วิธีลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า ให้ผิวสวยเรียบเนียน

         ใบหน้าเนียนใสไร้สิวเป็นสิ่งที่ทุกคนปราถนา นอกจากนั้นยังหมายรวมไปถึงการที่ผิวพรรณบนใบหน้าปราศจากรอยแผลเป็นที่ทำให้ผิวขรุขระ แลดูไม่เรียบเนียนด้วย ทั้งนี้ ในบางคนอาจมีรอยแผลเป็นบนใบหน้าได้ เนื่องจากการเกิดสิวขั้นรุนแรง (มักมีการแคะ แกะ เกา บีบสิว) ซึ่งจะทำให้ผิวช้ำ อักเสบจนเป็นแผลได้ รวมถึงบางคนเกิดจากโรคอีสุกอีใสที่ทิ้งร่องลอยหลังจากหายแล้วมานานหลายปี การเกิดอุบัติเหตุที่เกิดแผลบนใบหน้าหรือการเย็บเนื้อที่หน้าก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น
         ทีนี้เมื่อเกิดรอยแผลเป็นบนใบหน้าจะทำอย่างไร ส่วนใหญ่มักหันไปพึ่งคลินิคหรือพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังโดยตรง ซึ่งก็เป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะในบางกรณีมีอาการแผลเป็นรุนแรง ยากที่จะรักษาด้วยตัวเอง ซึ่งส่วนใหญ่หมอจะแนะนำให้ใช้วิธีลบรอยแผลเป็น รอยขรุขระบนใบหน้า ดังนี้

 

วิธีลบรอยแผลเป็น รอยขรุขระบนใบหน้า
         1.การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทาในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามินเอ โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น
         2.การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นให้รอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำๆอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง ซึ่งระหว่างนี้ห้ามแคะ แกะ เกาเป็นอันขาด
         3.ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้คือกลุ่มวิตามินเอ เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
         4.รักษาด้วยโฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับตัวบาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามินเอบำรุง และสร้างคอลลาเจนให้แก่ชั้นผิว ลบรอยแผลเป็น รอยขรุขระบนใบหน้าได้
         5.รักษาด้วยวิธี MD (MICRO DERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผลคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิวส่วนคราบไคลและหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน วิธีนี้ช่วยลบรอยแผลเป็นได้ดี และช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
         6.กรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ จะช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อนข้างนาน จึงไม่ค่อยนิยมมากในปัจจุบัน
         7.การฉีดสารสังเคราะห์ โดยแพทย์จะฉีดสารสังเคราะห์ HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น เป็นการช่วยลบรอยแผลเป็น รอยขรุขระบนใบหน้าได้อีกวิธีหนึ่ง

 

ข้อควรปฏิบัติหลังจากรักษารอยแผลเป็นบนใบหน้า
         ประการแรกควรพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดงจัดๆ เนื่องจากในระยะนี้ผิวจะไวต่อแสงแดดมาก ทางที่ดีควรทาครีมกันแดดเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์ ประการต่อมาคือก่อนใช้ยาหรือเครื่องสำอางบางประเภทควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง อย่านำมาใช้เองโดยพลการ ที่สำคัญควรมาพบแพทย์ตามนัด เพื่อจะได้ทำการรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี มีประสิทธิภาพสูงสุด
         ในการลบรอยแผลเป็น รอยขรุขระบนใบหน้าอาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้บ้าง เนื่องจากตัวยาที่ใช้บางชนิด จะทำให้รู้สึกระคายเคืองต่อผิว บ้างก็ผิวลอกเป็นขุยเล็กน้อย บ้างผิวแดงง่ายขึ้นเวลาถูกแดดจัด ซึ่งแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลหรือให้ยาเพื่อลดอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
         อย่างไรก็ดี การลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าด้วยวิธีทั้งหลาย หมอผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้พิจารณาเองว่าสภาพผิวหน้าและความรุนแรงของแผลเป็นของแต่ละคนเหมาะสมที่จะใช้วิธีไหน ที่จะสามารถช่วยให้รอยแผลตื้นขึ้นและดีขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รอยอาจจะไม่หายไปในทันทีทั้งหมด บางรายต้องใช้เวลานานพอสมควร ดังนั้น คนที่ต้องการลบรอยแผลเป็นบนใบหน้าต้องมีความอดทนเป็นเลิศ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

7 สุดยอด สมุนไพร ทําให้หน้าใส เต่งตึง กระชับ ลดริ้วรอยอย่างได้ผล

         ผิวหย่อนคล้อยหลวมบนใบหน้าและลำคอ ผิวหมองคล้ำไร้ความสดใส เป็นหนึ่งในปัญหาด้านผิวพรรณใหญ่ๆที่ส่งผลต่อความงาม รวมปถึงความมั่นใจโดยรวมของผู้ที่รักในความสวยงาม ในขณะที่หลายๆคนต่างพยายามบำรุงรักษาผิวพรรณของตัวเองให้ห่างไกลจากปัญหาเหล่านี้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ หรือเวชสำอางในปัจจุบัน ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อว่า สมุนไพร ทําให้หน้าใส เต่งตึงได้เช่นกัน ที่สำคัญคือ การใช้สมุนไพร ทําให้หน้าใส เต่งตึงนั้น มีความเสี่ยงน้อยกว่าการเสริมความงามทางการแพทย์เป็นอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งเหล่าสมุนไพร ทําให้หน้าใส เต่งตึงที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลกจะมีอะไรกันบ้างนั้น สามารถติดตามอ่านได้ผ่านบทความชิ้นนี้กันเลย

สุดยอดสมุนไพร ทําให้หน้าใส เต่งตึงน่ารู้ ที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก
 ถ้าหากทำการศึกษาให้ดีแล้วล่ะก็ คุณจะพบว่าสามารถใช้สมุนไพรบางอย่างที่มีคุณสมบัติในการช่วยกระชับผิว และกำจัดรอยหมองคล้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งในบทคามชิ้นนี้จะขอนำเสนอสมุนไพรบางส่วน บางชนิด ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจดังกล่าว มาให้คุณผู้อ่านรู้จักกัน
1.สารสกัดจากเม็ดองุ่น เป็นสมุนไพร ทําให้หน้าใส เต่งตึง ด้วยการกำจัดริ้วรอย และผิวหย่อนคล้อย กระตุ้นคอลลาเจนที่ผลิตตามธรรมชาติในร่างกาย ทำให้ผิวกายโดยรวมมีความเต่งตึงอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม การเสริมด้วยสารสกักจากเม็ดองุ่นเป็นประจำทุกวัน จึงสามารถช่วยลดปรากฏการณ์ริ้วรอยแตกลาย ด้วยการยกกระชับผิวนั่นเอง
 2.ว่านหางจระเข้ เหมาะสำหรับผิวแห้ง และผิวของผู้ใหญ่ ที่มีประสิทธิภาพยกกระชับผิวให้แลดูอ่อนเยาว์ขึ้นได้นานหลายปีเลยทีเดียว ด้วยคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มคอลลาเจนตามธรรมชาติในชั้นผิว ไม่ว่าผ่านการใช้ทา หรือการรับประทานก็ตาม นอกจากนี้ว่านหางจระเข้สมุนไพร ทําให้หน้าใส เต่งตึง ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลด และป้องกันผิวจากริ้วรอย ต่อต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งส่งผลให้ใบหน้าของคุณมีความกระชับเรียบเนียนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
 3.ชาเขียว ช่วยในการกำจัดริ้วรอยและยกกระชับผิว ชาเขียวเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ดีที่สุดสำหรับต่อต้านริ้วรอย คืนความยืดหยุ่น นอกจากนี้ชาเขียวยังเป็นที่รู้จักกันดีวาอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพมากที่สุดชนิดหนึ่ง และยังช่วยปรับโทนสีผิวให้มีความเรียบเนียนสม่ำเสมอกันอีกด้วย

