับมากขึ้น แผลเป็นและหลุมสิวตื้นขึ้น ริ้วรอยและจุดด่างดำแลดูจางลง ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับเครื่องไม้เครื่องมือของแต่ละที่ด้วย บางครั้งอาจทำให้เกิดแผลตกสะเก็ดได้

        รอยแผลเป็น เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อยากเจอ ดังนั้น ควรดูแลเอาใจใส่ผิวอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวโดยเฉพาะผักผลไม้ เพราะสารอาหารจะช่วยฟื้นบำรุงผิวให้สุขภาพดีอยู่เสมอ เมื่อเป็นสิวหรือเป็นแผลก็จะทำให้รอยดำรอยแดงหายไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น ยังควรทาครีมบำรุงผิวเป็นประจำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ผิวสดใส อ่อนกว่าวัยอย่างที่ทุกคนต้องการ
        ทั้งนี้ หากเกิดรอยแผลที่รุนแรง เมื่อแผลเริ่มหายใหม่ๆ ควรทำการนวดหรือการกดบริเวณนั้นเบาๆ โดยการนวดอย่างสม่ำเสมอในระยะประมาณ 3-6 เดือนแรก จะช่วยให้รอยแผลเป็นลดการขยายตัวและนูนได้ แต่ในกรณีที่เป็นแผลขนาดใหญ่ เช่น แผลเป็นที่เกิดจากไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก อาจจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือพิเศษตามที่แพทย์แนะนำ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

พิชิตรอยแผลเป็นดำ บนใบหน้าอย่างไรให้ได้ผล

         ผิวหน้า เป็นบริเวณที่บอบบาง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับการดูแล เอาใจใส่มากเป็นพิเศษ แต่ถึงจะพยายามป้องกัน ดูแลรักษาผิวหน้ามากสักเพียงใด หลายๆครั้งอุบัติเหตุ หรือเหล่าเรื่องไม่คาดฝันก็ยังพร้อมที่จะทำลายสุขภาพของผิวหน้าให้เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำในหลายๆครั้ง ปัญหาเหล่านี้ก็ยังลุกลามไปจนถึงขั้นทิ้งปัญหาผิวขั้นรุนแรง อย่างรอยแผลเป็นดำที่โดดเด่นสะดุดตา เอาไว้บนใบหน้าอีกต่างหาก สำหรับในวันนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือคุณสาวๆ ที่กำลังประสบปัญหารอยแผลเป็นดำบนใบหน้า และกำลังมองหาวิธีการบรรเทา รักษาอย่างได้ผลอยู่นั้น บทความชิ้นนี้ก็พร้อมที่จะมีทางออกที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายๆที่บ้านมาฝากกัน

วิธีการรักษา กำจัดรอยแผลเป็นดำบนใบหน้าอย่างง่ายๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน
 โดยปกติแล้วรอยแผลเป็นดำ มักจะเกิดขึ้นหลังจากการเกิดสิว หรือการถูกรบกวนผิวหน้าด้วยอาการระคายเคืองต่างๆ อาทิเช่น สารเคมี อาการผื่นคัน เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว หลังจากที่อาการเหล่านี้ถูกรักษาจนหาน ก็มักที่จะหลงเหลือรอยแผลเป็นดำทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้าอยู่เสมอ แต่โดยพิ้นฐานแล้ว รอยแผลเป็นดำเหล่านั้น จะค่อนๆจางเลือนหายไปเมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าหากคุณสาวๆต้องการที่จะเร่งกระบวนการรักษารอยแผลเป็นดำให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นด้วยตัวเอง ก็สามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเอง ตามคำแนะนำง่ายๆ ดังต่อไปนี้
 1.ทาครีมกันแดดอย่างน้อยทุกๆ 4 ชั่วโมง ด้วยครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+++ เป็นอย่างน้อย เพื่อปกป้องผิวที่เป็นรอยแผลเป็นดำ ไม่ให้ถูกเผาไหม้มากขึ้นกว่าเดิมในตอนกลางวัน
2.ทำการพอกหน้า เป็นเวลา 10 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลาสามสัปดาห์ เพื่อช่วยให้สุขภาพผิวของคุณได้รับการกระตุ้นฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
 3.น้ำมะนาว สำหรับคนที่ไม่มีอาการแพ้กรดมะนาว สามารถที่จะใช้สำลีชชุบน้ำมะนาวสดๆ ไปทำการทาลงบนรอยแผลเป็นดำ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที หรือ 1 ชั่วโมง จากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สามารถทำซ้ำเป็นประจำทุกวัน จนกว่ารอยแผลเป็นดำจะมีอาการที่ดีขึ้น

