หอมแดงรักษาสิว ลดเลือนจุดด่างดำ

          เมื่อพูดถึงสิว หลายคนมักเจ็บปวดใจกับอาการสิวเห่อบนใบหน้าที่ยากจะจัดการ ไม่ว่าจะลองวิธีใด หาหมอยิงเลเซอร์ก็แล้ว ซื้อผลิตภัณเสริมอาหารหรือครีมบำรุงรักษาสิวก็แล้ว แต่มันยังกลับมาทำร้ายผิวหน้า คอยรบกวนใจเราอยู่ร่ำไป สำหรับผู้ที่พบปัญหาเรื่องสิวเช่นนี้ ลองหันมาใช้วิธีการแบบธรรมชาติกันดูไหม นั่นคือการใช้หอมแดงรักษาสิว เพราะอาจเป็นวิธีกำจัดสิวบนใบหน้าของเราแบบไปแล้วไปลับ ก็เป็นได้

หอมแดงรักษาสิวได้อย่างไร
  ผักที่เราใช้ปรุงอาหารให้อร่อยถูกปากอย่างหอมแดง มีสารเคมีและสารอาหาร เช่น น้ำมันหอมระเหย ประกอบด้วย ไดอัลลิน ไตรซัลไฟต์ เช่นเดียวกับที่พบในกระเทียม นอกจากนี้ยังมีฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ เพคติน และลูโคคินิน ซึ่งสารเหล่านี้ มีคุณสมบัติช่วยให้เจริญอาหาร ยับยั้งแบคทีเรีย ลดไขมันในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ และในหัวหอมยังมีน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบด้วยสารกำมะถัน รวมถึงแร่ธาตุหลายชนิด เช่น เหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสในปริมาณสูงช่วยทำให้ความจำดี
นอกจากหอมแดงจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพภายในแล้ว ยังมีสรรพคุณช่วยในการรักษาสิว ลบรอยด่างดำที่เกิดจากสิวได้ดีอีกด้วย เพราะอย่างที่บอกว่าในหอมแดงสดจะประกอบไปด้วยน้ำมันหอมระเหย และสารต่างๆ หากนำหอมแดงรักษาสิว จะช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวนั่นเอง ทั้งยังมีคุณค่าต่อผิวพรรณในการฟื้นฟูสภาพผิวหน้าให้กลับมาเป็นปกติ

วิธีการใช้หอมแดงรักษาสิว
ให้นำหัวหอมแดงที่ล้างสะอาดแล้วมาฝาน ให้เป็นแว่นบางๆ หรือทุบเบาๆ ก็จะได้น้ำของหอมแดงออกมา ใช้นิ้วแตะน้ำที่ซึมออกมาจากหอมแดง แล้วทาบางๆ ไว้บริเวณที่เป็นสิว ฝ้า และจุดด่างดำ หรือวางแว่นหอมที่ฝานแปะไว้บนรอยบวมจากการบีบสิว และรอยด่างดำบนใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ทำเช่นนี้ทุกวันประมาณหนึ่งสัปดาห์ ช่วยให้ผิวหน้าบริเวณนั้นแลดูดีขึ้น ปัญหาสิว ฝ้า ร่องรอยด่างดำจากสิว จะค่อยๆจางหายไปในไม่ช้า
ทั้งนี้ สามารถคั้นเอาเฉพาะน้ำของหัวหอมแล้วนำไปแช่ตู้เย็นเพื่อดับกลิ่นและลดความซ่าที่อาจทำให้แสบผิว จากนั้นนำมาทาเม็ดผดผื่นคันก่อนเข้านอนทุกวันได้ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และลดความมันบนใบหน้า จึงไม่ก่อให้เกิดสิวได้ง่าย
สำหรับข้อควรระวังในการใช้ประโยชน์จากน้ำหอมแดงรักษาสิวคือ ในหัวหอมแดงจะมีสารกำมะถันซึ่งทำให้แสบตาแสบจมูก และทำให้ผิวหนังมีอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อนได้ จึงไม่ควรทาใกล้ๆกับบริเวณที่บอบบาง ได้แก่ ตา จมูก ปาก เป็นต้น

รีวิวจากผู้ใช้หอมแดงรักษาสิว
เพื่อเป็นการยืนยันถึงสรรพคุณในการใช้หอมแดงรักษาสิว เราลองไปดูคำรีวิวจากผู้ใช้จริง ที่บทความนี้ได้รวบรวมมาให้ท่านผู้อ่านได้มั่นใจ ก่อนไปลองใช้หอมแดงรักษาสิวกัน อย่างไรก็ตามแต่ละคนมีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ควรพิจารณาให้ถ้วนถี่หรือใช้วิธีการที่เราได้อธิบายไปข้างต้นเสียก่อน เพราะจะไม่สร้างความระคายเคืองต่อผิวพรรณแสนบอบบางมากจนเกินไป
“เราลองแล้วเห็นผลจริงๆ เราเป็นสิวที่ปลายคาง เป็นสิวเม็ดใหญ่แต่ไม่มีหัว ลองใช้หัวหอมทาดูหลังอาบน้ำทาทิ้งไว้ทั้งคืนไม่ต้องล้างออก เราเพิ่งทาได้ 3 วันเอง แต่สิวยุบเกือบเป็นปกติแล้ว ส่วนรอยดำที่เกิดจากสิวก็ค่อยๆลอกออกเรื่อยๆ เราว่าใช้ดีมากเลย เพราะเราเคยไปหาหมอเกี่ยวกับผิวพรรณมาแล้วเห็นผลจริงเวลาตอนใช้ยา แต่พอเลิกใช้ก็เป็นเหมือนเดิม หมดค่ายารักษาไปเป็นหมื่น เสียดายมาก เพื่อนๆที่เป็นสิวลองเอาไปทำดูรับรองหายแน่นอนแต่ต้องใจเย็นๆ นะค่ะ”
“เราเป็นสิวเยอะมากๆๆเลย ใช้ครีมแพงๆๆก็ไม่หาย เป็นสิวอักเสบแดงมากๆๆ ก็รองเข้ามาดูเว็บ นี่เราใช้ได้ 1 อาทิตย์ ไม่น่าเชื่อ สิวหายไวมากๆๆ จากสิวอักเสบ สิวอุดตัน สิวหนอง ไม่ขึ้นเลย ตอนนี้เหลือรอยแดงจางๆๆ จากแดงเข้มมากๆๆ เราหั่นบางๆๆ แล้วแปะไว้ทั้งคืน ทำทุกวัน หรือทำทั้งเช้ากับกลางคืนก็ได้ ดีจริงๆๆ ขอบอก สุดยอดเลย รู้ยังนี้ใช้ตั้งนานแล้ว (แต่แสบตามากๆๆ) 555555 อยากหายต้องทน”
“เราก็ใช้นะ เห็นผลเร็วกว่าครีมที่ขายทั่วไปแบบแพงๆอีก แต่แสบตานะ แต่อยากหายต้องยอมอ่ะ เราทาตอนดูหนัง พอหนังจบก็ล้างออก”