         4.ดอกคาโมไมล์ เป็นหนึ่งในปฎิหารย์ของธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อผิวอย่างมากมายจนแทบไม่น่าเชื่อ สารประกอบภายในดอกคาโมไมล์ ช่วยลดการปรากฏริ้วรอย ด้วยกระบวนการเร่งบำบัดของผิว ลดอาการระคายเคือง ต้านอาการอักเสบของผิวอีกด้วย
 5.Witch Hazel สมุนไพรที่ได้จากเปลือกไม่พุ่ม ของทวีปอเมริกาเหนือ ที่มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลอ่อน มีคุณสมบัติสุดพิเศษในการจัดการปัญหาสิว ต้านอาการอักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยล้างความมันส่วนเกินออกไปโดยไม่ทำให้ผิวแห้งตึงมากจนเกินไป และยังช่วยกระชับเนื้อเยื่อผิวหนัง ลดการปรากฏของตา
 6.ดาวเรือง หนึ่งในพืชผักสวนครัว ที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านอาการอักเสบ สมารบาดแผล ปลอบประโลมผิวที่เสียหายจากการถูกแดดเผา น้ำมันของดาวเรืองยังมักถูกนำไปใช้ในการรักษาอาการแผลเปื่อยอีกด้วย
 7.ลาเวนเดอร์ นอกจากคุณสมบัติสถดพิเศษที่ช่วยในการผ่อนคลายจิตใจแล้ว ลาเวนเดอร์ยังช่วยปลอบประโลมผิว ป้องกันการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อ และป้องกันการเกิดริ้วรอย ที่น่าสนในคือ มันช่วยกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตของเซลล์ผิวใหม่ สมานแผลเนื้อเยื่อ แผลเป็นสิว กลาก และปัญหาด้านผิวพรรณอื่นๆอย่างได้ผล ป้องกันแบคทีเรีย ป้องกันการติดเชื้อที่ผิว ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ลาเวนเดอร์จึงกลายมาเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่ดีต่อผิวพรรณ
 ผิวเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย ดังนั้นคุณจึงควรให้ความสำคญสูงสุดกับมน หลีกเลี่ยงการบำรุงผิวด้วยสารเคมีที่เป็นอันตราย แล้วหันไปพึ่งพาสมุนไพรอันที่มีคุณสมบัติอันยอดเยี่ยม ที่อ่อนโย่นกับผิวเห็นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด…

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อยากหน้าใสเชิญทางนี้ มาดูสูตรบำรุงผิวหน้าแบบ DIY

         สมัยนี้บอกได้เลยว่าถ้ามีหน้าขาวใสก็มีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะผิวหน้าที่เปล่งปลั่งสดใสเป็นประกายย่อมเป็นที่น่าดึงดูดของบุคคลรอบข้าง ดังนั้น นอกจากจะต้องรักษาหุ่นให้เป๊ะเว่อร์กันแล้ว หน้าก็ต้องเด้งด้วยถึงจะมัดใจเพศตรงข้ามได้อย่างอยู่หมัด บทความนี้ได้รวบรวมสูตรบำรุงผิวหน้ามาให้ท่านผู้อ่านได้ลองนำไปใช้กัน โดยเป็นสูตร DIY ใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ เหมาะกับทุกสภาพผิวโดยเฉพาะผิวบอบบาง ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย

สูตรบำรุงผิวหน้าแบบ DIY
         1.สูตรน้ำผึ้งผสมมะนาว มาเริ่มบำรุงผิวหน้ากันด้วยสูตรมาร์คหน้า โดยส่วนผสมอย่างน้ำผึ้งและมะนาวจะช่วยทำความสะอาดผิวและต้านการอักเสบได้ดี มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยกำจัดปัญหาเรื่องการเกิดริ้วรอยก่อนวัย แก้ปัญหาผิวคล้ำเสียจากแสงแดด และลดเลือนจุดด่างดำ ยิ่งถ้าเพิ่มน้ำมันมะกอกเข้าไปด้วยจะยิ่งทวีคุณค่าให้ผิวสวย มีความยืดหยุ่น วิธีการคือให้ผสมน้ำมันมะกอก น้ำผึ้ง และน้ำมะมาวลงไปในปริมาณเท่าๆกัน จากนั้นใช้สำลีชุบแล้วทาใบหน้าทิ้งไว้ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น หรือจะทิ้งไว้ทั้งคืนแล้วล้างออกในตอนเช้าก็ได้

         2.สูตรโยเกิร์ตผสมมะนาว แม้มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงจนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้น การนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปพอกผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว สารอาหารจากมะนาวและโยเกิร์ตธรรมชาติจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ขาวใสสุขภาพดี ถือเป็นสูตรบำรุงผิวหน้าให้ขาวใสแบบธรรมชาติที่เห็นผลชัดเจน
         3.สูตรแอปเปิ้ลผสมน้ำผึ้ง ส่วนใหญ่มักรับประทานแอปเปิ้ลเพื่อให้ผิวสวยกัน จริงๆแล้วผลไม้ชนิดนี้ยังสามารถนำมาพอกบำรุงผิวหน้าได้อีกด้วย เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีซึ่งเป็นอันตราย และชะรอความแก่ของผิว ลบเลือนริ้วรอยก่อนวัย สำหรับวิธีการแสนง่ายคือให้นำแอปเปิ้ลไปปั่นรวมกับน้ำผึ้ง แล้วทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีจนแห้งจึงล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นก็เตรียมพบกับผิวหน้ากระจ่างใส เนียนนุ่มชุ่มชื่นได้เลย
         4.สูตรมะละกอผสมนมสด ให้นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด แล้วคนให้เป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เมื่อเช็ดหน้าจนแห้งก็จะพบกับผิวหน้าเนียนนุ่มชุ่มชื่น ออร่าจับ ขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากมะละกอและนมสดมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวมากมาย ซึ่งสูตรนี้นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย

         5.สูตรกล้วยหอมผสมนมสด กล้วยหอมและนมสดมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อผิวพรรณ มีความอ่อนโยน ไม่ทำให้ระคายเคืองผิว แม้ผิวแพ้ง่ายก็สามารถใช้สูตรนี้ได้ สูตรนี้ให้นำกล้วยหอมมาบดละเอียดผสมกับนมสด จากนั้นนำไปพอกผิวหน้า เพียงแค่นี้จะทำให้ผิวหน้าขาวเนียนสวยขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
         6.สูตรกลีบกุหลาบผสมน้ำผึ้งและโยเกิร์ต สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้งกร้านคล้ำเสียง่ายเป็นอย่างยิ่ง แต่อาจจะวุ่นวายตรงที่ต้องหาวัตถุดิบพิเศษกันสักหน่อย โดยต้องใช้กลีบกุหลาบ (Rose Petal) น้ำผึ้ง และโยเกิร์ตมาเป็นส่วนผสม โดยกลีบกุหลาบจะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่มชุ่มชื่นพร้อมกับกลิ่นหอม ขณะที่โยเกิร์ตมีส่วนช่วยให้รูขุมขนแลดูกระชับ และน้ำผึ้งขึ้นชื่อในเรื่องของการต้านเชื้อแบคทีเรีย หากนำส่วนผสมเหล่านี้มาผสมผสานกันให้ลงตัว แล้วพอกใบหน้าทิ้งไว้ จะส่งผลให้สุขภาพผิวหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ใช้ หากทำเป็นประจำผิวหน้าจะกระจ่างใส มีออร่ามากขึ้น
         สูตรบำรุงผิวหน้าแบบ DIY นี้ จะฟื้นบำรุงผิวแบบธรรมชาติ ไม่มีผลข้างเคียงให้กังวลใจ ที่สำคัญได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง ท่านผู้อ่านสามารถเลือกใช้สูตรข้างต้นได้ตามใจชอบตามความถนัดและสะดวกในการหาส่วนผสม ทั้งนี้ ถ้าจะให้เห็นผลชัดเจนขึ้นก็ควรบำรุงผิวหน้าจากภายในด้วย โดยการเน้นรับประทานผักผลไม้มากๆ แล้วสารอาหารที่มีประโยชน์ต่ผิวจะเข้าไปฟื้นฟูสภาพผิวให้ขาวใสสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

ให้วอนจินช่วยผลัดเซลล์ผิว
หน้าไม่ใส หน้าหมองคล้ำ ดูแก่ก่อนวัย คุณกำลังเผชิญกับปัญหาเหล่านี้อยู่รึเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็ คำถามถัดมาก็คือแล้วจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไรกันล่ะ นี่จึงเป็นที่มาของการผลัดเซลล์ผิวนั่นเอง การผลัดเซลล์ผิวจะช่วยกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วแต่ตกค้างอยู่บนใบหน้าออก ซ้ำยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ที่ใสและมีสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย ดังนั้นการผลัดเซลล์ผิวจึงทำให้หน้าใสขึ้นได้จริงๆอย่างเห็นผล โดยเฉพาะการผลัดเซลล์ผิวกับผลิตภัณฑ์สูตรพิเศษจาก วอนจิน โรงพยาบาลศัลยกรรมอันดับ 1 ของเกาหลี ที่จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่า วอนจินเข้าใจถึงปัญหาด้านความงามอย่างแท้จริง นี่จึงเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ Brightening Peel AHA สำหรับการผลัดผิวอย่างอ่อนโยน และ Refining Activator โทนเนอร์ BHA สำหรับการทำความสะอาดล้ำลึก แล้วคุณจะพบว่าหน้าใสไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ยารักษาส้นเท้าแตก มหัศจรรย์ รักษาส้นเท้าแตก และช่วยบำรุงผิว

         ปัญหาส้นเท้าแตกเป็นตลกร้ายที่ใครเป็นคงขำไม่ออก เพราะนอกจากมันจะบั่นทอนความมั่นอกมั่นใจแล้ว บางคนเป็นหนักถึงขั้นเจ็บปวดส้นเท้ากันเลยทีเดียว โดยการที่ส้นเท้าแตกนั้นมักเกิดจากการกระทำของตัวเราเอง ที่มักจะใส่รองเท้าแตะ รองเท้าเปิดส้น และก็มักจะเดินในบ้านแบบเท้าเปล่า จะทำให้ส้นเท้าได้รับความเย็นจนกระทั่งผิวบริเวณนั้นแห้งแตกในที่สุด นอกจากนั้น น้ำหนักตัวที่มากเกินไป รวมถึงการใส่รองเท้าที่ด้อยคุณภาพก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดส้นเท้าแตก เนื่องจากผิวหนังบริเวณส้นเท้าได้รับแรงกระแทกมาก ทำให้ผิวหนาขึ้น
 
ปัญหาส้นเท้าแตก รู้ให้ทันป้องกันได้

         การป้องกันย่อมไว้ก่อนย่อมดีกว่าการแก้ไข ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผิวหนังที่ส้นเท้าแตก ประการแรกควรควบคุมน้ำหนัก อย่าให้กลายเป็นคนอ้วนเกินเกณฑ์ เพราะจะทำให้ส้นเท้าแตกได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงรองเท้าประเภทที่ทำร้ายส้นเท้า พยายามเลือกชนิดที่มีบริเวณส้นเท้าที่นุ่มนวล และดีไปกว่านั้นก็คือใส่ถุงเท้านุ่มๆด้วย

         ประการต่อมาคือให้รักษาความชุ่มชื้นของผิวหนังบริเวณส้นเท้าไว้ อย่าไปสัมผัสกับความเย็นโดยตรง เวลาเดินในบ้านหรือออฟฟิศ (โดยเฉพาะพื้นกระเบื้อง) ก็ควรสวมรองเท้า เพราะความเย็นจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น แห้งกร้าน ส้นเท้าแตกได้ง่าย และไม่ควรยืนนานๆบนพื้นที่แข็งกระด้าง เพราะทำให้ส้นเท้าต้องรับภาระหนัก สุดท้ายเมื่อไม่ไหวก็เกิดการปรับผิวบริเวณนั้นให้หนาขึ้นๆ ซึ่งจะทำให้ส้นเท้าแตกได้ และสุดท้ายสิ่งที่ป้องกันส้นเท้าแตกได้ดีที่สุดคือการดูแลผิวจากภายใน ด้วยการดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน ทำให้ผิวมีความชุ่มชื่น ยืดหยุ่น ป้องกันปัญหาส้นเท้าแตก
 
วิธีแก้ปัญหาส้นเท้าแตก

         1.น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันงา เมื่อเกิดปัญหาส้นเท้าแตก ทั้งสองอย่างนี้สามารถใช้รักษาส้นเท้าแตกได้ เพียงแค่นำน้ำมันมานวดทาบริเวณส้นเท้าสักประมาณ 15 นาที โดยไม่ต้องล้างออกก็จะช่วยให้ผิวหนังที่ส้นเท้าแลดูเนียนนุ่ม ชุ่มชื่น ลดปัญหาส้นเท้าแตกได้
         2.หินขัดเท้า เป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมใช้รักษาส้นเท้าแตกกัน เพราะใช้ได้ตามสะดวก และเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุได้ดี ทั้งนี้ ถ้าดูแลส้นเท้าไม่ดีก็มีโอกาศจะกลับมาเป็นได้อีก ดังนั้น จึงควรใช้หินขัดเท้าควบคู่ไปกับวิธีอื่นๆด้วย เช่น การทาครีมแก้ส้นเท้าแตก เป็นต้น