         4.เต้าหู้ หลานคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนว่า ของเหลวในลักษณะของครีม ที่มักถูกทิ้งเอาไว้หลังจากที่นมเปลี่ยนไปเป็นเต้าหู้นั้น มีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นฟูผิวได้เป็นอย่างดี และยังช่วยทำให้ผิวเย็นตัวลงอย่างรวดเร็วอีกด้วย
 5.ว่านหางจระเข้ เจลภายในว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติในการช่วยฟื้นฟูผิวที่ได้รับผลกระทบจากรอยแผลเป็นดำอย่างมีประสิทธิภาพมาก เพียงแค่ใช้เจลวุ้นทำการทาพอกลงไปที่บริเวณรอยแผลเป็นดำ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจึงค่อยทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหนังในบริเวณนั้นนอกจากรอยแผลเป็นดำจะหายไปแล้ว ก็ยังจะมีความนุ่มเนียนน่าสมัผัสมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
 การดูแลรอยแผลเป็นดำ ด้วยวิธีการง่ายๆที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้านนี้ เป็นกรรมวิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด ที่จำเป็นจะต้องใช้เวลาในการค่อยๆฟื้นฟูสุขภาพผิวให้กลับมาแลดูมีสุขภาพดีเช่นเดิม แต่อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีที่ได้แนะนำไปเหล่านี้ ไร้ผลข้างเคียง ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับคุณสาวๆที่มีผิวหน้าบอบบาง 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีจัดการรอยแผลเป็นจากสิว แบบธรรมชาติ

         สิวอักเสบ นอกจากจะสร้างความเจ็บปวดกับอาการอักเสบของมันเลย เวลามันหายไปก็มักทิ้งร่องรอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดงไว้ให้เราเจ็บใจ ซึ่งรอยดังกล่าวจะบดบังใบหน้าหล่อสวยของเราจนหมดสิ้น เพราะรอยแผลเป็นจากสิวนั้นจะทำให้ใบหน้าของเราหมองคล้ำไปโดยพลัน ทั้งนี้ทั้งนั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวก็คือการมีนิสัยชอบแคะแกะเกา และบีบสิวบนใบหน้า ทำให้รอยยิ่งช้ำรุนแรงมากขึ้น
         เพื่อจัดการปัญหารอยแผลเป็นจากสิวให้หมดไป วันนี้เรามีวิธีแบบธรรมชาติมานำเสนอ โดยเป็นวิธีจัดการรอยแผลเป็นจากสิวที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง แต่จะเห็นผลช้าเร็วก็ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและรุนแรงของรอยแผลเป็นของแต่ละคน

ลักษณะของรอยแผลเป็นจากสิว

         1.รอยแดงอักเสบแดงช้ำเป็นจ้ำ รอยสิวชนิดนี้มีลักษณะเป็นรอยแดงจากการอักเสบอยู่ เกิดจากการอักเสบซ้ำซ้อนของสิว เมื่อสิวยุบร่างกายจะมีกลไกการซ่อมแซมผิวหนังที่อักเสบด้วยตัวเอง แต่ยังไม่หายสนิทจึงทำให้เกิดเป็นรอยแดงช้ำเป็นจ้ำ
         2.รอยสิวสีดำหรือสีน้ำตาล รอยสิวนี้เกิดขึ้นเมื่อกระบวนการสมานเนื้อเยื่อและการสร้างเซลล์เม็ดสีผิวไม่สมบูรณ์ ทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดเป็นสีดำหรือสีน้ำตาลถึงแม้ว่าสิวจะหายสนิทแล้วก็ตาม ทั้งนี้ รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวแบบนี้จะค่อยๆหายไปเอง แต่ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
         3.รอยแผลเป็นชนิดบุ๋มเป็นหลุม รอยแผลชนิดนี้เกิดขึ้นจากเนื้อเยื่อบนชั้นผิวถูกทำลายและไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการบีบสิวทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย โดยจะพบบริเวณใบหน้าและรอบแก้ม

