ใครผิวหน้าแห้งยกมือขึ้น มาดูวิธีดูแลผิวกัน

         สภาพผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงทำให้เจอกับปัญหาผิวไม่เหมือนกัน อย่างเช่น คนผิวมันก็เป็นสิวง่าย รูขุมขนกว้าง เป็นต้น วันนี้ที่เราต้องมาพูดถึงคนผิวหน้าแห้ง เพราะว่าปัจจุบันมีหลายคนกำลังเจอปัญหาผิวหน้าแห้ง ลอกเป็นขุยเล่นงาน โดยมักเกิดจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันตามธรรมชาติ ซีบัม (sebum) ออกมาน้อย จึงทำให้ผิวหน้าแห้งกร้านโดยเฉพาะเมื่อไปอยู่ในบริเวณที่อากาศเย็น เช่น ออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้คนผิวหน้าแห้งยังต้องพบกับปัญหาริ้วรอยก่อนวัย ผิวหยาบขาดชีวิตชีวาอีกด้วย
         แม้ว่าคนผิวหน้าแห้งจะมีข้อดีตรงที่รูขุมขนไม่กว้างและผิวดูละเอียดกว่าผู้ที่มีผิวมัน แต่จะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดความแห้งกร้านและระคายเคืองมากกว่าผิวประเภทอื่น จึงต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ มาดูกันว่าควรดูแลอย่างไร สำหรับคนผิวหน้าแห้ง

 

การดูแลสำหรับคนผิวหน้าแห้ง
         ใครที่มีผิวหน้าแห้งตึง ควรท่องคติประจำใจไว้ว่า “ปกป้อง ส่งเสริม ฟื้นฟู และแก้ไขให้ตรงจุด” อย่าปล่อยให้ผิวสูญเสียดุลยภาพไปนานๆ เพราะนอกจากจะขาดความสวยงามแล้ว ยังทำให้ผิวไวต่อสิ่งกระตุ้นระคายเคืองได้ง่าย ทั้งยังทำให้ผิวแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าแก่ก่อนวัยอันควร เมื่อถึงจุดนั้นจะแก้ไขให้เซลล์ผิวกลับมาสุขภาพดีได้ยาก
         1.ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน เพื่อขจัดเครื่องสำอางที่ตกค้างและเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ได้แก่ คลีนซิ่งโฟมสูตรอ่อนโยนเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติของผิวและห้ามใช้สบู่ล้างหน้า และควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ผิวจะได้ไม่แห้งตึง เป็นขุย และถ้าล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแล้วต้องล้างซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อให้ผิวสดชื่นขึ้นและเกิดความยืดหยุ่น
         2.ทาครีมที่ให้ความชุ่มชื้นหรือมอยส์เจอไรเซอร์ การทาครีมบำรุงผิวหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนผิวหน้าแห้ง เพราะจะช่วยให้เชลล์ผิวคงดุลภาพที่ดีอยู่ได้อย่างยาวนาน และควรทาบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง กรณีที่ผิวหน้าแห้งมากจนเกิดเป็นขุยควรทาซ้ำบ่อยๆ ระหว่างวัน โดยไม่จำเป็นต้องล้างหน้า สามารถทาทับได้เลย
         3.ทาอายครีมบริเวณรอบดวงตาและบำรุงผิวที่คอ เพราะคนผิวหน้าแห้งจะเกิดริ้วรรอยแห่งวัยได้ง่าย จึงจำเป็นต้องฟื้นบำรุงผิวอยู่เสมอด้วยการแต้มครีมเบาๆจากหางตาลากมาหัวตาแล้วกดเบาๆ ที่สำคัญควรทาครีมบำรุงผิวที่ลำคอเพื่อป้องกันรอยเหี่ยวย่น โดยทาจากฐานลำคอขึ้นไป ทั้งนี้ ควรทาในช่วงกลางคืน

         4.มากส์หน้าเพิ่มความชุ่มชื้น สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งโดยเฉพาะ แต่คนที่ไม่มีปัญหาก็สามารถใช้ได้เช่นกัน วิธีการคือให้นำงา 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และกล้วยหอม 1 ผลมาผสมและปั่นรวมกันให้เป็นเนื้อเนียนละเอียด จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นบริเวณรอบดวงตาและปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วตามด้วยน้ำเย็นทันที
         5.บำรุงผิวหน้าด้วยสูตรแก้ไขผิวแห้ง ใครที่มีผิวหน้าแห้งแต่หลีกเลี่ยงแดดและลมไม่ได้ ทำให้ผิวเกิดปัญหาความหยาบกร้านและเหี่ยวย่น ควรบำรุงผิวด้วยสูตรนี้ ให้นำสตรอเบอร์รี่ 2 ผลและแอปเปิล ¼ ผล (ปอกเปลือก) มาปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากผิวที่เคยแห้งตึง จะรู้สึกว่ามีความยืดหยุ่น สดชื่นมากขึ้น
         นอกจากการฟื้นบำรุงผิวหน้าอยู่เสมอแล้ว คนผิวหน้าแห้งไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะเป็นการชะล้างไขมันที่ช่วยเคลือบ ทำให้ความชุ่มชื้นในผิวหนังสูญเสียไป ผิวจึงแห้งมากขึ้น เกิดการระคายเคืองได้ง่าย และควรดื่มน้ำให้มากพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หลีกเลี่ยงการถูกรบกวน เช่น การอบซาวน่า การขัดผิว ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งลง รวมไปถึงการตากแดดหรือทำงานกลางแจ้งและการสัมผัสสารเคมีบางอย่าง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

สีผิวไม่สม่ำเสมอ แก้ไขได้อย่างไร

         อีกหนึ่งปัญหาผิวที่เจอกันถ้วนหน้า นั่นก็คือการมีสีผิวไม่สม่ำเสมอ โดยจะเห็นได้ชัดบริเวณต้นแขน ลำคอ และขา สาเหตุที่ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอเกิดจากการโดนแดดนานๆ ผิวจะสร้างเมลาโนไซท์ขึ้นมา ทำให้มีการผลิตเมลานินเพิ่มมากขึ้น บริเวณที่มีการรวมตัวกันของเมลานิน จะส่งผลทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีคล้ำขึ้น ซึ่งเมลานินมีหน้าที่ปกป้องผิวจากแสงแดดและรังสียูวี และช่วยซึมซับความร้อนจากแสงแดด นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆอีก ได้แก่ ฮอร์โมน การใช้ครีม หรือยาบางประเภทด้วย เพื่อให้ผิวกลับมามีสุขภาพดี สีผิวมีความสม่ำเสมอกัน มาดูกันว่าจะแก้ไขได้อย่าไง

 