         3.ครีมทาส้นเท้าแตก หรือครีมมอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น โดยให้ใช้ทาถูนวดบริเวณเท้าและส้นเท้าเป็นประจำหลังการขัดเท้าหรือก่อนนอนและสวมถุงเท้าทับหลังทาเสร็จทุกครั้ง ครีมทาส้นเท้าแตกมักมีส่วนผสมของยูเรียที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและช่วยบรรเทาอาการส้นเท้าแตกให้ดีขึ้น ที่นิยมใช้ก็เช่น ศิริราชซอฟแคร์ ครีม Du’it ครีม Nash ครีม Ellfy plus ครีมนิจิดีส์ (nichidi) ครีม Scholl foot cream และครีมPolka
         4.แช่เท้าในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชูและน้ำยาบ้วนปาก วิธีนี้อาจดูพิลึกพิลั่นไปนิด แต่ผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจแน่นอน โดยให้ใช้น้ำอุ่น น้ำส้มสายชู และน้ำยาบ้วนปากอย่างละเท่ากัน แล้วแช่เท้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แต่บางคนก็แช่เท้าในน้ำส้มสายชูผสมกับน้ำยาบ้วนปากอย่างละครึ่งถ้วยก่อนประมาณ 20-30 นาที แล้วค่อยแช่เท้าในน้ำอุ่นทิ้งไว้อีกครึ่งชั่วโมง จากนั้นขัดส้นเท้า แล้วล้างเท้าให้สะอาด เช็ดเท้าให้แห้งและทาด้วยครีมบำรุงสำหรับทาส้นเท้าแตกอีกครั้ง
         5.เปลือกกล้วยหอม ให้นำเปลือกกล้วยมาถูบริเวณที่ส้นเท้าแตก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที กรดผลไม้และสารอาหารในเปลือกกล้วยจะช่วยลอกผิวและสมานส้นเท้าที่แตกให้กลับมามีสุขภาพผิวที่ดีขึ้นได้ โดยวิธีการใช้เปลือกกล้วยหอมนี้ได้รับความนิยมอย่างมากและมีการรีวิวจากผู้ใช้จริงมากมายว่าได้ผลดีเยี่ยม

สุดยอดเคล็ดลับ เนรมิตใบหน้าอ่อนกว่าวัยภาย ใน 9 วัน

         คุณอยากรู้ความลับที่เสกให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัย ภายในเวลาเพียง 9 วันหรือเปล่า..!?
 เถ้าหากมีวิธีง่ายๆที่จะช่วยเนรมิตรเปลี่ยนใบหน้าอ่อนกว่าวัยได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเช่นนั้นจริงๆ แน่นอนว่าทุกคนคงอยากที่จะรู้เคล็ดลับดั่งกล่าวซึ่งบทคามชิ้นนี้กำลังจะกระซิบบอกกับคุณว่า มันมีวิธีช่วยทำให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัยได้จริง แถมยังง่ายเสียจนไม่น่าเชื่อเลยอีกต่างหาก

เคล็ดลับเนรมิตใบหน้าอ่อนกว่าวัยใน 9 วัน
 เมื่อคุณมองกระจก และพบว่าใบหน้าเริ่มเกิดริ้วรอย รอยแห้งกร้าน และรอยตีนกา ความตึงเครียดย่อมเริ่มปรากฏขึ้นในจิตใจของคุณอย่างแน่นอน ซึ่งความเครียดดั่งกล่าวยิ่งเป็นตัวกระตุ้นด้านลบ ที่ส่งผลให้ผิวของคุณดูแก่มากขึ้นอีก 3-6 ปี เลยทีเดียว แต่ถ้าหากคุณสามารถชะลอ หรือกำจัดความเครียดออกไปได้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็จะตรงกันข้าม คุณสามารถที่จะย้อนอายุผิวให้กลับไปดูอ่อนเยาว์ได้มากขึ้น ถึง 3-6 ปี ได้เช่นเดียวกัน แล้วยิ่งคุณสามารถใช้ชีวิตตามแผน 9 วัน เพื่อให้สามารถบรรลุถึงการมีใบหน้าอ่อนกว่าวัยได้มากขึ้นกว่าเดิม แต่อาจจะมีหลายคนสงสัยว่า ทำไมถึงต้องกำหนดเวลาเอาไว้ที่ 9 วัน นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อคนเราได้ทำการพักผ่อนจากการเรียน การทำงาน และความเครียด ด้วยวันหยุดยาวเป็นเวลา 9 วัน เมื่อส่องกระจกอีกครั้ง จะพบว่าผิวของตัวเองดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว เอาล่ะ.. สำหรับใครที่พร้อมแล้วกับแผนการ 9 วัน เพื่อให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัยมากยิ่งขึ้น สามารถเริ่มแผนการชีวิต 9 วัน ตามคำแนะนำต่อไปนี้ได้เลย แต่ขอแนะนำให้วันแรกที่เริ่มทำตามแผนการเป็นวันเสาร์ เพื่อให้การพักผ่อนผิวของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

วันที่1 : ลดความซับซ้อน เริ่มต้นจากการสร้างนิสัยการดูแลผิวหน้าเป็นประจำทุกวัน แต่ใช่ว่าการทำความสะอาดและดูแลผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ในท้องตลาดจะดีต่อผิวของคุณเสมอไป คุณควรรู้จักการทำความสาดพื้นฐานด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน บำรุงผิวด้วยครีมกันแดดในตอนกลางวัน และครีมบำรุงผิวในตอนกลางคืน พร้อมกับเริ่มต้นสร้างตารางการนอนหลับให้เป็นปกติ คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการนอนหลับเป็นเพียงสิ่งหนูหราฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็น แต่ที่จริงแล้วถ้าหากต้องการให้ใบหน้าอ่อนกว่าวัย คุณจำเป็นต้องนอนหลับอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้ทำการรักษาและฟื้นฟูเซลล์ทั่วร่างกาย
วันที่ 2 :  ผ่อนคลาย คูณสามารถผ่อนคลายตัวเองด้วยการพบปะสังสรค์กับเพื่อนๆที่ทำให้คุณรู้สึกสนุก จองบริการนวด หรือแม้แต่การพักดิ่มกาแฟอย่างเรียบง่ายใยตอนบ่าย รวมถึงเริ่มต้นการออกกำลังกายอย่างง่ายๆ เพื่อให้ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดให้น้อยลง
วันที่ 3 : สู่เส้นทางสีเขียว ผ่อนคลายตัวเองด้วยการไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ เดินเร็ว 20 นาที ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเช้า หรือยามเย็น เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุงด้วยวิตามิน D และดื่มชาเขียว ที่มีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
 วันที่ 4 : การกินที่สะอาดหมดจด เลือกอาหารที่มีสารอาหารสูง คาร์โบไฮเดรต กรดไขมัน และปริมาณน้ำตาลน้อย ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยทำให้ผิวเรียบ
 วันที่ 5 : โยกย้ายส่ายสะโพก จัดตารางให้ตัวคุณมีโอกาสโยกย้ายส่ายสะโพกออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และการหายใจเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับลดช่วงเวลาในการนั่งแช่ตัวทำงานอยู่ที่โต๊ะนานๆ

วันที่ 6 : เข้าสังคม วางแผนการรับประทานอาหารค่ำร่วมกับเพื่อน หรือครอบครัว เพื่อแบ่งปันช่วงเวลาที่ดี และหัวเราะพร้อมกัน
วันที่ 7 : ต่อสู้กับความเครียด เรียนรู้ที่จะนั่งสมาธิ ที่จะช่วยให้คุณสามารถต่อสู้กับความเครียด และยังช่วยทำให้สมองของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น
วันที่ 8 : นอนหลับให้มากขึ้น การนอนหลับที่เพียงพอ จะช่วยทำให้ร่างกายลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ และซ่อมแซมเซลล์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการเพิ่มความสุขในชีวิต เพื่อสร้างเสริมความแข็งแกร่งในร่างกายของตัวเอง
 วันที่ 9 : หยุดชั่วคราว ใช้เวลาสักครู่ที่จะพักผ่อน และรู้จักกันให้รางวัลกับตัวเอง พร้อมกับพิจราณาวิธีการต่างๆ ที่จะสามารถนำมาใช้พัฒนาชีวิตประจำวันของคุณให้ดีมากยิ่งขึ้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ไขความลับแบบเจาะลึกโสมญี่ปุ่น เร่งผิวขาว ได้จริงหรือ?