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มะเขือเทศ รักษาสิว

            การรักษาสิวด้วยวิธีที่ใช้ส่วนผสมแบบธรรมชาติ มีอยู่ด้วยกันหลากหลายอย่างให้เราเลือกปฏิบัติ “มะเขือเทศ” ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม เนื่องจากเห็นผลจริง ที่สำคัญปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง ทั้งยังเป็นวิธีการที่แสนง่ายสามารถทำเองที่บ้านได้ โดยไม่ต้องออกไปคลินิคให้เสียทั้งเวลาและเงินในกระเป๋า
ในมะเขือเทศมีสารชนิดหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังมีความอุดมไปด้วยวิตามินซี และวิตามินเอ มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ ที่สามารถช่วยรักษาสิวได้อย่างดี และสำหรับสูตรที่จะใช้มะเขือเทศ รักษาสิว สามารถเลือกทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้

1.มาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศและโยเกิร์ต
ส่วนผสมได้แก่ มะเขือเทศครึ่งลูกใหญ่ และโยเกิร์ตธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำง่ายๆก็คือ นำมะเขือเทศสดที่ได้ผ่านการล้างให้สะอาดแล้วมาบด ขยี้ให้ละเอียด แล้วนำโยเกิร์ต 2 ช้อนโต๊ะใส่ผสมกับมะเขือเทศที่เตรียมไว้ ขยำส่วนผสมทั้งสองให้เข้ากัน จากนั้นนำมาทาหน้าให้ทั่วหน้าเว้นบริเวณรอบดวงตากับจมูกไว้ เหมือนกับการมาร์คหน้าทั่วๆไป ตรงไหนมีสิวหรือจุดด่างดำหรือหลุมสิวก็พอกไปหนาๆ ทิ้้งไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วก็ล้างออกให้สะอาดด้วยน้ำสะอาดหรือโฟมล้างหน้าตามปกติ หลังจากทำแล้วจะรู้สึกว่าใบหน้าสะอาด และนุ่มชุ่มชื้นดี
โดยควรทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ใบหน้าจะดูขาวสดใส มีชีวิตชีวามากขึ้น เนื่องจากตัวมะเขือเทศเองจะช่วยผลัดเซล์ผิวที่ตายออกไป เรียกได้ว่าเป็นการทำ AHA แบบธรรมชาติ ส่วนตัวโยเกิร์ตจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหน้าทำให้หน้ามีน้ำมีนวล และช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้ดี

2.กระชับรูขุมขนด้วยมะเขือเทศและแตงกวา
ใช้เป็นสูตรกระชับรูขุมขนแบบเย็นและอ่อนโยน โดยคั้นให้ได้น้ำมะเขือเทศสดพร้อมดื่ม หั่นแตงกวาบางๆ แล้วบีบให้ได้น้ำแตงกวาลงไปในน้ำมะเขือเทศ จากนั้นคนให้เข้ากัน แล้วใช้สำลีทาให้ทั่วใบหน้า สักครู่ล้างออกด้วยน้ำอุ่น โดยควรทำวันละ 1 ครั้งจะเห็นผล รูขุมขนที่กว้างจะเล็กลง ดูกระชับขึ้นด้วยคุณประโยชน์ที่ได้จากแตงกวานั่นเอง ซึ่งหากรูขุมขนเล็ก จะเป็นการป้องกันสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าสู่ผิวได้ง่าย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสิวต่างๆ ทั้งยังดูหน้าเนียนใสแบบธรรมชาติอีกด้วย

3.ลดความมันของใบหน้าด้วยมะเขือเทศ
สูตรมะเขือเทศ รักษาสิวนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้ามัน ซึ่งทำให้เกิดสิวได้ง่าย โดยให้เตรียมมะเขือเทศเอาไว้ครึ่งลูก แล้วให้นำไปทาให้ทั่วใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวทั้งหมด เมื่อทาเสร็จแล้วก็ให้ทำการล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่น จากนั้นก็เช็ดใบหน้าเบาๆให้แห้ง แค่นี้ก็ช่วยลดความมันบนใบหน้าได้ง่ายๆอีกวิธีหนึ่ง

4.มาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศและอะโวคาโด้
  มีขั้นตอนง่ายๆ เพียงเตรียมผลมะเขือเทศและผลอะโวคาโด้ แล้วทำการบดเข้าด้วยกัน โดยบดให้เข้ากัน หลังจากนั้นนำมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที จึงล้างหน้าออกด้วยน้ำอุ่น หรือจะใช้น้ำธรรมดาก็ได้ เมื่อล้างเสร็จก็ให้เช็ดหน้าเบาๆจนแห้ง แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยสำหรับการมาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศและอะโวคาโด้ โดยเป็นวิธีแสนง่ายที่ช่วยให้ใบหน้าของเราเนียนใสไร้สิวแบบที่ทุกคนปราถนา
ทั้ง 4 สูตรมะเขือเทศ รักษาสิว ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าเห็นผลจริง แม้จะไม่ทันใจเท่าวิธีการสมัยใหม่อย่างเช่น การทำเลเซอร์สิว แต่รับรองว่าในระยะยาววิธีแบบธรรมชาติย่อมดีกว่า เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องผลข้างเคียงที่ตามมา อย่างไรก็ดี หากจะให้มะเขือเทศ รักษาสิวได้ผลชัดขึ้น ควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และดื่มน้ำให้มากๆวันละ  8-10 แก้ว ที่สำคัญพยายามรักษาผิวหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ ออกห่างมลภาวะต่างๆ โดยเฉพาะควันพิษจากท่อไอเสียในอากาศ ที่เป็นตัวกาสำคัญให้ผิวหน้าเกิดสิวได้ง่าย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เลเซอร์สิวอุดตัน ด้วย CO2 Laser

            ‘สิวอุดตัน’ เป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยรุ่น เนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวของประเทศไทย ส่งผลให้ผิวบนใบหน้าเกิดความมันและเป็นสิวอุดตันได้ง่าย โดยสิวอุดตัน (Comedone) ไม่เลือกเพศและวัย สามารถเกิดได้ทุกกลุ่มอายุ ทั้งชายและหญิง พบบ่อยบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัว (หน้าอก หลัง และไหล่) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมันอยู่เป็นจำนวนมาก วันนี้เรามารู้จักวิธีจัดการสิวด้วย CO2 Laser เป็นการเลเซอร์สิวอุดตันให้หายอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอหลายเดือนเหมือนการทายา แต่ก่อนอื่นมาดูสาเหตุหลักของการเกิดสิวอุดตัน เพื่อป้องกันไม่ให้มันกลับมาทำร้ายเราได้อีก