วิธีแก้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ
         1.ทาครีมกันแดด ก็ในเมื่อสาเหตุส่วนใหญ่จะมาจากแสงแดดที่ทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ แสดงว่าบริเวณที่เข้มกว่าได้รับรังสี UV มากกว่า จึงควรแก้ไขโดยใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือ 40 ขึ้นไป และจะต้องหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดด้วย แต่หากมีความจำเป็น แนะนำให้ทาครีมกันแดดซ้ำเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวคล้ำมากขึ้น หรือหาอุปกรณ์ป้องกัน อย่างเช่น กลางร่ม สวมหมวกกันแดด แว่นกันแดด เป็นต้น
         2.ทาครีมบำรุงผิว เมื่อป้องกันแสงแดดได้แล้ว ควรใช้ครีมปรับสภาพให้ผิวขาว (Whitenning Cream) ที่จะช่วยให้ผิวที่ดำคล้ำค่อยๆ จางลงได้ และทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอกลับมาขาวเท่ากันได้ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Whitening ทาเฉพาะบริเวณ T-ZONE ก็เป็นอีกวิธี ที่จะช่วยให้ผิวสม่ำเสมอเท่ากัน  รวมถึงการทำ Treatment ผิว เช่น การขัดผิว ก็ช่วยให้สภาพผิวดีขึ้น
         3.พอกผิวขาวด้วยโยเกิร์ตผสมมะนาว โดยให้นำมะนาวไปคั้นเอาน้ำผสมกับโยเกิร์ตธรรมชาติ แล้วทาผิว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออก กรดในน้ำมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ของผิวเก่าที่เสียให้หลุดออกไป เผยผิวใหม่ที่เป็นผิวขาวสดใสกว่าเดิม โดยส่วนผสมของโยเกิร์ตจะช่วยลดการระคายเคืองผิวจากกรดของมะนาว สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอกัน และมีความแห้งกร้านคล้ำเสียจากการถูกแดดเผา จะกลับมามีสุขภาพดีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
         4.พอกผิวด้วยนมสดผสมผงชาเขียว นำนมสดสัก 3 ช้อนโต๊ะผสมกับผงชาเขียวป่นที่หาซื้อได้ตามร้านทั่วไป โดยใช้ผงชาเขียวเพียงแค่ 1 ช้อนชาเท่านั้น เมื่อผสมให้เข้ากันแล้วก็ให้ใช้สำลีก้อนชุบส่วนผสมทั้งสอง นำมาถูให้ทั่วผิว (ใช้กับใบหน้าก็ได้) ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวได้อย่างหมดจด และมอบความเนียนนุ่มชุ่มชื้นสู่ผิว ทั้งยังฟื้นบำรุงผิวที่คล้ำเสีย ไม่สม่ำเสมอกัน ให้ขาวขึ้นได้

         5.รับประทานผักผลไม้ ได้แก่ มะเขือเทศ ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและซีสูง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยสร้างสมดุลให้กับผิว ลดเลือนความหมองคล้ำจากภายในสู่ภายนอก เป็นผักผลไม้ที่หารับประทานง่าย และช่วยให้ผิวขาวถาวรอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังควรรับประทานฝรั่ง ส้ม แอปเปิ้ล ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพาะอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามันซี และโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพที่ดี มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวขาวสว่าง กระจ่างใส และทำให้ผิวชุ่มชื่นอยู่เสมอ ได้ผิวพรรณเรียบเนียนและดูสดใสขึ้น
         ปัญหาเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอสามารถแก้ไขได้ แต่ในบางคนที่ตากแดดมานานมากๆอาจต้องใช้เวลามากกว่าคนทั่วไป และจำเป็นต้องใช้หลากหลายวิธีควบคู่กันไป ที่สำคัญคือควรดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน จะช่วยให้กระบวนการฟื้นบำรุงผิวมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ขอย้ำว่าควรหลีกเลี่ยงแดดจัด สาเหตุหลักที่ทำให้สีผิวไม่เท่ากัน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรหาหมวก แว่นตากันแดด และทาครีมกันแดด เพื่อปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำร้าย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อยากผิวกระจ่างใส ธรรมชาติ เป๊ะเว่อร์เชิญทางนี้

         ค่านิยมของคนในบ้านเราโดยเฉพาะหนุ่มๆ มักชื่นชอบผู้หญิงที่มีผิวขาวสวยกระจ่างใส เปล่งประกาย จึงไม่แปลกที่สาวๆสมัยนี้จะยอมจ่ายให้กับครีมบำรุงผิวราคาแพง หรือบางคนถึงกับหันไปพึ่งการฉีดสีผิวให้ขาวเด้ง ออร่าจับแบบรวดเร็วทันใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิธีการดังกล่าวอาจทำให้ได้ผิวขาวแบบเว่อร์เกินจริง ดูไม่เป็นธรรมชาติ แล้วจะดีกว่าไหมหากเรามีวิธีทำให้ผิวกระจ่างใส ธรรมชาติมานำเสนอ นั่นคือการใช้สูตรพอกผิวแบบโฮมเมดที่ไม่ต้องจ่ายแพง และที่สำคัญคือได้ผลลัพธ์ในแบบที่สาวๆทุกคนต้องพึงพอใจ

 

สูตรพอกผิวกระจ่างใส ธรรมชาติ
         1.โยเกิร์ตผสมมะนาว นำน้ำมะนาวไปคั้นเอาน้ำผสมกับโยเกิร์ตธรรมชาติ แล้วทาผิวปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออก กรดในน้ำมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ของผิวเก่าที่เสียให้หลุดออกไป เผยผิวใหม่ที่เป็นผิวขาวสดใสกว่าเดิม โดยส่วนผสมของโยเกิร์ตจะช่วยลดการระคายเคืองผิวจากกรดของมะนาว
         2.มะละกอผสมนมสด นำเอาเนื้อมะละกอสุกและนมสดมาบดผสมให้เข้ากัน แล้วพอกบนผิวหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่า สูตรนี้จะทำให้ผิวกระจ่างใส ธรรมชาติ ขาวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่นขึ้น ทำให้ผิวของแลดูอวบอิ่ม มีน้ำมีนวลอยู่เสมอ
         3.นมสดผสมผงชาเขียว นำนมสดสัก 3 ช้อนโต๊ะผสมกับผงชาเขียวป่นที่หาซื้อได้ตามร้านทำขนมอบ โดยใช้ผงชาเขียวเพียงแค่ 1 ช้อนชาเท่านั้น เมื่อผสมกันดีแล้วก็ให้ใช้สำลีก้อนชุบส่วนผสมทั้งสอง นำมาถูให้ทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวได้อย่างหมดจด นอกจากผิวจะสะอาดแล้วยังให้ความนุ่มนวลและชุ่มชื้น
         4.มะเขือเทศ สำหรับสูตรพอกผิวด้วยมะเขือเทศนั้นมีมากมายให้เลือกสรร เราขอนำสูตรที่ได้รับการการันตีจากผู้ใช้ว่าเห็นผลจริงมาให้ท่านผู้อ่านได้ลองพิสูจน์ โดยสิ่งที่ต้องเตรียมมีแค่มะเขือเทศสัก 2-3 ลูก และเครื่องปั่นผลไม้เท่านั้น เริ่มจากล้างมะเขือเทศให้สะอาดก่อนนำมาปั่นให้ละเอียด หากไม่มีเครื่องปั่นใช้วิธีคั้นสดๆแทนก็ได้ หลังจากนั้นนำมาพอกผิวทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นก่อน และล้างด้วยน้ำเย็นอีกรอบเพื่อช่วยกระชับรูขุมขน สูตรนี้ให้ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ผิวจะเนียนนุ่ม ผิวกระจ่างใส ธรรมชาติ ขาวขึ้นแบบตัวเองยังต้องอึ้ง