         “โสม” เป็นพืชสมุนไพร ที่มักจะพบได้บ่อยครั้งในตำรายาแบบชีวิต ที่เน้นในเรื่องของการบำรุงสุขภาพ และได้รับความนิยมอย่างมากจากประโยชน์ของสารประกอบต่างๆ แต่ที่จริงแล้วเรื่องราว รวมไปถึงประโยชน์ของโสมจริงๆนั้นมีน้อยคนมากที่จะรู้ลึกจริงๆ โดยเฉพาะโสมญี่ปุ่น เร่งผิวขาว ซึ่งเป็นสรรพคุณใหม่ที่ได้ถูกค้นพบในวงการเสริมความงามในปัจจุบัน สำหรับบทความในวันนี้จะขอพาทุกท่านไปทำการเจาะลึก ถึงความลับของโสมญี่ปุ่น เร่งผิวขาว ว่าสารประหอบตัวใด ภายในโสม ที่สามารถช่วยบำรุงผิวพรรณให้ขาวขึ้น

โสมญี่ปุ่น คืออะไร
         โสม เป็นหนึ่งใน 11 พืชสมุนไพรที่เติบโตช้า มีรากอ้วน โดยส่วนใหญ่แล้วโสมจะถูกแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ Araliaceae พบมากในไซบีเรีย ภาคเหนือของจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือโสมสายพันธุ์ Panax vietnamensis เป็นโสมเขตร้อน ที่พบมากในเวียดนาม ซึ่งโสมทั้งสองประเภทนี้ ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เพียงแต่แตกต่างกันในภูมิลำเนาถิ่นกำเนิดเท่านั้น แต่โสมที่ได้รับความนิยมกันมากในฐานะยาบำรุงร่างกายคือ โสมจีน ชาโสมเองก็ได้กลายมาเป็นแฟชั่นล่าสุดของเหล่าประเทศตะวันตก ในฐานะของเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ เพราะโสมสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็วมากขึ้นผ่านการดื่ม นอกจากนี้ยังผลิตภัณฑ์แปรรูปจากโสมในฐานะอาหารเสริม อย่างแคปซูลบรรจุผงโสม ที่สกัดจากรากโสมวางจำหน่ายอยู่ในร้านค้าทางการแพทย์ในฝั่งตะวันตกกันอย่างมากมายเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน โสมเกาหลี และโสมญี่ปุ่นเอง ก็ถูกนิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมให้ผลิตภัณฑ์เสริมความงามมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะโสมมีผลต่อทั้งสุขภาพ รวมไปถึงความงามในรูปแบบต่างๆอย่างมากมายเลยทีเดียว ซึ่งประโยชน์บางส่วนของโสม ที่ส่งผลต่อผิวนั้น มีดังต่อไปนี้

ประโยชน์ของโสมญี่ปุ่น ในการบำรุงผิวพรรณ
         โสมญี่ปุ่น เร่งผิวขาว ฟังดูคล้ายจะเป็นเพียงความเชื่อ แต่ในความเป็นจริงแล้วโสมมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและความงามเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ซึ่งประโยชน์ของโสมญี่ปุ่น เร่งผิวขาว มีดังต่อไปนี้

         1.ต่อต้านริ้วรอย โสมญี่ปุ่นมีคุณสมบัติในการช่วยต่อต้านริ้วรอย ด้วยสารอาหารจำนวนมากที่เป็นอาหารอันจำเป็นต่อผิว เพื่อให้สามารถฟื้นฟูตัวเองหลังจากที่ถูกทำลายจากแสงแดด รวมไปถึงมลภาวะต่างๆในชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มปรสิทธิภาพ นอกจากนี้โสมญี่ปุ่นยังช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวมีความกระชับ ยืดหยุ่น ซึ่งเป็นการช่วยลดริ้วรอยโดยรวมบนร่างกายให้น้อยลงนั่นเอง
         2.ปรับปรุงฟื้นฟูผิว ในรากโสมญี่ปุ่นและใบ อุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ส่งผลดีต่อสุขภาพผิวโดยรวม โสมญี่ปุ่นสามารถช่วยเผาผลาญเซลล์ผิว และขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ รวมไปถึงกระบวนการผลิตเซลล์ผิวใหม่ที่มีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น เพิ่มการไหลเวียนโลหิตให้ดีมากขึ้น ผิวพรรณจึงมีความสดใสมากยิ่งขึ้น เพียงแค่ใบของโสมญี่ปุ่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผิวขอตุณมีสุขภาพที่ดี เรืองแสงมากยิ่งขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลว่าทำไมโสมญี่ปุ่น เร่งผิวขาว จึงมักถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เสริมความงามทั่วโลก
         3.โทนเนอร์จากธรรมชาติชั้นยอด โสมญี่ปุ่นยังมีคุณสมบัติที่ดีในการช่วยทำให้ใบหน้ามีความสดชื่น ปรับปรุงการสร้างคอลลาเจน พร้อมกับช่วยลดจุดด่างดำบนใบหน้าให้น้อยลง คุณสามารถทำการพอกบำรุงผิวหน้าของตัวเองด้วยโสมญี่ปุ่นอย่างง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำมันโสม ผสมกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำผึ้ง หรือน้ำ แล้วทำการพอกบำรุงผิวหน้าสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ในการบำรุงที่ดีที่สุด
              

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เคล็ดลับสร้างแก้มชมพู ธรรมชาติ สีกุหลาบสดใสด้วยตัวคุณเอง

         แก้มชมพู ธรรมชาติ หรือแก้มสีดอกกุหลาบ ถือเป็นลักษณะของผิวที่มีความโดดเด่น ดีเลิศแห่งความงามอย่างเป็นธรรมชาติอันน่าชวนมอง ทำให้ไม่น่าแปลกใจเลยที่เรามักจะได้เห็นลักษณะของการปัดแก้มแก้มชมพู ธรรมชาติ ขึ้นตามหน้าปกนิตยสารชื่อดังระดับโลกอยู่บ่อยครั้ง รวมไปถึงเหล่าซุปเปอร์สตร์คนดังในจอภาพยนตร์อีกมากมายเองต่างก็ปัดแก้มแก้มชมพู ธรรมชาติ แน่ใจได้เลยว่า คุณสาวๆอยากที่จะครอบครองแก้มชมพู ธรรมชาติ โดยไม่ต้องใช้บรัชออน หรือเครื่องสำอางราคาแพงหูฉี่ในท้องตลาด ณ ปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากคุณกำลังมองหาวิธีทำให้แก้มชมพู ธรรมชาติอยู่ล่ะก็ บทความชินนี้กำลังจะช่วยเผยความลับที่มีประสิทธิภาพ ในการเนรมิตให้แก้มของคุณกลายเป็นสีกุหลาบ อย่างเป็นธรรมชาติเลยทีเดียว