สาเหตุของการเกิดสิวอุดตัน
  1.เกิดจากปัจจัยภายในร่างกาย ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงวัยต่างๆด้วย ทังนี้ ความเครียด การนอนไม่เป็นเวลา การนอนไม่หลับ และการพักผ่อนไม่เพียงพอก็เป็นปัจจัยในการ ทำให้เกิดสิวอุดตันได้
2.เกิดจากปัจจัยภายนอกร่างกาย ได้แก่ เครื่องสำอาง หรือครีมบำรุงผิวชนิดต่างๆ การขัดหน้า นวดหน้า โดยเมื่อร่างกายถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยดังกล่าวจะทำให้เกิดสิวอุดตันที่ไปกระตุ้นต่อมไขมันใต้เซลล์ผิวหนังและเซลล์ในชั้นรูขุมขนสร้างมากผิดปกติ และระบายออกไม่ทัน ทำให้มีการสะสมอยู่ในรูขุมขนร่วมกับเชื้อโรค และเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดอาการอักเสบ
 ปฏิกิริยาการเกิดสิวอุดตันเป็นแบบเดียวกับการเกิดฝีหนองทำลายผิวและคอลลาเจนใต้ผิว เปรียบเทียบสิวอุดตันที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและรวดเร็วนั้น เหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดเป็นสิวอักเสบได้ทุกเมื่อ ทำให้รักษาได้ยากขึ้นและเกิดรอยแผลเป็น ส่วนใหญ่มักเห็นเป็นหลุมสิว แบบที่เป็นเนื้อนูนขึ้นมา หรือแบบที่มีการเปลี่ยนแปลงของสีซึ่งมีลักษณะแดงคล้ำ ทำให้ใบหน้าไม่เรียบเนียน เป็นจุดด่างดำ ซึ่งรักษายากและใช้เวลานานกว่าการรักษาสิว

CO2 Laser มีข้อดีอย่างไร
ปกติสิวสามารถรักษาด้วยการทายา หรือทายาร่วมกับรับประทานยา แต่สำหรับ CO2 Laser หรือการเลเซอร์สิวอักเสบโดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์ จะใช้ในกรณีที่คนไข้มีสิวอุดตันมาเป็นเวลานาน และไม่ตอบสนองต่อการทายาหรือรับประทานยา และผู้ที่สิวอุดตันโตเป็นสิวอักเสบ มีตุ่มแดงบนใบหน้า และต้องการรักษาสิวให้หายเร็วๆ ไม่อยากรอผลจากยา ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน จึงจะเห็นผลชัดเจน นอกจากนี้ การเลเซอร์สิวอักเสบโดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์ ยังมีข้อดีในการกำจัดสิวที่อยู่ลึก ให้ผลปลอดภัยกว่าการกดสิวแบบเดิมๆ เพราะไม่เกิดรอยแผลเป็น และไม่มีเลือดออก

การทำงานของ CO2 Laser
วิธีเลเซอร์สิวอุดตันนี้จะยิงไปที่หัวสิวเพื่อเปิดหัวสิว ซึ่งจะทายาชาบนหัวสิวประมาณ 45 นาที เพื่อให้รู้สึกสบายเวลาทำ หรือบางครั้งใช้แค่ประคบเย็นแล้วยิงได้เลย ลำแสงจากเลเซอร์จะทำให้ผิวหนังที่หุ้มหัวสิวอยู่เกิดเป็นรูเล็กๆ เพื่อใช้เป็นทางระบาย จากนั้นกดเอาก้อนไขมันที่อยู่ข้างใต้ออกมาโดยใช้อุปกรณ์กดสิว ทั้งนี้ การทำเลเซอร์สิวอุดตันมักจะมีสะเก็ดอยู่ประมาณ 3-7 วัน และจะหลุดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว การทาครีม ล้างหน้าอย่างอ่อนโยนถูกวิธี เป็นต้น การที่สะเก็ดหลุดเร็วก่อนเวลาอันควร อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นมีรอยแดงดำเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะถ้าไปโดนแดด ดังนั้นหลังทำเลเซอร์สิวอุดตัน ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดๆ และทาครีมกันแดดเป็นประจำ
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่า CO2 Laser จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าวิธีทายา หรือกดสิวแบบเดิมๆ แต่ก็ต้องแลกไปกับราคาที่สูงขึ้น ที่สำคัญผิวหนังแต่ละคนไม่เหมือนกัน การทำเลเซอร์สิวอุดตันใช่ว่าจะได้ผลดีกับทุกคน เพราะในบางรายอาจเกิดอาการแพ้จนผิวหน้าเป็นหลุมได้ ทางที่ดีควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการมีใบหน้าที่เนียนใสไร้สิว ควบคู่กับความปลอดภัยนั่นเอง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีจัดการปัญหาสิวอักเสบ ด้วยตัวเอง

         สิว” เป็นศัตรูอันดับหนึ่งที่ทำร้ายใบหน้าของเรา หากเกิดสิวขึ้นมาแล้วล่ะก็ จะทำให้หน้าดูโทรม ดูขี้เหร่ทันที เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บปวดแล้ว ยังเห็นเป็นรอยแดง รอยดำอีกด้วย จึงเป็นสิ่งที่จุกจิกกวนใจใครหลายคน โดยมักเกิดขึ้นมากกับวัยรุ่น ที่สำคัญสิวมีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นสิวเสี้ยน สิวผด สิวหัวขาว สิวหัวดำ ฯลฯ วันนี้เราจะมาพูดกันถึง “สิวอักเสบ” ที่พบมากในผู้ที่มีผิวมัน และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ใบหน้าเนียนใสของเราเต็มไปด้วยสิวชนิดนี้ มาทำความรู้จักกับมัน รวมถึงเรียนรู้วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวอักเสบ

สิวอักเสบคืออะไร
สิวอักเสบ (Inflammatory ance) คือการที่สิวอุดตัน (Comedone) ได้รับการติดเชื้อแบคทีเรีย แล้วเจ้าแบคทีเรียนี้เองเป็นตัวการปล่อยเอนไซม์ไปกระตุ้นให้เกิดอาการอักเสบ ทำให้เป็นสิวอักเสบขึ้น โดยแต่ละรายจะมีความรุนแรงแตกต่างกันออกไป แล้วแต่จำนวนเชื้อและขนาดของสิวอุดตัน สิวอักเสบนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างถูกต้อง เพื่อลดการอักเสบที่อาจลุกลาม และการเกิดแผลเป็น
สิวอักเสบ มีลักษณะที่่เรามองเห็นเป็นเม็ดตุ่มนูนๆ บวมแดง อาจเป็นเม็ดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ บางครั้งเห็นเป็นหนองบริเวณหัวสิว หรือที่เรียกว่า “สิวหนอง” หากสิวอักเสบมีการติดเชื้อและอักเสบมากทำให้มีขนาดใหญ่เป็นสิวหัวช้าง โดยสิวอักเสบ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่
            1.เกิดขึ้นเองตามธรมชาติ เกิดจากสภาวะที่ร่างกายมีฮอร์โมนไม่สมดุล จึงทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้น
            2.เกิดขึ้นจากสิ่งสกปรกและฝุ่นละออง เมื่อฝุ่นละอองและเชื้อแบคทีเรียเข้าไปอุดตันในบริเวณรูขุมขน จึงทำให้เกิดอาการอักเสบในที่สุด

วิธีเบื้องต้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวอุดตัน
1.ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมรุนแรง หรือการไปรบกวนบริเวณผิวบ่อยๆ เช่น การขัดหน้าด้วยสครับ หรือการนวดหน้าด้วยครีมที่ส่วนผสมของน้ำมัน
  2.แม้เรื่องของอาหาร สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ เพราะอาหารไม่ใช่สาเหตุของการทำให้เกิดสิวอักเสบ แต่ถ้าสังเกตุว่าเมื่อรับประทานอาหารบางชนิด ทำให้มีสิวเห่อขึ้น ก็ควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้นเสีย
  3.ทาครีมละลายหัวสิวก่อนล้างหน้า จะช่วยให้สิวหลุดออกได้ง่ายจึงทำให้ไม่เป็นสิวอักเสบตามมาภายหลัง
4.อย่าเครียด เพราะภาวะเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ระบบขับถ่ายไม่ดี และประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้
5.รับประทานแร่ธาตุสังกะสี ที่จะช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิว และแร่ธาตุยังช่วยให้วิตามินเออีกด้วย
6.การฉีดยารักษาสิวอักเสบเม็ดใหญ่ๆ ให้ยุบเร็วขึ้นเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ควรรักษาที่ต้นเหตุของสิวคือรักษาสิวเม็ดเล็กๆ โดยการทายาแล้วกดออกก่อนที่จะบวมเป็นเม็ดใหญ่ เพราะถ้าบวมอักเสบเป็นเม็ดใหญ่แล้วก็จะทำให้เกิดรอยดำและรอยแผลเป็นหลุมได้
7.ทำดีท็อกซ์ เนื่องจากการเป็นสิวย่อมแสดงว่าร่างกายในช่วงนั้นมีท็อกซินหรือพิษสะสมในร่างกาย ดีท็อกซ์จะช่วยขจัดสารพิษในร่างกายได้

วิธีปฏิบัติเมื่อเกิดสิวอักเสบ
1.ล้างหน้าให้สะอาด โดยหาโฟมล้างหน้าสูตรอ่อนๆมาใช้ หรือโฟมล้างหน้าที่มีส่วนสกัดจากสมุนไพรก็ได้ หรืออาจเลือกผลิตภัณฑ์ประเภทเวชสำอางค์เพื่อช่วยรักษาสิวไปด้วยในตัว
2.เวลาล้างหน้าควรล้างเบาๆ ไม่ควรถูหน้าแรงๆ หรือใช้ผ้าขนหนูเช็ดที่หน้าแรงๆ เพราะจะยิ่งทำให้สิวอักเสบที่เป็นหนองอักเสบมากขึ้น
3.พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายบ้าง ที่สำคัญดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อปรับสมดุลให้ร่างกาย
4.ใช้กระดาษซับมันระหว่างวัน อย่าปล่อยให้หน้ามัน โดยใช้กระดาษซับมันแบบเบามือ อย่ากดโดนบริเวณสิวแรงเกินไป
5.ใช้เจลแต้มสิว โดยควรศึกษารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ก่อนซื้อ หรืออาจจะลองอ่านรีวิวตามเว็บบอร์ดต่างๆในอินเตอร์เน็ตก่อน
6.ขยันเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและซักผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ เพราะเป็นรักษาความสะอาดที่ดี
7.หากอาการสิวอักเสบยังรุนแรงมาก ควรไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อมากขึ้นได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ยารักษาสิวดีจนต้องบอกต่อ ใช้แล้วสิวหาย หน้าไม่เป็นหลุม เนียนใสกว่าเดิม


สิวเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับวัยรุ่นทั้งชายและหญิง การกำจัดสิวถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ใครหลายคนเฝ้าค้นหา นั่นเป็นเพราะว่าสิวนอกจากจะทำให้ใบหน้าของสาวๆและชายหนุ่มดูหม่นหมองเป็นรอยแดงจุดๆแล้ว ยังทำให้เกิดอาการเจ็บตามเม็ดสิว หรือที่เรียกง่ายๆว่า สิวอักเสบ จากสาเหตุเพียงไม่กี่ข้อ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสิวถึงเป็นปัญหาโลกแตก
การรักษาสิวนั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ทั้งใช้วิธีทายา กินยา ฉีดสิวและยิงเลเซอร์ ซึ่งแต่ละวิธีนั้นก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นก็คือการรักษาและขจัดสิวให้หมดไป และแต่ละวิธีนั้นก็มีราคาแตกต่างกันไป โดยในส่วนของบทความนี้จะมาชี้แนะในส่วนของยารักษาสิวว่ามีกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง

 

ยาประเภททาน
1. ยาปฏิชีวนะ แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดคือ

  • Tetracycline เป็นยารักษาสิวที่นิยมใช้รักษาสิวมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยจะใช้ในกลุ่มคนที่มีสิวมากและเป็นหนอง โดยเริ่มต้นที่ 500 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อมีอาการดีขึ้นก็จะลดปริมาณของยาลง โดยตัวยานี้ไม่เหมาะกับเด็กและสตรีมีครรภ์
  • Erythromycin โดยยาตัวนี้ถูกคิดค้นมาเพื่อนคนที่แพ้ Tetracycline ซึ่งมีคุณสมบัติการรักษาสิวคล้ายๆกัน
  • Minocycline Doxycycline เป็นยาสังเคราะห์กลุ่ม Tetracycline ห้ามใช้กับสตีมีครรภ์เช่นกัน 