         5.มะเขือเทศผสมข้าวโอ๊ต โดยให้นำมะเขือเทศไปปั่นหรือบดให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ ผสมกับข้าวโอ๊ต แล้วคนให้เข้ากัน ก่อนใช้ต้องล้างตัวให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง พอกทิ้งไว้นานๆแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้เหมาะกับทุกสภาพผิว ไม่ว่าจะผิวแห้งหรือมัน ช่วยยกกระชับผิวให้ชุ่มชื่น ได้ผิวขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
         6.น้ำมันมะพร้าว สูตรนี้ใช้ได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีลีตองใดๆ ให้เรานำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิวได้เลย ซึ่งเป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก โดยน้ำมันมะพร้าวจะช่วยทำให้ผิวกระจ่างใส ธรรมชาติ เพิ่มความชุ่มชื้นและทำให้ผิวมียืดหยุ่น ป้องกันการเสื่อมของสภาพผิวโดยเฉพาะปัญหาเรื่องริ้วรอย
         เห็นหรือยังว่าการได้ผิวขาวกระจ่างใส มีออร่า ไม่จำเป็นต้องจ่ายในราคาแพงเสมอไป การใช้สูตรพอกผิวแบบธรรมชาตินี้เป็นสูตรโฮมเมดแสนง่าย ใครๆก็ทำได้ ขั้นตอนไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงใดๆ เนื่องจากไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายร่างกาย หวังว่าท่านผู้อ่านได้นำไปใช้กันเพื่อผิวกระจ่างใส ธรรมชาติ เป๊ะเว่อร์กันถ้วนหน้า

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อยากรู้ไหม กินอะไรให้ผิวใส จากภายในสู่ภายนอก

         การทาครีมหรือโลชั่นบำรุงผิวเป็นวิธียอดนิยมที่สาวๆมักใช้กัน แต่คุณทราบหรือไม่ว่าวิธีดังกล่าวเป็นการฟื้นบำรุงให้ผิวขาวจากภายนอกเท่านั้น ถ้าอยากผิวใส จากภายใน จำเป็นต้องรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณ อย่างเช่น อาหารที่ให้วิตามินซี วิตามินบี วิตามินเอ สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น จึงจะทำให้ผิวใส จากภายในสู่ภายนอก และการรับประทานอาหารเสริมก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้ผลดี ทั้งนี้ อาหารเสริมบางตัวก็อาจทำให้กระเป๋าของคุณฉีกด้วยการสนนราคาแสนแพง อย่างไรก็ดี เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวโดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม มาดูกันว่าควรรับประทานอะไรบ้าง


กินอะไรให้ผิวใส จากภายใน

         1.มะละกอ เป็นผลไม้แคลอรี่ต่ำ หาซื้อง่ายในทุกฤดูกาล ซึ่งเจ้ามะละกอมีแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งแตกตัวเป็นวิตามินเอ หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม นอกจากสามารถป้องกันมะเร็งแล้ว ยังช่วยปกป้องรักษาผิวพรรณให้ชุ่มชื่น แลดูอ่อนเยาว์อีกด้วย โดยควรบริโภค 200 กรัม หรือประมาณชามก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม คุณค่าของสารอาหารวิตามินเอ จะเข้มข้นอยู่ตรงส่วนเนื้อเหลืองๆ ที่เมล็ดมะละกอฝังอยู่ ดังนั้น อย่าขูดทิ้ง ให้ใช้ซ้อมเขี่ยเมล็ดออกและรับประทาน
         2.ส้ม อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันผิวพรรณจากการถูกทำร้ายของรังสียูวี และมีสรรพคุณในการช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิว ทำให้เต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่แห้งหยาบ โดยควรรับประทานส้มเพื่อผิวใส จากภายใน ปริมาณ 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับส้ม 1 ผลก็ถือเป็นพียงพอแล้ว ทั้งนี้ ต้องเป็นส้มสดๆ ไม่ใช่น้ำส้มที่มักมีเกลือและน้ำเชื่อมเจือปน ทำให้สารอาหารอย่างวิตามินหายไป
         3.ธัญพืช ที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย มีเส้นใยอาหารสูง ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ถั่วเมล็ดแห้ง ลูกเดือย งา รวมถึงอาหารจำพวกขนมปังโฮลวีต ซีเรียล คุกกี้ธัญพืช ฯลฯ ล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารกลุ่มวิตามินบี ที่มีประโยชน์ต่อผิว วิตามินกลุ่มนี้จะช่วยเสริมสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่เซลล์เก่า และดูแลรักษาความแข็งแรงให้แก่ผิวไม่ให้ติดเชื้อได้ง่าย
         นอกจานี้ ไนอะซิน (Niacin) ในธัญพืช จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังดูดซึมสารอาหารจากเลือด และผันเป็นพลังงานออกมา ช่วยให้ผิวไม่แห้งแตก มือและเท้าจะไม่หยาบกร้าน โดยควรบริโภคข้าวกล้องแบบไม่ขัดสีเป็นหลักแทนข้าว บางคนที่บอกว่าข้าวกล้องแข็งกินไม่อร่อย ลองนำเอาข้าวกล้องแช่น้ำสักพักก่อนหุง จะได้ข้าวที่นิ่ม อร่อยถูกปากมากขึ้น

         4.ชาเขียว ประโยชน์ใน “ชาเขียว” มีฟลาโวนอยด์ (Flavinoids) และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่คอยต่อสู้กับรังสียูวี รวมถึงสารเคมีจากสภาพแวดล้อม ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ สามารถรับประทานชาเขียวได้ทั้งชงในถุงชาหรือเป็นใบ โดยให้แช่ในน้ำร้อนเดือด เป็นเวลาอย่างน้อย 3 นาที อย่างไรก็ตาม ห้ามใส่นมลงไปในชาเขียว เพราะเท่ากับเป็นการลบล้างสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารในชาเขียวได้อย่างเต็มที่
         5.น้ำมะเขือเทศ ถึงแม้รสชาติของน้ำมะเขือเทศจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของใครหลายคน แต่หากทราบสรรพคุณของมันแล้วอาจทำให้ท่านเปลี่ยนใจ น้ำมะเขือเทศอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินเค และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก การดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายดีขึ้น ส่งผลไปถึงผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูกระจ่างใสขึ้น ผิวไม่แห้งกร้าน ทำให้เรามีผิวขาวอย่างเป็นธรรมชาติ ผิวใส จากภายในสู่ภายนอก มะเขือเทศยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่า “ไลโคปีน” ซึ่งจะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก
         นอกจากผักผลไม้เหล่านี้แล้ว ยังมีอาหารอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้คุณขาวใส ได้จากภายใน และถ้าจะให้ได้ผลเร็วขึ้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการขับสารพิษ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรง ซึ่งมีส่วนช่วยให้เรามีผิวขาวอมชมพูได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ผิวหนังไก่ที่คอ อันตรายไหม รักษาได้หรือเปล่า?