วิธีการสร้างผงปัดแก้มชมพู ธรรมชาติด้วยตัวคุณเอง
 เพื่อให้แก้มของคุณสาวๆ เรืองแสงอมชมพูราวกับสีของดอกกุหลาบนั้น คุณสามารถเริ่มต้นได้จากส่วนผสมต่างๆภายในห้องครัวของคุณเอง ผัก ผลไม้ และส่วนผสมอื่นๆที่คุณมองข้าม สามารถนำมาผสมรวมกันให้กลายเป็นผงปัดแก้มสีชมพูสดใส ที่จะช่วยเปลี่ยนตัวคุณให้กลายเป็นคนใหม่ชวนมองได้อย่างมหัศจรรย์เลยทีเดียว ซึ่งเจ้าเหล่าวัตถุดิบที่น่าสนใจเหล่านั้นก็ได้แก่
 1.กล้วย เพียงแค่คุณนำกล้วยประมาณ 2 ลูก มาบดให้ละเอียด จากนั้นนำพวกมันมาพอกบริเวณแก้ม หรือพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ กล้วยบดก็จะช่วยทำให้แก้มชมพู ธรรมชาติแล้ว
 2.ขี้ผึ้ง ต้มขี้ผึ้งประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะให้นิ่ม ผสมดินขาวลงไปแล้วบดรวมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำส่วนผสมที่ได้มาทาพอกให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอของคุณ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างทำความสะอาดออก คุณก็จะพบว่าผิวของตัวเองดูชมพู เรืองแสงมากขึ้นเหมือนกับดอกกุหลาบ
 3. ถั่วอินเดีย หรือ Masoor daal โดยนำถั่วอินเดียเต้มลงในนมที่ต้มด้วยไฟอ่อนๆ เป็นเวลา 30 นาที หลังจากนั้นให้พักส่วนผสมลงจากเตา เติมดินขาวลง ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้ทาลงบนผิวหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
4.ครีมนม 3 ช้อนชา + ผงแป้ง 1 กรัม + รำข้าวสาลี + นมเปรี้ยว ผสมส่วนผสมเหล่านี้ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นนำไปพอกบนผิวหน้าเป็นเวลาประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ คุณก็จะได้ผลผิวที่เนียนนุ่มเหมือนกับผลไม้แลยทีเดียว
 5.เยื่อแตงกว่า แตงกว่าบดละเอียด เป็นตัวกระตุ้นผิวชั้นยอด เซลล์ผิวใหม่ที่เกิดขึ้นมาแทนที่ผิวหนังที่เสื่อมสภาพจะเป็นสีชมพู และยังช่วยลดรอยหมองคล้ำ รวมไปถึงลดความเครียดของผิวให้น้อยลงอีกด้วย

         6.น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ มีคุณสมบัติช่วยเปลี่ยนให้เป็นสีชมพูระเรื่อเหมือนดอกกุหลาบ
 7.น้ำมะนาว+นม เพียงผสมน้ำมะนาวปริมาณ ¼ ลงไปในน้ำนม แล้วนำไปนวดใบหน้าของคุณให้ทั่ว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับระบบการไหลเวียนโลหิต เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถที่จะมีแก้มเป็นสีชมพูเรืองแสงได้แล้ว
8.ผมเปลือกส้ม+ครีมนม เป็นส่วนผสมที่ดีในการช่วบพอกบำรุงใบหน้าของคุณ ให้แก้มชมพู ธรรมชาติมากยิ่งขึ้น
 9.อัลมอนด์บด+กลีบกุหลาบบด ประมาณ 5 ช้อนชา น้ำผลไม้ สะระอหน่ และน้ำผึ้ง เป็นหนึ่งในส่วนผสมที่ลงตัวในการช่วยบำรุงแก้มของคุณ นำส่วนผสมที่ได้ไปแช่ตู้เย็นประมาณ 5-6 วัน จากนั้นจึงค่อยนำมาใช้พอกหน้าก่อนการเข้านอน
 นอกจากนี้แล้ว การรัปประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการยังมีบทบาทสำคัญในการทำให้แก้มของคุณกลายเป็นสีชมพูมากขึ้น เช่น ผลไม้สด น้ำผลไม้ ผักสด นม เพราะใบหน้าของคุณต้องการบำรุงด้วยวิตามิน E และ C นอกจากนี้ ถ้าหากอยากมีแก้มสีชมพูอย่างยาวนาน คุณไม่ควรที่จะลืใออกกำลังเป็นประจำ เพื่อลดความเครียด เพิ่มภูมิต้านทาน และระบบไหลเวียนโลหิตให้ดีมากยิ่งขึ้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ใครผิวหน้าแห้งยกมือขึ้น มาดูวิธีดูแลผิวกัน

         สภาพผิวของแต่ละคนมีความแตกต่างกัน จึงทำให้เจอกับปัญหาผิวไม่เหมือนกัน อย่างเช่น คนผิวมันก็เป็นสิวง่าย รูขุมขนกว้าง เป็นต้น วันนี้ที่เราต้องมาพูดถึงคนผิวหน้าแห้ง เพราะว่าปัจจุบันมีหลายคนกำลังเจอปัญหาผิวหน้าแห้ง ลอกเป็นขุยเล่นงาน โดยมักเกิดจากต่อมไขมันผลิตน้ำมันตามธรรมชาติ ซีบัม (sebum) ออกมาน้อย จึงทำให้ผิวหน้าแห้งกร้านโดยเฉพาะเมื่อไปอยู่ในบริเวณที่อากาศเย็น เช่น ออฟฟิศ ห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้คนผิวหน้าแห้งยังต้องพบกับปัญหาริ้วรอยก่อนวัย ผิวหยาบขาดชีวิตชีวาอีกด้วย
         แม้ว่าคนผิวหน้าแห้งจะมีข้อดีตรงที่รูขุมขนไม่กว้างและผิวดูละเอียดกว่าผู้ที่มีผิวมัน แต่จะได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อมทำให้เกิดความแห้งกร้านและระคายเคืองมากกว่าผิวประเภทอื่น จึงต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ มาดูกันว่าควรดูแลอย่างไร สำหรับคนผิวหน้าแห้ง

 

การดูแลสำหรับคนผิวหน้าแห้ง
         ใครที่มีผิวหน้าแห้งตึง ควรท่องคติประจำใจไว้ว่า “ปกป้อง ส่งเสริม ฟื้นฟู และแก้ไขให้ตรงจุด” อย่าปล่อยให้ผิวสูญเสียดุลยภาพไปนานๆ เพราะนอกจากจะขาดความสวยงามแล้ว ยังทำให้ผิวไวต่อสิ่งกระตุ้นระคายเคืองได้ง่าย ทั้งยังทำให้ผิวแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น หน้าแก่ก่อนวัยอันควร เมื่อถึงจุดนั้นจะแก้ไขให้เซลล์ผิวกลับมาสุขภาพดีได้ยาก
         1.ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสูตรอ่อนโยน เพื่อขจัดเครื่องสำอางที่ตกค้างและเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ได้แก่ คลีนซิ่งโฟมสูตรอ่อนโยนเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียน้ำมันตามธรรมชาติของผิวและห้ามใช้สบู่ล้างหน้า และควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ เพื่อความชุ่มชื้นให้ผิวหน้า ผิวจะได้ไม่แห้งตึง เป็นขุย และถ้าล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแล้วต้องล้างซ้ำด้วยน้ำเย็นเพื่อให้ผิวสดชื่นขึ้นและเกิดความยืดหยุ่น
         2.ทาครีมที่ให้ความชุ่มชื้นหรือมอยส์เจอไรเซอร์ การทาครีมบำรุงผิวหน้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนผิวหน้าแห้ง เพราะจะช่วยให้เชลล์ผิวคงดุลภาพที่ดีอยู่ได้อย่างยาวนาน และควรทาบำรุงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง กรณีที่ผิวหน้าแห้งมากจนเกิดเป็นขุยควรทาซ้ำบ่อยๆ ระหว่างวัน โดยไม่จำเป็นต้องล้างหน้า สามารถทาทับได้เลย
         3.ทาอายครีมบริเวณรอบดวงตาและบำรุงผิวที่คอ เพราะคนผิวหน้าแห้งจะเกิดริ้วรรอยแห่งวัยได้ง่าย จึงจำเป็นต้องฟื้นบำรุงผิวอยู่เสมอด้วยการแต้มครีมเบาๆจากหางตาลากมาหัวตาแล้วกดเบาๆ ที่สำคัญควรทาครีมบำรุงผิวที่ลำคอเพื่อป้องกันรอยเหี่ยวย่น โดยทาจากฐานลำคอขึ้นไป ทั้งนี้ ควรทาในช่วงกลางคืน