2. ฮอร์โมน แบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ

  • Estrogen เป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมแอนโดรเจน ทำให้มีการสร้างไขมันลดลง แต่ต้องระวังการใช้เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมได้
  • ยาคุมกำเนิด หลายคนมักจะใช้ยาตัวนี้เป็นยารักษาสิวแทน เป็นวิธีที่นิยมใช้มากกว่า Estrogen เพราะมีความเสี่ยงต่อผลค้างเคียงน้อยกว่าและค่อนข้างต่ำ แต่บางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนคัดหน้าอก 

3. Steroid จะนิยมใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นสิวมาก ควรใช้ในระยะเวลาสั้น หากใช้เยอะจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้
4. Isotretinoin เป็นยาที่ใช้ต่อสิวที่ออกอาการดื้อยา เหมาะสำหรับใช้รักษาสิวหัวช้าง โดยยาตัวนี้จะทำให้ไขมันและเชื้อแบคทีเรียลดลง จึงทำให้ไม่เกิดสิว แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ว่ายาตัวนี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาเช่น ทำให้ปากแห้งผิวแตกแห้ง ผมร่วงปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และถ้าใช้ในสตรีมีครรภ์ก็อาจจะทำให้แท้งได้ ยานี้จึงไม่แนะนำให้ซื้อใช้ด้วยตัวเองโดยปราศจากการแนะนำของแพทย์ อีกทั้งยาตัวนี้ยังต้องอาศัยการคุมกำเนิด หากต้องการตั้งท้องให้หยุดทานยานี้ เป็นเวลา 1 เดือน

 

ยาประเภททาภายนอก
1. ยาทาปฏิชีวนะ

  • Azelic acid ยานี้จะอยู่ในรูปแบบครีม ซึ่งต้องใช้หลายสัปดาห์จนบางครั้งอาจจะกินเวลาร่วมเดือนกว่าจะเห็นผล
  • Erythromycin solution 1-4% ออกฤทธิ์โดยการต้านแบคทีเรียและมามารถลดอาการอักเสบได้ เมื่อใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide จะยิ่งทำให้เห็นผลดียิ่งขึ้น
  • Sulfonamide เป็นยาที่อยู่ในรูปของสารละลาย
  • Benzoyl peroxide เป็นยาที่จะช่วยละลายไขมัน และเซลที่อุดตัน ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งบางคนอาจจะแพ้ตัวยานี้ 

2. อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ Tretinoin เป็นยารักษาสิวแบบทาค่อยข้างดี โดยตัวยานี้เป็นยาละลายขุยซึ่งอยู่ในรูปแบบของครีมหรือเจลที่มีความเข้มข้น 0.01 – 0.1% ซึ่งบางครั้งอาจจะก่อให้เกิดอาดารระคายเคืองผิวหนังทำให้เป็นรอยแดง แห้ง และลอกเป็นขุย ดังนั้นจึงต้องทาในขนาดที่มีความเข้มข้นต่ำ
    นี่คือกลุ่มยารักษาสิวที่นิยมใช้กัน มีทั้งแบบทาและแบบรับประทาน ซึ่งต้องไปศึกษาข้อมูลดีๆก่อนจะนำใช้ยาเหล่านี้ เพราะแต่ละคนก็แพ้ตัวยาไม่เหมือนกัน ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยารักษาสิว เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่ไม่น่าพึงประสงค์ที่จะตามมา เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้รักษาสิว อาจจะได้ความระคายเคืองใบหน้ามาแทนก็เป็นได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ฉีดสิวดีจริงหรือ?

                การฉีดสิว เป็นวิธีการรักษาสิวยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการให้ขจัดให้สิวหายไปอย่างเร่งด่วน โดยส่วนมากจะนิยมฉีดที่สิวเม็ดใหญ่ๆ หรือที่เรียกกันว่า “สิวหัวช้าง” หากปรากฏบนใบหน้าของใครแล้ว คนๆนั้นก็จะมีจุดสีแดงชัดเจนเห็นได้แต่ไกล ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจเท่าไหร่ หากจะบีบก็เจ็บจี๊ดสุดทน อีกทั้งยังต้องเสี่ยงกับแผลเป็นที่จะเกิดขึ้นหลังบีบสิวเสร็จ ดังนั้นการฉีดสิวจึงเป็นตัวเลือกที่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะฉีดปุ๊บยุบปั๊บ ไม่เจ็บและไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
ด้วยคุณสมบัติข้างต้น และราคาค่ารักษาไม่แพง การฉีดสิวดูเหมือนจะเป็นวิธีการรักษาสิวหัวช้างที่ดีไร้ที่ติ แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือ? แล้วความจริงเป็นอย่างไรกันแน่?

                เมื่อพูดถึงการฉีดสิวแล้ว ก็ต้องนึกถึงสารเคมีที่ใช้รักษาโดยคลินิกส่วนมาจะใช้สารประเภท สเตอรอยด์ (Steriod) ในการฉีด ซึ่งบางครั้งอาจจะมีการผสมยาชาเพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการฉีดสิว โดยสารประเภทนี้จะไปยับยั้งการทำงานของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว เมื่อเชื้อแบคทีเรียไม่ทำงาน สิวจึงไม่บวมขึ้นและยุบไปเองในที่สุด แต่อย่าลืมว่าเป็นแค่การยับยั้งเท่านั้น ดังนั้นจึงมีโอกาสที่สิวจะโตขึ้นที่เดิม หรือเกิดสิวในบริเวณใกล้เคียงตรงจุดที่มีการฉีดสิว อันเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียได้กระจายตัวไปพื้นที่ข้างๆโดยจะขอสรุปข้อดีและข้อเสียของการฉัดสิวดังนี้

ข้อดี

              1. ช่วยทำให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็ว ฉีดปุ๊บหายปั๊บทันใจเหมือนเล่นมายากล
              2. ไม่เจ็บระบม เนื่องจากการบีบสิวหัวช้างนั้นเป็นการสร้างแผลบนใบหน้าที่มีขนาดใหญ่ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องรู้สึกเจ็บมากๆ แต่ถ้าเทียบกับรอยแผลที่เกิดจากการฉีดสิวโดยเข็มเล็กๆนั้น ความเจ็บปวดย่อน้อยกว่าการบีบอยู่แล้ว ยิ่งบางคลินิกผสมยาชาลงไป ความเจ็บปวดจึงเป็นเรื่องเล็กไปเลย
              3. ไม่ต้องเสี่ยงกับรอบแผลเป็นที่เป็นหลุม เนื่องจากการบีบสิวเป็นการสร้างแผล จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีแผลเป็นบนใบหน้าซึ่งทิ้งรอยแดงเอาไว้ ไม่ต่างอะไรกับตอนที่มีสิว ดังนั้นการฉีดสิวจึงเป็นการป้องกันปัญหานี้ได้