         หลายคนอาจจะมีตุ่มเล็กๆ จำนวนมาก ที่ยามเมื่อมองผ่านๆดูราวกับอาการขนลุกอยู่ตลอดเวลาบนลำคอ แต่หารู้ว่าเจ้าตุ่มชวนสะดุดตาเหล่านั้นถูกเรียกว่า “ผิวหนังไก่ที่คอ” ซึ่งเจ้าตุ่มเล็กๆเหล่านี้ ถึงแม้จะไม่ได้ร้ายแรง แต่ก็สร้างความน่ารำคาญให้กับบรรดาเหล่าคนรักสวยรักงามช่างแต่งตัว เพราะพวกมันจะทำให้ผิวดูไม่รายเรียบ อีกทั้งในบริเวณลำคอเองก็ยังเป็นส่วนที่ยากต่อการปกปิดอีกต่างหาก ทำให้คุณสาวๆหลายต่อหลายคนที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าวต่างพยายามหาวิธี “กำจัด” ผิวหนังไก่ที่คอให้หายวับกลายเป็นอดีต แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเริ่มต้นอย่งไรเพื่อการกำจัดหนังไก่อย่างได้ผล คุณสามารถทำการศึกษาได้จากการอ่านบทความชิ้นนี้กันเลย

สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวหนังไก่ที่คอ
ผิวหนังไก่ที่คอ หรือ Keratosis pilaris เกิดจากการสะสมตัวของเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากการติดเชื้อ และสิ่งที่เป็นอันตรายอื่นๆ เมื่อเจ้าเคราตินเกิดการเจิรญเติบโตขึ้นมาบล็อกการเปิดของรูขุมขน ซึ่งทางการแพทย์ก็ยังไม่แน่ใจอะไรคือสิ่งที่ตกค้างอยู่ที่รูขุมขนเหล่านั้น แต่สาเหตุหลักๆเลยที่มักก่อให้เกิดโรคผิวหนังไก่ที่คอก็คือ การที่ผิวหนังแห้งจนเกินไปนั่นเอง
อาการของโรคผิวหนังไก่
อาการผิวหนังไก่ที่คอมักจะเลวร้ายลงเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว และอาจจะรวมไปถึงในฤดูร้อน เนื่องจากความชื้นในอากาศน้อยลง ซึ่งโรคผิวหนังไก่มักจะยังมีผลกระทบต่อโรคผิวหนังอื่นๆ อย่างเช่น กลาก หรือโรคผิวหนังภูมิแพ้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามผิวหนังไก่ ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่ได้เกิดขึ้จากอาการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดขึ้นจากแบคทีเรีย หรือไวรัส จึงไม่สามารถติดต่อคนอื่นๆได้จากการสัมผัส ซึ่งผิวหนังไก่จริงๆแล้วมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นสูงขึ้นอยุ่กับพันธุ์กรรมและสภาพผิว โดยเฉพาะผิวที่แห้ง

การบรรเทาอาการโรคผิวหนังไก่ด้วยตัวเอง
การบรรเทาอาการผิวหนังไก่ที่คอสามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยการให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะทำการเกา กระแทก หรือถูบริเวณที่เป็นผิวหนังไก่ที่คอ รวมไปถึงการอาบน้ำอุ่นที่ไม่ร้อนจนเกินไป และพยายามใช้สบู่ที่มีการช่วยเพิ่มไขมัน หรือน้ำมันแก่ผิว ตบท้ายด้วยการใช้มอยเจอไรซ์เซอร์ลงบนผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากเป็นไปได้ ควรพยายามเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอากาศโดยรวมภายในบ้านของคุณ ซึ่งการดูแลรักษาผิวหนังไก่เป็นสิ่งที่ต้องให้ความใส่ใจ ต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด แต่ในหลายๆครั้งผิวหนังไก่ที่คอก็สามารถที่จะหายไปได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำการรักษาอะไรเป็นพิเศษได้เช่นกัน

         ถ้าหากคุณต้องการที่จะเห็นผลลัพธ์ในการรักษาที่เพิ่มมากขึ้น ขอแนะนำให้ใช้โลชั่นทาผิวที่มีส่วนผสมของ กรดแลคติก (AmLactin, Lac-Hydrin), โลชั่นอัลฟาไฮดรอกซีกรด (Glytone, โลชั่นร่างกายไกลโคลิก), ครีมยูเรีย (Carmol 10 Carmol 20 Carmol 40, Urix 40) กรดซาลิไซลิ (โลชั่น Salex) และครีมเตียรอยด์เฉพาะที่ (triamcinolone 0.1%) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาปัญหาผิวหนังไก่ที่คอ ควรค่อยๆทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ด้วยความระมัดระวัง ไม่รุนแรง ไม่ตั้งความคาดหวังที่มากจนเกินไปนัก เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และควรทำความสะอาดผิวหนังได่ที่คอเป็นประจำ ด้วยสบู่ หรือน้ำยาทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยนวันละ 1-2 ครั้ง
การรักษาผิวหนังไก่ที่คอทางการแพทย์
ในบางกรณี มีผุ้ที่ประสบปัญหาผิวหนังไก่ที่คอหลายคน ประสบความสำเร็จจากการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ ที่ทำให้พื้นที่เป้าหมายทีเกิดหนังไก่ได้รับการรักษา แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองทางร่างกายของแต่ละคนต่อการรักษาด้วย ซึ่งการรักษาด้วยแสงเลเซอร์จำเป็นที่จะต้องทำหลายครั้ง และอาจจะต้องระยะเวลาในการรักษารวมกันหลายเดือนเลยทีเดียว

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีป้องกันผิวหนังลอกเมื่อถูกแสงแดดเผา

         โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อผิวหนังชั้นบนสุดถูกเผาไหม้ด้วยแสงแดดจนกระทั่งเสื่อมสภาพ ผิวหนังลอกตัวออกเพื่อเปิดทางให้ผิวชั้นใหม่อยู่ข้างใต้ปรากฏออกมา แต่คนส่วนใหญ่กลับรู้สึกไม่ค่อยปลื้มกับกับกระบวนการเหล่านี้สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับคนที่อยากมีผิวสีแทน ทำให้มีความพยายามค้นหาสารพัดวิธีที่จะป้องกันไม่ให้ผิวหนังลอก ซึ่งวิธีเหล่านั้นจะมีอะไรกันบ้างนั้น สามารถติดตามอ่านได้จากบทความชิ้นนี้กันเลย

กระบวนการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติของร่างกายมนุษย์
 สีแดงบนผิว และความเจ็บปวด แสบ ร้อน เป็นสัญญานบ่งบอกว่าคุณได้ใช้เวลามากจนเกินไปแล้วท่ามกลางแสงแดด ผิวหนังลอกหลังจากที่ถูกแดดเผาเป็นความพยายามของร่างกายในการกำจัดเซลล์ที่ถูกทำลายจากแสงแดด ปกป้องคุณจากริ้วรอบก่อนวัยอันควร โรคมะเร็งผิวหนัง แต่เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่ในขณะผิวหนังลอกมักจะมีอาการคัน และมีสภาพที่ไม่น่าดู อีกทั้งการที่ผิวหนังลอกหลังจากที่ถูกแสงแดดเผามากๆเองก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่คุณสามารถที่จะลดโอกาสที่ผิวหนังลอกให้น้อยลงได้ ด้วยการดูแลอย่างถูกต้องเหมาะสมทันทีหลังจากการสัมผัสกับแสงแดด ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้
   1.ใช้ยาต้านอาการอักเสบของผิว เพื่อลดอาการปวด อาการอักเสบของผิว และลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดผิวหนังลอก ซึ่งคุณสามารถขอคำแนะนำยาต้านอาการอักเสบเหล่านี้ได้จากร้านขายยาทั่วไป
 2.ล้างผิวด้วยน้ำเย็น ด้วยการอาบน้ำเย็น เพื่อทำให้ผิวของคุณเย็นลง ห้ามล้างผิวด้วยสบู่ที่มีฤทธิ์รุนแรง และหลีกเลี่ยงการถูผิวในขณะที่แห้ง เพราะมันจะยิ่งเป็นวิธีที่เพิ่มโอกาสในการทำให้ผิวหนังลอกมากขึ้น
         3.ให้ความชุ่มชื้นในบริเวณที่ถูกแดดเผา หลังจากที่ทำการอาบน้ำเสร็จแล้ว ควรให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวด้วยมอยเจอไรเซอร์ ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับผิวที่ถูกแสงแดดเผา ซึ่งสามารถหาได้ตามร้านขายยาทั่วไป หรือใช้ว่านหางจระเข้ที่มีคุณสมบัติในการปลอบประโลมผิว ลดการอักเสบ และยังช่วยในการป้องกันผิวหนังลอกอย่างได้ผล
4.ดื่มน้ำให้มากเป็นพิเศษ เพื่อช่วยในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และป้องกันผิวหนังลอก เพราะแสงแดดทำให้ผิวหนังเกิดการคลายน้ำของผิว ดังนั้นการดื่มน้ำจึงมีความจำเป็นอย่างมากในการักษาระดับน้ำในผิวเอาไว้

         5.ไม่ควรรบกวนผิว เมื่อถูกแดดเผามักจะเกิดอาการคันขึ้น แต่การเกาจะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ รวมไปถึงความเสี่ยงในต่อผิวหนังลอก ถ้าหากคุณรู้สึกคัน สามารถบรรเทาอาการดังกล่าวได้ด้วยการใช้ว่านหางจระเข้มาประคบในบริเวณดังกล่าว หรือใช้ผ้าขนหนูหุ้มน้ำแข็งนำไปประคบบริเวณดังกล่าวโดยตรง
 6.อย่าลืมทาครีมกันแดด พยายามใช้ครีมกันแดดทุกครั้งก่อนที่จะออกจากบ้านในช่วงกลางวัน ให้กลายเป็นกิจกวัตรประจำวัน ครีมกันแดดนอกจากจะช่วยลดความรุนแรงต่อการถูกแดดเผาแล้ว ยังช่วยลดความรุนแรงของผิวหนังลอกในภายหลังอีกด้วย ซึ่งคุณควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 30 ขึ้นไป
การดูแล และป้องกัยผิวจากแสงแดด จะช่วยทำให้ผิวหนังลอกของคุณไม่หลุดลอกออกมากจนเกินความจำเป็น เพราะผิวหนังใหม่ด้านล่างนั้นมีความบอบบางสูง ดังนั้นถ้าหากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ควรที่จะเร่งการผลัดเซลล์ผิวอย่างไม่เหมาะสม เพื่อสุขภาพของผิวที่ดีที่สุดของคุณอย่างยาวนาน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ดูแลปัญหาผิวหนังไก่ที่แขน ทำไงดี อย่างง่ายๆด้วยตัวคุณเอง

         เชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยเห็นผิวหนังของไก่ที่มีจุดเล็กๆ แดงๆ อยู่ทั่วไปหมดยามที่ถูกถอนขนออกจนหมดตัว แล้วลองจินตนาการดูว่าถ้าหากเจ้าจุดเล็กๆแดงๆเหล่านั้นได้ย้ายมาปรากฏอยู่บนแขนของคุณเต็มไปหมด มันจะดูเด่นจนน่าเกลียดมากขนาดไหน? เจ้าจุดเหล่านี้ล่ะที่ถูกเรียกว่า ผิวหนังไก่ที่แขน ที่เป็นปัญหากวนใจเหล่าผู้ที่อยากมีผิวที่เรียบเนียนปราศจากจุดเล็กๆน่าเกลียด จนทำให้เกิดคำถามขึ้นมาบ่อยครั้งว่า เมื่อผิวเป็นหนังไก่ ทำไงดี สำหรับใครที่ยังกำลังอยากรักษาผิวหนังไก่ที่แขน แล้วยังไม่รู้ว่าเมื่อเป็นหนังไก่ ทำไงดี บทความชิ้นนี้จะขอพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงปัญหาผิวหนังไก่ที่แขน เพื่อที่จะได้เข้าใจในวิธีป้องกันรักษาตัวเองจากปัญหาผิวหนังไก่ที่แขนกัน

โรคผิวหนังไก่คืออะไร อันตรายหรือเปล่า?
โรคผิวหนังไก่ที่แขน หรือ Keratosis pilaris (KP) สาเหตุหลักๆ คือ จากพันธุ์กรรม ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบมาตราฐานให้โรคนี้หายขาดได้ แต่สามารถที่จะทุเลาอาการลงได้ด้วยการรักษา หรือในบางกรณีอาการก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ โดยที่ไม่ได้ทำการรักษาใดๆ
โรคผิวหนังไก่ เป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้มีอันตรายใดๆ จุดเล็กๆบนผิวเหมือนกับอาการขนลุกอยู่ตลอดเวลา บางครั้งจุดเหล่านี้ก็จะมีแดง หรือบวม และทำให้รู้สึกเหมือนกับผิวของคุณเป็นกระดาษทรายที่ไม่เรียบเนียน ซึ่งโรคผิวหนังไก่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยบนแขน ต้นขา และก้น ในบางครั้งอาจจะก่อให้เกิดอาการคันร่วมด้วย

การป้องกันตัวเองเบื้องต้นจากปัญหาผิวหนังไก่
โดยพื้นฐานแล้วถ้าหากคุณไม่อยากปล่อยให้ผิวของตัวเองมีสภาพเหมือนกับหนังไก่ ทำไงดี จนต้องมานั่งกลุ้มใจภายหลังแล้ว คุณสามารถที่จะเริ่มต้นการดูแลผิวพรรณของตัวเอง ด้วยการป้องกันไม่ให้ผิวมีความแห้งกร้านจนเกินไป การทำความสะอาดผิวก็ควรที่จะใช้น้ำยาทำความสะอาด หรือสบู่ที่มีความเข้มข้นน้อยๆ