         4.มากส์หน้าเพิ่มความชุ่มชื้น สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าแห้งโดยเฉพาะ แต่คนที่ไม่มีปัญหาก็สามารถใช้ได้เช่นกัน วิธีการคือให้นำงา 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ และกล้วยหอม 1 ผลมาผสมและปั่นรวมกันให้เป็นเนื้อเนียนละเอียด จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้ายกเว้นบริเวณรอบดวงตาและปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ แล้วตามด้วยน้ำเย็นทันที
         5.บำรุงผิวหน้าด้วยสูตรแก้ไขผิวแห้ง ใครที่มีผิวหน้าแห้งแต่หลีกเลี่ยงแดดและลมไม่ได้ ทำให้ผิวเกิดปัญหาความหยาบกร้านและเหี่ยวย่น ควรบำรุงผิวด้วยสูตรนี้ ให้นำสตรอเบอร์รี่ 2 ผลและแอปเปิล ¼ ผล (ปอกเปลือก) มาปั่นให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากผิวที่เคยแห้งตึง จะรู้สึกว่ามีความยืดหยุ่น สดชื่นมากขึ้น
         นอกจากการฟื้นบำรุงผิวหน้าอยู่เสมอแล้ว คนผิวหน้าแห้งไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะเป็นการชะล้างไขมันที่ช่วยเคลือบ ทำให้ความชุ่มชื้นในผิวหนังสูญเสียไป ผิวจึงแห้งมากขึ้น เกิดการระคายเคืองได้ง่าย และควรดื่มน้ำให้มากพอ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว หลีกเลี่ยงการถูกรบกวน เช่น การอบซาวน่า การขัดผิว ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งลง รวมไปถึงการตากแดดหรือทำงานกลางแจ้งและการสัมผัสสารเคมีบางอย่าง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เลือกครีมขาวใสตรงกับสภาพผิว มีชัยไปกว่าครึ่ง

         สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องความสวยความงาม สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ในยุคสมัยนี้ก็คือ “ครีมขาวใส” เพราะเจ้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้ขาวสว่างกระจ่างใสนี้เองที่จะเป็นตัวช่วยให้สุขภาพผิวของคุณดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมันจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ขาวเปล่งประกายมาจากภายใน มิใช่เพียงการแต่งแต้มให้สวยแค่ภายนอกเฉกเช่นเครื่องสำอางค์ และด้วยความสำคัญของครีมขาวใสจึงทำให้ผู้ประกอบการแต่ละรายงัดสรรพคุณแสนวิเศษมาอวดกันอย่างดุเดือด ข้อดีก็คือช่วยให้มีตัวเลือกมากขึ้นในการตัดสินใจของผู้บริโภค ทว่าในความมากมายหลากหลายนี้เราจำเป็นต้องพิจารณาให้ถ้วนถี่เสียก่อนที่จะเลือกใช้ครีมขาวใส

 

ครีมขาวใสที่เหมาะกับผิวหน้าคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
        1.คนผิวมัน ผิวหน้าของคนในบ้านเรามักมีผิวมัน เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าว ซึ่งการมีผิวมันทำให้ถูกมลภาวะ ฝุ่นควัน แสงแดด เล่นงานเอาง่ายๆ จะสังเกตได้ว่าคนไทยโดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นมักเป็นสิวกันมาก และมักมีรูขุมขนกว้าง ผิวหน้าไม่เรียบเนียนคล้ายผิวเปลือกส้ม ซึ่งคนที่มีผิวมันนี้จะเกิดการขับน้ำมันออกมาจากผิวมากผิดปกติ ทำให้หน้าดูมันเยิ้ม เกิดปัญหาผิวได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่นๆ แต่ข้อดีของคนผิวมันก็คือเกิดริ้วรอยรอยช้ากว่า เพราะมีความชุ่มชื่นของผิว
        สำหรับการเลือกใช้ครีมขาวใส ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมอยเจอร์ไรเซอร์มากนัก เพราะผิวมีความชุ่มชื้นในระดับหนึ่งอยู่แล้ว หากได้รับน้ำมันจะยิ่งทำให้ผิวหน้ามันเยิ้มเข้าไปอีก ทั้งนี้ คนผิวมันควรล้างทำความสะอาดหน้าด้วยโฟมหรือสบู่อ่อน 2-3 ครั้งต่อวัน ถ้าล้างบ่อยเกินไปจะทำให้ผิวแห้ง และเกิดการระคายเคืองได้
        2.คนผิวแห้ง คนที่มีสภาพผิวนี้จะมีผิวเรียบเรียนมาก รูขุมขนเล็ก ไม่ค่อยมีปัญหาสิวเสี้ยน แต่จะพบอาการผิวหน้าลอกเป็นขุยง่าย และเกิดริ้วรอยได้มากกว่าผิวประเภทอื่น เนื่องจากผิวแห้งเป็นผิวที่ขาดความชุ่มชื้น คนที่มีผิวแห้งจึงต้องดูแลเอาใจใส่ผิวหน้ามากเป็นพิเศษ หลีกเลี่ยงสภาวะที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อผิว เช่น การโดนแดดจัดเป็นเวลานาน การสัมผัสกับอากาศร้อนหรือเย็นเกินไป เป็นต้น การเลือกใช้ครีมหน้าใสของคนผิวแห้ง ควรเลือกใช้ครีมบำรุงที่มีมอยส์เจอร์ไรเซอร์ นม และโยเกิร์ต เพราะจะช่วยสร้างความชุ่มชื้นและป้องกันการเกิดริ้วรอยได้ดี

        3.คนผิวธรรมดา หมายถึงผิวที่มีความเรียบเนียน มีความยืดหยุ่นดี รูขุมขนละเอียด เหมือนอยู่ตรงกลางระหว่างผิวมันกับผิวแห้ง ซึ่งใครที่เกิดมาเป็นคนผิวธรรมดาถือว่าโชคดีมาก เพราะมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องผิวพรรณ อยู่ในสภาวะที่มีอากาศร้อนผิวก็ไม่มันเยิ้ม อยู่ในที่ที่มีอากาศเย็นก็ไม่แห้งเป็นขุย ดูแลง่าย ทั้งนี้ ก็ควรเลือกใช้ครีมหน้าใสที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ เพราะจะเพิ่มความชุ่มชื่นแก่ผิว และควรทาครีมกันแดดออกจากบ้านทุกครั้ง เพื่อเป็นเกราะป้องกันอันตรายที่จะอาจถูกทำร้ายได้จากแสงแดด
        4.คนผิวผสม เป็นอีกหนึ่งสภาพผิวที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ซึ่งจะมีความยุ่งยากมากในการดูแลรักษา เพราะผิวจะมีลักษณะหลากหลาย แต่โดยส่วนใหญ่มักเป็นขุยและแห้งตรงบริเวณแก้ม การเลือกครีมขาวใสของคนผิวผสมจะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศ อย่างเช่น ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งแบบกลางวันและกลางคืน แต่ในปัจจุบันถือว่าไม่ใช่เรื่องยุ่งยากมากนัก เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้เลือกสรรมากมายตามท้องตลาด
        ท่านผู้อ่านลองสำรวจดูว่าตนเองเป็นคนผิวประเภทไหน จะได้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ดี เหมาะสมกับสภาพผิว เพราะถ้าเลือกครีมขาวใสตรงกับสภาพผิว การมีผิวสวยสุขภาพดีก็จะไม่ใช่เรื่องยาก ในทางตรงกันข้ามหากเลือกครีมผิดประเภทจะยิ่งทำให้ปัญหาผิวทรุดหนัก เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ตรงจุด