 

ข้อเสีย
              1. ไม่ได้รักษาสิวให้หายขาด จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าสารจำพวกสเตอรอยด์ ทำได้เพียงแค่ยับยั้งการทำงานของแบคทีเรียสาเหตุของสิว ไม่ได้ฆ่าหรือทำลายแบคทีเรียตัวนั้น จึงมีโอกาสสูงที่สิงจะบวมขึ้นอีกครั้ง
              2. อาจจะก่อให้เกิดไตแข็งๆใต้ผิวหนัง หลังจากที่สิวยุบตัวไป แล้วเกิดสิวขึ้นในตำแหน่งเดิมอีกรอบหากเป็นๆยๆอยู่เรื่อบไปเช่นนี้ ผิวหนังบริเวณนั้นอาจจะสร้างพังผืดขึ้นมา เกิดเป็นไตแข็งๆใต้ผิวหนังซ อาจจะส่งผลทำการรักษาสิวยากขึ้นไปอีก
              3. อาจจะทำให้สิวหัวช้างอักเสบมากกว่าเดิม บางคลินิกนั้นอาจจะใช้เข็มที่ไม่สะอาดฉีดสิว ดังนั้นจึงมีความเป็นได้ที่จะติดเชื้อเพิ่ม ซึ่งนอกจากจะทำให้สิวไม่ยุบ ยังเพิ่มความใหญ่ให้กับสิวที่เป็นอยู่อีกต่างหาก
              4. อาจจะทำให้เป็นสิวง่ายกว่าเดิม เมื่อฉีดสิวด้วยสารจำพวกสเตอรอยด์นานๆเข้า อาจจะทำให้แบคทีเรียเกิดอาการดื้อยา ทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ในอีกมุมหนึ่งก็คือแบคทีเรียแข็งแกร่งมากขึ้น และอาจจะส่งผลทำให้เราแพ้ง่ายขึ้น และเป็นสิวเยอะขึ้นกว่าเดิม
เมื่อทำการชั่งข้อดีข้อเสียของการฉีดสิวแล้วหลายคนอาจจะต้องคิดหนักๆก่อนจะรักษาสิวดีๆ เพราะมันอาจจะส่งผลข้างเขียงบางประการได้ หากไม่มีความจำเป็นที่ต้องรักษาสิวอย่างเร่งด่วนจริงๆ การฉีดสิวจึงไม่น่ามีความจำเป็นมากนัก อย่าลืมว่ายังมีการรักษาสิวด้วยวิธีอื่นๆอีก ถ้าหากหมั่นศึกษาวิธีรักษาก็อาจจะพบวิธีที่เหมาะกับตนและรักษาสิวที่หายขาดก็เป็นได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

หน้าร้อน รักษาสิวผดอย่างไรให้ได้ผลสิวผด

สิวผด เป็นหนึ่งในปัญหาเรื่องสิวๆ ที่คุณสาวๆส่วนใหญ่ต่างต้องเคยสัมผัสกับความน่ารำคาญของมันกันมานักต่อนักแล้ว ซึ่งเจ้าสิวผดนี่จะออกมาวาดลวดลายทวีจำนวนแผลงฤทธิ์มากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อนที่มีแสงแดดแรงกล้า

ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวคุณสาวๆ พร้อมในการดูแล และรักษาผิวหน้าให้ห่างไกลจากสิวผด จึงอยากให้คุณสาวๆอ่านทำความเข้าใจบทความชิ้นนี้ ซึ่งกำลังจะสอนทุกสิ่งทุกอย่างในการรับมือเจ้าสิวผดให้กับตัวคุณ

ลักษณะของสิวผด

สิวผด หรือ สิวเทียม (Acne Aestivale) มักจะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ  ซึ่งมักชอบขึ้นอยู่ใกล้ๆกันเป็นจำนวนมากๆ หากมองดูเผินๆจะคล้ายกับผื่น มักจะขึ้นบริเวณหน้าผาก ถ้าหากเกิดการอักเสบขึ้น สิวผดจะกลายเป็นสีแดง และในบางครั้งอาจจะกลายเป็นหนองอีกด้วย

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผด

สิวผด สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักที่จะเกิดขึ้น จากสาเหตุดังต่อไปนี้

  1. การล้างหน้าบ่อยจนเกินไป
  2. การล้างหน้าแรงจนเกินไป
  3. การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน
  4. แสงแดด และความร้อน เป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดสิวผดขึ้นบนใบหน้า
  5. อาการแพ้ เช่น แพ้เหงื่อ แพ้น้ำ หรือการใช้ครีม โฟมล้างหน้า ยาสระผม ที่แรงจนเกินไป ไม่เหมาะกับผิวของตัวเอง เป็นต้น
  6. ร่างกายไม่แข็งแรง
  7. พักผ่อนไม่เพียงพอ
  8. อุปกรณ์ที่ใช้ในการแต่งหน้าไม่สะอาด เช่น พัฟแป้งไม่สะอาด เป็นต้น

วิธีการดูแลรักษาตัวเองให้ห่างไกลจากสิวผด

เนื่องจากสิวผด เป็นสิวที่สามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลายมากๆ ดังนั้นการดู และการรักษาสิวผด จึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดขึ้น พร้อมกับแยกวิธีการรักษาออกไปให้เหาะสมกับคุณสาวๆ แต่ละคน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีสุด

การรักษา สามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะของสาเหตุการเกิด ดังต่อไปนี้

1. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการล้างหน้าบ่อยจนเกินไป ควรเริ่มการรักษาจากการไม่พยายามรบกวนผิวหน้ามากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการล้าง ขัด หรือพอกหน้า เกินกว่าความจำเป็น

2. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการล้างหน้าแรงจนเกินไป สำหรับคุณสาวๆบางคนมักจะคิดว่า การล้างหน้ายิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ ใบหน้าก็จะยิ่งมีความสะอาดมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะยิ่งล้างหน้าแรงๆ ก็จะยิ่งทำให้ใบหน้าเกิดการเสียดสี ซึ่งเป็นการรบกวนผิวหน้าอย่างรุนแรง ทำให้สิวผดมีโอกาสเกิดขึ้นสูง ดังนั้นคุณสาวๆ ควรจะทำการล้างหน้าอย่างเบามือ และนุ่มนวลจะดีกว่า

3. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการใช้น้ำร้อนล้างหน้า ถึงแม้จะเป็นเพียงการใช้น้ำอุ่นในการล้างหน้าก็ตาม ก็ยังมีโอกาสที่จะทำให้เกิดสิวผดขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นขอแนะนำให้คุณสาวๆ หันไปทำการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจะดีกว่า