การรักษาตัวเองจากปัญหาผิวหนังไก่เบื้องต้น
 เมื่อเกิดปัญหาหนังไก่ ทำไงดีขึ้นบนผิวแล้ว ในกรณีที่ไม่รุนแรงนัก คุณสามารถรักษาตัวเองขั้นพื้นฐานด้วยการใช้โลชั่นบำรุงผิว ที่มีส่วนประกอบของกรดแลคติก (AmLactin, Lac-Hydrin), อัลฟาไฮดรอกซีกรดโลชั่น (Glytone, โลชั่นร่างกายไกลโคลิก, ครีมยูเรีย (Carmol 10 Carmol 20 Carmol 40, Urix 40) กรดซาลิไซลิ (โลชั่น Salex) และครีมเตียรอยด์เฉพาะที่ (triamcinolone 0.1% Locoid Lipocream) ผลิตภัณฑ์กลุ่มกรดวิตามินเอเช่น tretinoin (Retin-A) tazarotene (Tazorac) และ adapalene (Differin) หรือโลชั่นบำรุงผิวที่แพทย์เป็นผู้แนะนำ ซึ่งคุณสามารถทีจะนวดโลชั่นเหล่านี้ลงไปยังบริเวณผิวที่ได้รับผลกระทบวันละ 2-3 ครั้ง
 ผิวในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหนังไก่ คุณอาจจะล้างทำความสะอาดเพียง 1-2 ครั้ง ต่อวัน ด้วยน้ำยา หรือสบู่ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน และอาการผิวหนังไก่จะยิ่งได้รับการรักษาที่ดีมากขึ้นหากน้ำยา หรือสบู่ทำความสะอาดผิวของคุณมีส่วนผสมขอ GlySal, Proactiv กรดซาลิไซลิหรือ benzoyl เปอร์ออกไซด์ เป็นต้น
 การรักษาอาการผิวหนังไก่ที่แขนเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลา และความอดทนเป็นอย่างมาก หลายครั้งคุณอาจจะต้องค่อยๆรักษาอาการนานหลายสัปดาห์กว่าที่จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณทำการรักษาผิวหนังไก่ด้วยตัวเอง แต่กลับสังเกตเห็นว่าอาการไม่ได้ดีขึ้น แต่กลับมีอาการผิวอักเสบ หรือมีรอยจุดแดงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขอแนะนำให้รีบไปทำการพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาด้วยยา หรือแสงเลอเซอร์ เพื่อทุเลาอาการของคุณไม่ให้ลุกลามหนักหนาจนเกินไป

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

HELP! แขนขาโดนท่อไอเสีย วิธีรักษาอย่างไรไม่ให้มีแผลเป็น

         หลายคนที่เคยมีประสบการณ์ที่ถูกท่อไอเสียไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือรถมอเตอไซต์นาบเข้าที่ขา หรือแขนคงจะทราบกันเป็นอย่างดีว่า ความร้อนจากท่อไอเสียนั้นมากเพียงพอที่จะเผาไหม้ผิวหนัง ได้มากหลายระดับเลยทีเดียว ถ้านับเพียงแค่ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีคนที่ประสบอุบัติเหตุโดนท่อไอเสีย วิธีรักษาในโรงพยาบาลมากกว่า 50,000 คน เลย และคนที่โดนท่อไอเสีย วิธีรักษาด้วยตัวเองที่บ้านอีกกว่า 1 ล้านคนทีเดียว เรียกได้ว่าชาวอเมริกันนั้น คุ้นเคยกับวิธีรับมือโดนท่อไอเสีย วิธีรักษาด้วยตัวเองมาอย่างโชกโชนกันเลยทีเดียว ซึ่งบทความในวันนี้ก็จะขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับเคล็ดลับของเหล่าชาวอเมริกันว่า เมื่อพวกเขาโดนท่อไอเสีย วิธีรักษาจะมีอะไรกันบ้าง

เคล็ดลับการดูแลรักษาตัวเองเมื่อแขนขาถูกท่อไอเสียเผาไหม้
 เมื่อแขน ขา หรืออวัยวะอื่นๆของคุณโดนท่อไอเสีย วิธีรักษาที่ควรปฎิบติตามอย่างเคร่งครัดจะมีดังต่อไปนี้
 1.ทำการสำรวจดูพื้นผิวที่ถูกสัมผัส เพื่อตรวจสอบความรุนแรงของการเผาไหม้ว่า ผิวหนังมีสีแดงหรือไม่ มีอาการบวมมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญานพื้นฐานที่ช่วยบ่งบอกระดับความรุนแรงในการเผาไหม้ ถ้าหากอาการเหล่านี้มีเพียงเล็กน้อยแสดงว่าเป็นการเผาไหม้ระดับที่ 1 แต่ถ้าหากมีอาการเจ็บปวดมาก และมีบาดแผล นั่นหมายความว่าความรุนแรงอยู่ในระดับที่ 2 แล้ว
2.วัดพื้นที่ผิวที่ถูกไหม้ ถ้ามีพื้นที่เส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 3 นิ้ว และมีความลึกไม่มากกว่าผิวชั้นนอก คุณสามารถทำการรักษาได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้ามากกว่านั้นคุณจำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์
3.แช่บริเวณที่ถูกเผาด้วยน้ำเย็น ประมาณ 15 นาที หรือใช้น้ำแข็งแช่น้ำแข็งเย็นๆ ห่อหุ่มด้วยผ้าอ่อนนุ่มทำการประคบบริเวณที่ถูกเผาไหม้ก็ได้เช่นเดียวกัน
4.เจลว่านหางจระเข้หรือโลชั่น ครีม ยาปฎิชีวะนะ หรือครีมบำรุงผิวที่มีความอ่อนโยน สามารถช่วยปลอบโยนผิว และช่วยทำให้ผิวที่เกิดแผลลวกจากท่อไอเสียไม่ให้แห้ง
5.ป้องกันการติดเชื้อด้วยผ้าผันแผล ผ้าก็อซ ตาข่าย หรือฟิล์มทางการแพทย์ ช่วยปกป้องความเสียหายผิวหนังที่ได้รับความเสียหายไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติม หรือติดเชื้อขึ้น
6.บรรเทาความเจ็บปวดดวยยาแอสไพริล acetaminophen หรือ ibuprofen ยาเหล่านี้สามารถช่วยลดความเจ็บปวด และอาการบวมจากแผลลวกของท่อไอเสียได้ แต่อย่างไรก็ตาม คุณควรทำการอ่านฉลากข้อแนะนำปริมาณในการใช้ยาอย่างระมัดระวัง

         7.เปลี่ยนผ้าก็อซ หรือผ้าผันแผลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจสอบการติดเชื้อ ซึ่งสัญญานการติดเชื้อมักจะมาพร้อมกับอาการปวด อาการบวม มีไข้ หรือมีน้ำซึมออกมาจากบริเวณที่ถูกลวกอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากคุณสงัเกตเห็นอาการเหล่านี้ ขอแนะนำให้เข้ารับการรักษาจากแพทย์โดยเร็วที่สุด

ข้อแนะนำเพิ่มเติม&ข้อควรระวัง
 เมื่อผิวหนังของคุณโดนท่อไอเสีย วิธีรักษาที่ดีนอกจากการป้องกันแล้ว ยังมีสิ่งอื่นๆทึคุณควรทราบเพื่อพึงระวังอีกหลายข้อ อาทิเช่น
 -ห้ามใช้น้ำแข็ง เนย หรือน้ำมัน สัมผัสลงไปบริเวณผิวที่ถูกเผาไหม้โดยตรง
-อย่าทำการเปิดแผล เพราะผิวหนังบริเวณกำลังอยู่ในระหว่างทำลายและฟื้นฟูตัวเองอยู่
ควรทำความสะอาดพื้นที่รอบๆที่ถูกเผาเบาๆ ด้วยสบู่ และน้ำยาปฎิชีวะนะเป็นประจำ
-เปลี่ยนผ้าผันแผลให้เป็นประจำทุกวัน
 -ถ้าหากการเผาไหม้จากท่ออเสียมีความรุนแรง ขอแนะนำให้รีบไปทำการพบแพทย์โดยทันที