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ผิวสีน้ำผึ้ง ทําไง อยากรู้ต้องดู

         ใครบอกว่ามีแต่ฝรั่งตาน้ำข้าวเท่านั้นที่ชื่นชอบผิวสีแทน ตอนนี้ผิวสีน้ำผึ้งก็กำลังมาแรงในหมู่สาวเอเชียไม่แพ้กัน เนื่องจากผิวสีแทน หรือผิวสีน้ำผึ้งนั้นจะทำให้ดูเซ็กซี่ มีเสน่ห์ดึงดูดได้มากกว่า ฉะนั้น ใครที่เกิดมามีผิวสีแทนจงภูมิใจเถิดว่าคุณคือเพชรเม็ดงามของชาวต่างชาติ แล้วสำหรับคนที่มีผิวขาวอมชมพูล่ะ ถ้าอยากได้ผิวสีน้ำผึ้ง ทําไง วันนี้เรานำวิธีเปลี่ยนสาวผิวขาวให้กลายเป็นผิวสีน้ำผึ้งมาฝาก
         แต่ก่อนจะไปที่วิธีการเปลี่ยนสีผิวขออธิบายก่อนว่า “ผิวสีน้ำผึ้ง” แตกต่างจาก “ผิวดำคล้ำ” เพราะคนที่มีผิวสีน้ำผึ้งจะแลดูมีสุขภาพผิวที่ดีกว่า เช่น มีคความชุ่มชื้น เรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอกัน ตรงกันข้ามกับคนผิวดำคล้ำที่มักมีสุขภาพผิวไม่ดี สีผิวไม่สม่ำเสมอ มีกระ ฝ้าขึ้นง่าย บางคนก็มีผิวแห้งอันเนื่องจากมาจากการถูกทำร้ายของมลภาวะ ดังนั้น ผิวสีน้ำผึ้งกับผิวดำคล้ำเสีย จึงมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

 

วิธีเปลี่ยนให้กลายเป็นคนผิวสีน้ำผึ้ง
         1.อาบแดด วิธีนี้เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ จะสังเกตได้ว่าฝรั่งชอบนอนอาบแดดกันริมหาด แต่สำหรับในบ้านเราควรหลีกเลี่ยงการตากแดดนานเกิน 10 นาที และไม่ควรอาบแดดในช่วงระหว่าง 10.00-15.00 น. ที่สำคัญควรทาครีมกันแดดที่มีค่า Sun Protection Factor (SPF) มากกว่า 15 ขึ้นไป และมีสารป้องกัน UVA มี Accessories พร้อมทั้งร่ม แว่นตา รองเท้า หมวก เพราะรังสียูวีเข้ามาได้ทุกทิศไม่ว่าจะเป็นแนวดิ่ง แนวสะท้อนกลับจากพื้นทราย และแนวขวางที่มาจากน้ำทะเล ทั้งนี้ หลังจากอาบแดดแล้วผิวจะแห้งมาก จึงควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เติมความชุ่มชื้นบรรเทาอาการอักเสบที่ผิว เพียงไม่กี่วันจะสังเกตเห็นว่าผิวจะกลายเป็นสีน้ำผึ้ง
         2.ใช้เครื่องอบผิวแทน (Sunbed) ผิวสีน้ำผึ้ง ทําไง ผู้ที่ต้องการทำผิวสีน้ำผึ้งจะต้องเข้าไปนอนในตู้ที่มีลักษณะคล้ายแคปซูล (Capsule) โดยภายในตู้จะเป็นการส่งผ่านแสงยูวี (UV-Ultraviolet) ชนิดเข้มข้น ฉายไปที่ผิว จนทำให้สีผิวกลายเป็นสีแทน วิธีนี้แม้จะมีข้อดีคือทำให้ผิวคงสีแทนไว้ได้ระยะเวลานานนับเดือน แต่ข้อเสียที่หลายคนต้องคิดหนักก็คือ มีความเสี่ยงให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ เนื่องจากขั้นตอนการฉายแสงยูวีเข้มข้นมาที่ร่างกายได้รับ ไม่ต่างกับการไปนอนให้แสงแดดแผดเผา กระตุ้นการเกิดมะเร็งผิวหนังไปหลายเท่าตัว อย่างไรก็ดี วิธีนี้ก็ยังได้รับความนิยม เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวกรวดเร็ว และกำลังมีการพัฒนาให้ลดผลข้างเคียงลง

         3.ทาครีมผิวแทนชั่วคราว (Cream Tan) ใครที่สงสัยว่าผิวสีน้ำผึ้ง ทําไง วิธีนี้ก็ถือเป็นอีกคำตอบหนึ่ง โดยมีข้อดีคือไม่ต้องเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนัง แต่จุดด้อยคือเมื่อทาครีมแล้วจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะด้วยความที่มีลักษณะเป็นเนื้อครีมที่เคลือบผิวไว้เท่านั้น ดังนั้น หากโดนแดดแล้วเกิดเหงื่อออก หรือมีใครแตะบริเวณที่ทาครีมก็อาจจะหลุดเป็นคราบออกมาได้ง่าย โดยครีมผิวแทนมักมีส่วนผสมของ Dihydroxyacetone (DHA) และ Lawsone ที่สกัดจากต้นอ้อย DHA จะไปทำปฏิกิริยากับโปรตีนเคราตินบนผิวชั้นบนสุด แล้วเปลี่ยนสีผิวให้เป็นผิวสีแทน ทั้งนี้ จะอยู่ได้เพียงแค่ 6-7 วันเท่านั้น เพราะผิวหนังชั้นบนมีการหลุดลอกอยู่ตลอดเวลา
         4.ใช้ตู้พ่นสเปรย์แทน นั่นคือการนำผู้ที่ต้องการทำผิวสีแทนเข้าไปในตู้ซึ่งสามารถพ่นสเปรย์ออกมาเพื่อเปลี่ยนสีผิวให้กลายเป็นสีแทน โดยวิธีนี้จะทำการเปลี่ยนสีผิวที่เคยขาว เป็นสีแทนได้ราวๆ 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นสีแทนที่พ่นไว้จะค่อยๆ หลุดลอกออกไปจนผิวกลายเป็นสีเดิม ใครที่สงสัยผิวสีน้ำผึ้ง ทําไง วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งหนทางที่ได้รับความนิยม เนื่องจากใช้เวลาไม่นาน และไม่ต้องเสี่ยงต่อผลข้างเคียง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.