จัดการรอยแผลเป็นสิวด้วยสูตรธรรมชาติ
         1.หอมแดง จะมีสารที่ให้คุณสมบัติสามารถยับยั้งแบคทีเรียบนผิวหนังได้ สูตรนี้เพียงแค่นำหอมแดงมาปอกเปลือกให้เกลี้ยงและล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาฝานเป็นแผ่นบางๆหรือจะสับให้ละเอียดก็ได้ แล้วนำมาโปะไว้บนจุดที่เป็นสิวหรือมีรอยด่างดำ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ควรทำทุกวัน จะเห็นผลภายใน 3-4 วัน โดยหัวสิวค่อยๆยุบตัวลง ส่วนรอยด่างดำก็จะดูจางลงอย่างเห็นผลได้ชัด
         2.มะละกอ นอกจากจะช่วยให้ผิวทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลแล้ว ยังช่วยลดรอยแผลเป็น หรือรอยดำจากสิวได้อีกด้วย เพราะในเนื้อมะละกอมีเอ็นไซม์ที่ทำเนื้อเยื่อที่ตายแล้วหลุดลอกได้ง่าย ช่วยให้ผิวผลัดเซลล์ได้เร็วขึ้น วิธีการคือปอกมะละกอสุกแล้วล้างยางออกให้หมดแล้วบดให้ละเอียด พอกทิ้งไว้บนผิวหน้า 10-15 นาทีจึงล้างออก เพียงแค่ครั้งแรกจะรู้สึกได้ถึงความเนียนนุ่มชุ่มชื่นของผิว หากใช้เป็นประจำจะช่วยรอยสิวจางลงจนหายเป็นปกติ

         3.ใบบัวบก เป็นที่รู้จักกันดีว่าการรับประทานใบบัวบกช่วยรักษาอาการฟกช้ำได้ดี และยังสามารถใช้ลดรอยดำ รอยแผลเป็นจากสิวได้ เนื่องจากในใบบัวบกมีสารไกลโคไซด์ (Glucosides) ซึ่งจะช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ และสร้างคอลลาเจนให้กับผิวหน้าของเรา ลอยดำก็จะลดลงจางลง และยังทำให้ผิวหน้าโดยรวมดูดีขึ้นอีกด้วย สูตรนี้ให้นำใบบัวบกไปปั่นกับเครื่องปั่นหรือตำละเอียดในครก จากนั้นก็นำใบบัวบกที่ได้มาพอกหน้าได้เลย ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาทีจึงล้างออก
         4.มะนาว เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่าย มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ (AHA, Alpha Hydroxy Acids) ช่วยในการลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดร่วงออกไป นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้เซลล์ผิวเกิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว วิธีที่นิยมใช้กันคือหยดน้ำมะนาวสัก 1-2 หยดมาแต้มสิวทิ้งไว้ 10-15 นาทีแล้วล้างออก แต่สำหรับคนที่ผิวหน้าไม่เหมาะกับมะนาวหรือคิดว่ามะนาวแรงเกินไป ก็ให้ใช้น้ำมะนาวผสมกับโฟมล้างหน้าได้เช่นกัน
         นอกจากนี้ การทาครีมบำรุงผิวหน้าทุกครั้งหลังจากการอาบน้ำก็จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูสภาพผิวที่มีรอยดำรอยแดง และรอยแผลเป็นจากสิวให้กลับมาดูดีขึ้น ทั้งนี้ ต้องระวังอย่าใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารปรอท เพราะเป็นสารที่ทำร้ายผิวหน้าแสนบอบบางของเรา เห็นไหมว่าวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ถ้าไม่อยากเกิดปัญหาผิวเช่นนี้ พยายามหลีกเลี่ยงการบีบสิว รวมถึงอย่าใช้แคะแกะเกาเป็นอันขาด เพราะจะยิ่งทำให้รอยแผลเป็นรุนแรงมากขึ้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ไปดูกันว่า ครีมรักษาสิวที่ได้รับความนิยมระดับโลกมีอะไรบ้าง

         ใครๆก็ไม่อยากมีปัญหาเรื่องสิว แต่เมื่อเกิดขึ้นมาบนใบหน้าแล้วทุกคนก็คงอยากที่จะหาวิธีกำจัดมันออกไปจากใบหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ วิธีการรักษาสิวเองก็มีมากมายหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นทั้งการใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ การใช้ยา หรืออีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ การใช้ครีมรักษาสิวนั่นเอง ซึ่งบทความในวันนี้จะขอพาทุกท่านที่กำลังกังวลใจกับปัญหาสิว ไปรู้จักกับครีมรักษาสิว ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก ว่าสามารถช่วยขจัดปัญหาสิวได้อย่างรวดเร็วทันใจ ส่วนครีมรักษาสิวเหล่านั้นจะมีอะไรกันบ้างนั้น ไปติดตามอ่านพร้อมๆกันเลย