4. สิวผดที่เกิดขึ้นจากแสงแดด และความร้อน การรักษาต้องเริ่มต้นจากการพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อนเป็นอันดับแรก แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อแสงแดด ให้ทำการทาครีมกันแดดทุกครั้ง เพื่อเป็นการปกป้องผิว โดยเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง และเลือกครีมกันแดดที่ปราศจากส่วนผสมของน้ำมัน นอกจากนี้เพื่อเป็นการปกป้องผิวที่ดีมากขึ้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+++ ขึ้นไป

5. สิวผดที่เกิดขึ้นจากอาการแพ้ ควรเริ่มจากการศึกษาสภาพผิวของตัวเองว่ามีอาการแพ้อะไรบ้าง ถ้าหากแพ้เหงื่อก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้เกิดเหงื่อขึ้น แต่หากเป็นการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ก็ควรที่จะทำการทดสอบก่อนใช้ว่ามีอาการแพ้หรือไม่ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีความอ่อนโยนกับผิว เป็นต้น

6. สิวผดที่เกิดขึ้นจากร่างกายไม่แข็งแรง สาเหตุที่ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นจากความเครียด ซึ่งทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุลจนร่างกายอ่อนแอลง การคลายความเครียดเองก็มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าคุณสาวๆแต่ละคนมีการกำจัดความเครียดแบบไหน แต่หากร่างกายอ่อนแอจากการเจ็บป่วย หรือกรรมพันธุ์แล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้คุณสาวๆไปทำการพบแพทย์ เพื่อปรึกษาหาวิธีรักษาที่ถูกต้องที่สุดจะดีกว่า

7. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ สำหรับสิวผดประเภทนี้สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายๆ โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น

8. สิวผดที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์แต่งหน้าที่ไม่สะอาด ถ้าหากคุณสาวๆเป็นคนที่ชื่นชอบการแต่งหน้า ก็ขอแนะนำให้ทำการเปลี่ยนอุปกรณ์สำหรับใช้ในการแต่งหน้าบ่อยๆ เพราะยิ่งใช้อุปกรณ์เหล่านี้นานมากเพียงใด ก็จะมีการสะสมตัวของเชื้อโรคมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าจะให้ดี หากคุณสาวๆสามารถหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ก็จะช่วยให้ใบหน้าห่างไกลจากสิวผดได้มากยิ่งขึ้น

การรักษาใช้ยาเพื่อรักษาสิวผด

โดยปกติแล้ว แพทย์จะไม่ให้ยารักษาอาการสิวผด หากไม่มีอาการอักเสบ หรือเป็นสิวผดเห่อมากทั้งใบหน้า เช่น ในกรณีที่แพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น แพทย์จะให้ทำการทายาสเตียรอยด์ในปริมาณน้อยๆ ในระยะเวลาอันสั้นที่สุด

เนื่องจากยาดังกล่าวมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น ทำให้หลอดเลือดขยาย หน้าแดง แพ้ง่าย และผิวจะบอบบางลงมากกว่าเดิม นอกจากนี้การรักษาสิวผด ยังสามารถทำได้โดยการใช้ยาทา 2 ชนิด คือ

1. ยาในกลุ่ม Benzoyl Peroxide โดยควรเริ่มจากการทาความเข้มข้นที่ต่ำที่สุดก่อน คือ 2.5% ทำการทาลงไปบนบริเวณที่มีสิวผด ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-20 นาที แล้วล้างออก สามารถทำการทาได้วันละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของของแต่ละคน เมื่อทำการทดสอบแล้วว่าไม่มีอาการแพ้ จึงค่อยเพิ่มความเข้มข้นของยาไปที่ 5%

2. ยาทากรดวิตามินเอ ควรเริ่มจากการทายาที่มีความเข้มข้นต่ำที่สุดก่อนเช่นกัน คือ 0.0125% หรือ 0.025% เมื่อไม่มีอาการแพ้ใดๆ แล้วจึงค่อยๆทำการเพิ่มความเข้มข้นไปเป็น 0.05% และควรทำการทาก่อนนอนเท่านั้น ไม่ควรทำการทางในช่วงเวลากลางวัน เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้แดดขึ้นได้

ข้อควรระวังในการใช้ยาทั้ง 2 ประเภทนี้ ในการรักษาสิวผด คือ ในกรณีของคนที่แพ้ อาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย ซึ่งอาจจะทำให้ใบหน้าเกิดอาการเห่อแดงขึ้นได้

สำหรับคนที่ไม่สามารถใช้ยาทั้ง 2 ชนิด ในการรักษาสิวผดได้นั้น ขอแนะนำให้ใช้ยาตัวอื่นที่ไม่ส่งผลให้เกิด ความระคายเคือง ที่มีส่วนผสมของ Resorcinol

ในปัจจุบันมีครีม หรือแป้งน้ำรักษาสิว ที่มีส่วนผสมดังกล่าวอยู่มากมายหลายยี่ห้อให้คุณสาวๆ เลือกใช้ได้ตามความพอใจของตัวเอง

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รวมสูตรพอกหน้าจากธรรมชาติสำหรับกำจัดสิว ลดรอยแดง

สำหรับคุณสาวๆ ที่มีปัญหาในเรื่องของสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวเสี้ยน สิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง ฯลฯ เชื่อว่าคุณสาวๆทุกคนคงอยากที่จะทำการกำจัดเจ้าสิวที่เป็นปัญหากวนใจให้ออกไปจากใบหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

สำหรับคุณสาวๆ ที่เคยทดลองวิธีการรักษาสิวมาหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาแต้มสิว ทานยา หรือแม้แต่ไปพบแพทย์ตามสถาบันเสริมความงามมาแล้วยังไม่เห็นผลลัพธ์ในการกำจัดสิวที่น่าพอใจนั้น

สำหรับในวันนี้ อยากจะให้คุณสาวๆได้ทดลองกับอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกำจัดสิว ไปพร้อมกับช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวของคุณสาวๆ วิธีที่การดังกล่าวที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ “การพอกหน้า” นั่นเอง

รวมสูตรพอกหน้าสำหรับคนที่เป็นสิวโดยเฉพาะ

เมื่อกล่าวถึง “การพอกหน้า” คุณสาวๆ คงจะคิดไปถึงวิธีการบำรุงผิวพรรณให้ขาวใส หรือการคืนความเยาว์วัย ความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่ที่จริงแล้วการพอกหน้ามีประโยชน์มากกว่านั้นมากนัก