วิธีการฟื้นฟูสภาพผิว ลดรอยแผลเป็นอย่างง่ายๆแต่ได้ผล
         ถึงแม้ว่าคุณจะปฎิบัติตัวตามวิธีที่ได้แนะนำไปแล้วในตอนต้นทันทีหลังจากที่ถูกท่อไอเสียเผาไหมผิวหนังแล้วก็ตาม แต่โอกาสที่จะเกิดรอยแผลเป็นขึ้นในบริเวณที่ถูกทำลายด้วยความร้อนก็ยังคงมากอยู่ดี ดังนั้น หลังจากที่ดูแลผิวในเบื้องต้นจนกระทั่งแผลเริ่มแห้งสนิทดีแล้ว คุณก็ควรที่จะทำการบำรุงผิวอย่างต่อเนื่อง ด้วยครีมบำรุงผิวที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และมีประสิทธิภาพในการบำรุงเยียวยาผิวพรรณให้กลับมามีสภาพที่ดีดังเดิม

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกศัตรูความงามที่ป้องกันและรักษาได้

         ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้มีร่องรอยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกเกิดขึ้นบนผิวพรรณของตัวเอง โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ผิวมีความบอบบาง และมักจำเป็นที่จะต้องรักษาความเรียบเนียนเอาไว้เผื่อโอกาสพิเศษๆที่จะต้องสวมใส่ชุดอวดโฉมผิวพรรณของตัวเอง อย่างไรก็ตามเรื่องของอุบัติเหตุไม่คาดฝันก็ไม่เคยปราณีใคร คุณสาวๆอาจจะต้องประสบการณ์ต่างๆที่อาจก่อให้เกิดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกขึ้นกับตัวเองเข้าสักวัน แต่หากคุณมีสติมากพอ และรู้จักกับวิธีการปฐมพยาบาลแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยลดร่องรอยอันไม่ชวนพิศมัยเหล่านั้นให้น้อยลง หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยได้เช่นกัน

แผลไฟไหม้อันตรายมากน้อยแค่ไหน?
 การเผาไหม้ที่ชั้นผิว มักส่งผลกระทบต่อชั้นบนสุดของผิวเท่านั้น ผิวจะมีลักษณะเป็นสีแกง และเกิดความเจ็บปวด ซึ่งผิวที่ได้รับผลกระทบนี้มักจะหลุดลอกออกในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากการถูกเผาไหม้ แต่การถูกเผาไหม้จนถึงผิวชั้นลึกจะก่อให้เกิดอันตรายมาก อาจจะสร้างความเสียหายต่อผิวจนกระทั่งดำกลายเป็นตอตะโกได้เลยทีเดียว

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกวิธีสำหรับแผลที่ถูกเผาไหม้
1.ไฟคลอก ถ้าหากคุณหรือคนใกล้ตัวถูกเผาไหม้จากเปลวไฟ ให้รีบหยุดกระบวนการเผาไหม้ให้รวดเร็วที่สุด แล้วใช้ผ้าห่ม หรือผ้าหนาสกัดการผาไหม้ของไฟ โดยระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ผู้ที่เข้าไปช่วยนั้นถูกเผาไหมไปด้วยอีกคน จากนั้นให้ทำการถอดเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับที่อยู่ใกล้กับบริเวณผิวหนังที่ถูกไหม้ เพราะเครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับจะยังคงสามารถเก็บความร้อนเอาไว้ได้อย่างยาวนาน แต่อย่าพยายามถอดเอาสิ่งที่ติดอยู่กับผิวหนังที่ถูกไหม้ไปแล้ว เพราะอาจจะยิ่งเป็นการก่อความเสียหายให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แล้วทำการห่อบริเวณที่ถูกเผาไหม้ด้วยฟิล์มใส หรือถุงพลาสติกใสอย่างหลวมๆ จากนั้นให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้ถึงมือแพทย์ให้เร็วที่สุด
 คุณสามารถบรรเทาอาการเผาไหม้ได้ด้วยการประคบด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นเป็นเวลา 10 – 30 นาที และภายใน 20 นาทีแรกหลังจากการเผาไหม้ ควรใช้น้ำแข็ง น้ำเย็น หรือครีมสารหล่อลื่นทาลงไปบริเวณที่ถูกเผาไหม้
 2.การเผาไหม้จากสารเคมี ถอดเสื้อผ้าที่ได้รับผลกระทบออก พยายามปัดแปรงสารเคมีที่ตกค้างอยูบนผิวออกจากผิวหนังถ้าหากพวกมันอยู่ในลักษณะของแห้ง จากนั้นล้างการเผาไหม้ออกจากผิวด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากๆ เป็นเวลานานกว่า 20 นาที

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกวิธีสำหรับแผลที่น้ำร้อนลวก
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีปัญหาน้ำร้อนลวกเกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุไม่ถึง 5 ขวบ และมักเกิดขึ้นในห้องครัว เนื่องจากเด็กพยายามที่จะดึงแก้ว หรือถ้วยที่มีเครื่องดื่มร้อนๆอยู่ภายใน กาน้ำ กาน้ำชา หม้อ หรือเครื่องทำความร้อนอื่นๆ เป็นต้น
 ในกรณีที่ถูกน้ำร้อนลวก ในบริเวณแขน ขา หรือนิ้ว ให้ทำการแช่อวัยวะเหล่านั้นลงไปในน้ำเย็นที่มีการแช่น้ำแข็งเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ถ้าหากรู้สึกว่าอวัยวะเหล่านั้นมีอุณหภูมิที่ต่ำจนเกินไป ก็ให้นำออกจากการแช่น้ำชั่วคราว จากนั้นจึงค่อยนำกลับไปแช่ใหม่อีกครั้ง จนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนจากการถูกน้ำร้อนลวกจะหายไป แต่ถ้าหากบริเวณที่ใบหน้า หรือลำตัว ให้ใช้นำแข็งทุบให้เป็นก้อนเล็กๆใส่ในถุงพลาสติก ห่อด้วยผ้านุ่มๆ แล้วนพไปประคบในบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากแผลน้ำร้อนลวกทำให้เกิดแผล ผิวหนังแหว่ง จำเป้นอย่างยิ่งที่ต้องนำไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด โดยที่ยังคงใช้น้ำแข็งทำการประคบไปด้วยดังที่ได้แนะนำไปในตอนต้น
ถ้าหากปฎิบัติตัวตามที่ได้แนะนำไปแล้วในตอนต้นอย่างถูกต้อง และรวดเร็วมากเพียงพอ ก็จะทำให้โอกาสเกิดรอยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกขึ้นบนผิวหนังลดน้อยลง เพื่อที่คุณจะได้มีผิวหนังที่เรียบเนียน เอาไว้อวดใครต่อใครได้อย่างยาวนาน..