ครีมรักษาสิวระดับมาตราฐานโลกมีอะไรบ้าง?
 สำหรับครีมรักษาสิว ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิด โดยมีลักษณะและวิธีการใช้อย่างเหมาะสมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งคุณควรที่จะศึกษาเพื่อให้สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และผลข้างเคียงต่อผิวของตัวเองให้น้อยที่สุด ครีมรักษาสิว ระดับมาตรฐานโลก ที่ได้รับความนิยม ณ ปัจจุบัน ได้แก่
         1.Benzoyl เปอร์ออกไซด์ เป็นครีมรักษาสิวแบบเฉพาะจุด ที่สามารถพบได้บ่อย เนื่องจากมีคุณสมบัติในการช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดอาการอัดเสบ และช่วยทำความสะอาดรูขุมขนที่ถูกบล็อกไม่ให้เกิดการอุดตัน ดังนั้นจึงเหมาะเป็นอย่างมากในการรักษาสิวอักเสบ สิวหัวดำ ได้อย่างชัดเจน คุณสามารถหาซื้อครีมรักษาสิวชิ้นนี้ได้จากร้านขายยาทั่วไป โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมีใบสั่งจากแพทย์ ภายใต้ชื่อทางของผลิตภัณฑ์ แต่สิ่งที่แตกต่างกันของแต่ละยี่ห้อนั้น เพียงแค่ขึ้นอยู่กับปริมาณตัวยาที่ผสมอยู่ ซึ่งมักจะมีแบบ 2.5%, 4%, 5% และ 10%
 Benzoyl เปอร์ออกไซด์ จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดถ้าหากคุณล้างทำความสาดผิวก่อนเป็นเวลา 20-30 นาที สำหรับในบางคนหลังการใช้อาจจะก่อให้เกิดอาการระคายเคือง ดังนั้นจึงควรใช้ปริมาณส่วนผสมของตัวยาให้น้อยที่สุดในการใช้งานครั้งแรกอย่าง 2.5% ที่มีสรรพคุณในการรักษาสิวเหมือนกับ 10% เพียงแต่มีโอกกาสเกิดความระคายเคืองได้น้อยกว่า ถ้าหากคุณใช้ส่วนผสมตัวยาที่น้อยแล้วยังไม่ค่อยได้ผล จึงค่อยๆเพิ่มปริมาณตัวยาให้มากขึ้น และเริ่มจากการทาวันละครั้ง เพื่อทดสอบก่อนว่าผิวมีอาการแพ้หรือไม่ จากนั้นจึงค่อยๆทำการเพิ่มเป็นทาวันละ 2 ครั้ง
         2. Retioids ช่วยขจัดสิ่งสกปรกในรูขุมขนที่มักนำไปสู่ปัญหาการเกิดสิว มีผลในการลดการอักเสบ รักษาสิวหัวดำ สิวหัวขาว และลดอาการอักเสบอย่างอ่อนโยน  แต่อย่างไรก็ตามตัวยาตัวนี้อาจจะส่งผลข้างเคียงทำให้ผิวเกิดความไสต่อแสงแดดมากขึ้น ถูกแสงแดดเผา และความแห้งกร้านที่มากขึ้น ดังนั้นจึงจะเป็นการดีมากกว่าถ้าหากคุณจะทำการทาครีมรักษาสิวตัวนี้ในตอนลางคืน พร้อมกับล้างออกในตอนเช้า

         3.กรด Azelaic ช่วยในการทะลุทะลวงรูขุมขนที่ถูกบล็อก ทำให้มันเหมาะเป็นอย่างมากในการกำจัดสิวหัวขาว และสิวหัวดำ รวมถึงลดอาการอักเสบของสิวไม่ให้มากจนเกินไป แต่ผลที่ได้อาจจะไม่เทียบเท่ากับยาปฎิชีวนะ หรือ Benzoyl เปอร์ออกไซด์ แต่ข้อดีที่สุดของเจ้าตัวยานี้คือ มันส่งผลระคายเคืองต่อผิวน้อยกว่า Benzoyl เปอร์ออกไซด์
         4.ยาปฎิชีวนะเฉพาะ ดีอย่างมากในการช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย และลดการอักเสบพวกมันจึงดีมากในการจัดการกับสิวหัวดำ สิวหัวขาว และสิวอักเสบ แต่ก็ส่งผลดีต่อรูขุมขนที่ถูกบล๊อกอุดตันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ยาปฎิชีวะนะเฉพาะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองได้น้อย และยังมีผลข้างเคียงที่น่อบกว่าการใช้ครีมรักษาสิวแบบอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตัวยาภายในครีมรักษาสิวแต่ละชนิดมีประสิทธิภาพที่ไม่เหมือนกัน ทำให้หลายๆครั้งจึงมักมีการรวมผสมผสานยารักษาสิวหลายชนิดเข้ามาใช้ร่วมกัน เพื่อทดแทนจุดด้อยระหว่างกัน ให้การรักษาสิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.