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ผิวขาว ทําไง มาดูวิธีแสนง่ายที่คนอยากขาวต้องทำตาม

         ค่านิยมของคนไทยโดยส่วนใหญ่มักชอบคนที่มีผิวขาว สดใส เปล่งประกาย จึงทำให้วัยรุ่นทั้งหญิงชายในปัจจุบันหันมาดูแลเอาใจใส่สุขภาพผิวกันมากขึ้น โดยมักตั้งคำถามว่าวิธีทำให้ผิวขาว ทำไง จริงๆแล้วมันมีหลากหลายวิธีให้เลือก อยู่ที่ว่าจะเลือกแบบไหน กระนั้นก็ตาม บทความนี้ขอเสนอวิธีการแสนง่ายที่คนอยากขาวต้องปฏิบัติตาม จะได้มีผิวขาวใส เปล่งประกาย อมชมพูระเรื่ออย่างที่ทุกคนต้องการ ต้องทำอย่างไรบ้างมาดูกัน

1.ดื่มน้ำมะเขือเทศ
ผิวขาว ทำไง ขอเริ่มด้วยการการดื่มน้ำมะเขือเทศ ถึงแม้รสชาติของน้ำมะเขือเทศจะไม่ได้เป็นที่โปรดปรานของใครหลายคน แต่หากทราบสรรพคุณของมันแล้วอาจทำให้ท่านเปลี่ยนใจ น้ำมะเขือเทศอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอ วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินเค และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก การดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ระบบการย่อยและการขับถ่ายดีขึ้น ส่งผลไปถึงผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูกระจ่างใสขึ้น ผิวไม่แห้งกร้าน ทำให้เรามีผิวขาวใสอย่างเป็นธรรมชาติ
2.รับประทานมะละกอ
มะละกอเป็นผลไม้แคลอรี่ต่ำ หาซื้อง่ายในทุกฤดูกาล ซึ่งเจ้ามะละกอมีแคโรทีนอยด์ (Carotenoids) ซึ่งแตกตัวเป็นวิตามินเอ หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยม นอกจากสามารถป้องกันมะเร็งแล้ว ยังช่วยปกป้องรักษาผิวพรรณให้ชุ่มชื่น แลดูอ่อนเยาว์อีกด้วย โดยควรบริโภค 200 กรัม หรือประมาณชามก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม คุณค่าของสารอาหารวิตามินเอ จะเข้มข้นอยู่ตรงส่วนเนื้อเหลืองๆ ที่เมล็ดมะละกอฝังอยู่ ดังนั้น อย่าขูดทิ้ง ให้ใช้ซ้อมเขี่ยเมล็ดออกและรับประทาน

3.รับประทานส้ม
ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยป้องกันผิวพรรณจากการถูกทำร้ายของรังสียูวี และมีสรรพคุณในการช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนให้แก่ผิว ทำให้เต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่แห้งหยาบ ผิวขาว ทำไง ควรรับประทานส้มเพื่อผิวสวยเด้ง ในปริมาณ 200 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับส้ม 1 ผลก็ถือเป็นพียงพอแล้ว ทั้งนี้ ต้องเป็นส้มสดๆ ไม่ใช่น้ำส้มที่มักมีเกลือและน้ำเชื่อมเจือปน ทำให้สารอาหารอย่างวิตามินหายไป
4.ดื่มชาเขียว
ในชาเขียวมีฟลาโวนอยด์ (Flavinoids) และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่คอยต่อสู้กับรังสียูวี รวมถึงสารเคมีจากสภาพแวดล้อม ซึ่งช่วยให้ผิวพรรณแลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ สามารถรับประทานชาเขียวได้ทั้งชงในถุงชาหรือเป็นใบ โดยให้แช่ในน้ำร้อนเดือด เป็นเวลาอย่างน้อย 3 นาที อย่างไรก็ตาม ห้ามใส่นมลงไปในชาเขียว เพราะเท่ากับเป็นการลบล้างสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ไม่ได้รับสารอาหารในชาเขียวได้อย่างเต็มที่
5.พอกผิวด้วยมะเขือเทศ
สำหรับสูตรพอกผิวด้วยมะเขือเทศนั้นต้องเตรียมมะเขือเทศสัก 2-3 ลูก และเครื่องปั่นผลไม้ อุปกรณ์พร้อมแล้วก็เริ่มจากล้างมะเขือเทศให้สะอาดก่อนนำมาปั่นให้ละเอียด หากไม่มีเครื่องปั่นใช้วิธีคั้นสดๆแทนก็ได้ หลังจากนั้นนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นก่อน และล้างด้วยน้ำเย็นอีกรอบเพื่อช่วยกระชับรูขุมขน สูตรนี้ให้ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง หน้าจะเนียนนุ่ม ผิวขาวใสขึ้นแบบตัวเองยังต้องอึ้ง สูตรนี้สามารถใช้ได้กับผิวกาย อย่างเช่นบริเวณแขน ลำคอได้

6.พอกผิวด้วยโยเกิร์ตผสมมะนาว
  นำน้ำมะนาวไปคั้นเอาน้ำผสมกับโยเกิร์ตธรรมชาติ แล้วทาผิวปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออก กรดในน้ำมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ของผิวเก่าที่เสียให้หลุดออกไป เผยผิวใหม่ที่เป็นผิวขาวสดใสกว่าเดิม โดยส่วนผสมของโยเกิร์ตจะช่วยลดการระคายเคืองผิวจากกรดของมะนาว
7.พอกผิวด้วยมะละกอผสมนมสด
ผิวขาว ทำไง สูตรนี้ให้นำเอาเนื้อมะละกอสุกและนมสดมาบดผสมให้เข้ากัน แล้วพอกบนผิวหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำเปล่า สูตรนี้จะทำให้ผิวขาวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่นขึ้น ทำให้ผิวของแลดูอวบอิ่ม มีน้ำมีนวลอยู่เสมอ
8.พอกผิวด้วยนมสดผสมผงชาเขียว
นำนมสดสัก 3 ช้อนโต๊ะผสมกับผงชาเขียวป่นที่หาซื้อได้ตามร้านทำขนมอบ โดยใช้ผงชาเขียวเพียงแค่ 1 ช้อนชาเท่านั้น เมื่อผสมกันดีแล้วก็ให้ใช้สำลีก้อนชุบส่วนผสมทั้งสอง นำมาถูให้ทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะเป็นการกำจัดสิ่งสกปรกบนผิวได้อย่างหมดจด นอกจากผิวจะสะอาดแล้วยังให้ความนุ่มนวลและชุ่มชื้น
  จุใจกันไปเลยกับวิธีทำให้ผิวขาวสวยสดใสแบบธรรมชาติ ไม่ต้องพึ่งครีม สารเคมีใดๆ แต่สำหรับคนที่ใช้ครีมหรือเซรั่มบำรุงผิวอยู่แล้วก็สามารถนำวิธีการข้างต้นไปใช้ได้ และถ้าอยากให้ผิวเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลมากขึ้น แนะนำให้ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าผิวพรรณจะขาวผุดผ่อง สวยเด้งไม่เป็นสองรองใครแน่นอน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.