การพอกหน้าบางสูตรที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมีคุณสมบัติในการช่วยรักษาสารพัดปัญหาสิวบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งในวันนี้จะขอพาไปรู้จักกับสูตรพอกหน้า สำหรับคนที่เป็นสิวโดยเฉพาะ ดังต่อไปนี้

1. สูตรกล้วยหอม+น้ำมะนาว เป็นสูตรที่ช่วยลดความมันของผิว ไม่เหมาะกับคนที่ผิวแห้ง เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากยิ่งขึ้น นำกล้วยหอม 1 ลูก น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            2. สูตรแตงกว่า+ไข่ขาว ช่วยลดความมันส่วนเกินและกระชับรูขุมขน นำแตงกว่า 1 ผล ไข่ขาว 1 ฟอง และนาว 1 เสี้ยว ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 20นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            3. สูตรดินสอพอง+ขมิ้นชัน ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของสิวและบำรุงผิว นำดินสอพอง 2-3 เม็ด ขมิ้นผง 2 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            4. สูตรมะขามเปียก+นมสด ช่วยลดสิวอักเสบ สิวอุดตัน และสิวเสี้ยน นำเนื้อมะขามเปียกที่แยกเมล็ด เปลือก และกากออกแล้วประมาณ ½ ถ้วย ผสมกับนมสด 1/3 ถ้วย ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            5. สูตรมะเขือเทศ+น้ำมะนาว ช่วยป้องกันสิวและกระชับรูขุมขน นำมะเขือเทศไปปั่นหรือสับให้ละเอียดประมาณ ¾ ถ้วย ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หรืออาจเติมน้ำเปล่าลงไปอีกเล็กน้อยเพื่อให้น้ำมะนาวเจือจางลง ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            6. สูตรข้าวโอ๊ต ช่วยในการป้องกันสิวและสมานแผล นำข้าวโอ๊ตประมาณ 1 กำมือ ผสมกับน้ำดื่มจนนิ่ม แล้วนำมาขัดวนเบาๆให้ทั่วใบหน้าเป็นประจำทุกเช้าเย็น

            7. สูตรไข่แดง ช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้า นำไข่แดงตีให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            8. สูตรโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ช่วยในการต่อต้านสิวผด นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาทาลงบนใบหน้า ทำการนวดเบาๆให้ทั่วใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            9. สูตรหอมแดง ช่วยในการรักษาสิวอักเสบให้ยุบตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ นำหอมแดงประมาณ 1 หัว มาสับให้ละเอียด หรือฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วนำไปวางลงบนหัวสิว หรือบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ

            10. สูตรถั่วเขียวต้มสุก เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องสิวเสี้ยน กระ ฝ้า จุดด่างดำ และริ้วรอยต่างๆ นำถั่วเขียวไปต้มให้สุกประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ สตอเบอรี่ผลโต 2 ผล หรือถ้าเป็นผลเล็ก ให้ใช้จำนวน 4 ผล นมเปรี้ยว ½ ช้อนโต๊ะ ปั่นหรือบดขยี้ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด  

11. สูตรไข่ขาว เหมาะสำหรับการรักษา และลอกสิวเสี้ยนออกจากใบหน้า นำไข่ขาวมาทาลงบนใบหน้า เพื่อประสิทธิภาพที่มากขึ้นก่อนทำการทาไข่ขาว ควรนำหน้าไปอังกับไอน้ำหรือล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อให้รูขุมขนเปิดกว้างขึ้นก่อน หลังจากทาไข่ขาวลงไปแล้วให้นำกระดาษเช็ดหน้าแปะลงไปให้ทั่วใบหน้า ปล่อยทิ้งเอาไว้สักพักให้กระดาษเช็ดหน้าแห้ง แล้วลอกออกอย่างเบามือ

            12. สูตรทานาคาผง ช่วยในการรักษารอยดำจากสิว กำจัดสิวผด ลดสิว นำทานาคาผง (แป้งพม่า) 2 ช้อนชา น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนชา และนมสดรสธรรมชาติ 2 ช้อนชา ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 15-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            13. สูตรแอปเปิ้ล ช่วยในการรักษาสิว นำแอปเปิ้ลเขียวหรือแดงก็ได้ประมาณ ½ ลูก มาบดเอาน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้ไปผสมกับน้ำผึ้ง หรือโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            14. สูตรสับปะรด เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้ามัน ช่วยลดความมันบนใบหน้า กำจัดสิ่งอุดตัน พร้อมกับช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ขาวเนียนมากขึ้น นำสับปะรด ¼ ลูกปั่นผสมเข้ากับแตงกว่า 1 ลูก และวุ้นว่านหางจระเข้ ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            15. สูตรนมเปรี้ยว เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ช่วยในการกำจัดและควบคุมความมันบนใบหน้า นำนมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดมาทำการพอกหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รักษาสิวหัวช้าง ด้วยวิธีการบีบสิว หรือทาครีมแต้มสิวดีกว่ากัน

สิวหัวช้าง  ขึ้นชื่อว่า “ช้าง” คุณสาวๆ ก็คงที่จะสามารถจินตนาการได้ถึงความใหญ่ของมันได้ โดยปกติแล้วเพียงแค่เรื่องสิวเสี้ยนเม็ดเล็กๆดำๆ บนใบหน้า ก็ทำให้คุณสาวๆ รู้สึกกังวลจนต้องสรรหาวิธีมากำจัด หรือปกปิดเอาไว้เวลาที่ต้องออกไปข้างนอก แล้วยิ่งถ้าเป็นสิวหัวช้างเม็ดใหญ่โดดเด่น ก็ยิ่งพาลให้เครียดหนักมากยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับในวันนี้เราจะมาดูกันว่า วิธีการรักษาสิวหัวช้าง ระหว่างวิธีการบีบสิวออก กับ วิธีการทาครีมแต้มสิว วิธีการไหนที่ได้ผลลัพธ์ดีต่อใบหน้าของคุณสาวๆ มากกว่ากัน

สิวหัวช้างคืออะไร?

ก่อนจะเข้าสู่วิธีการรักษาสิวหัวช้าง ก่อนอื่นเราควรมารู้จักกับเจ้าสิวหัวช้างกันก่อน “สิวหัวช้าง”  หรือ สิวเม็ดใหญ่ เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ P.acne บริเวณผิวหนัง จนเกิดการอักเสบหนักขึ้นกลายเป็นสิวหัวช้าง ซึ่งมักจะเกิดอาการเจ็บปวดควบคู่กับการอักเสบ

สิวหัวช้างมีจุดสังเกตที่เด่นชัดคือ เม็ดสิวที่มีขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มีหลากหลายอาการทั้งชนิดอักเสบน้อยไปจนถึงอักเสบมาก ถ้าหากมีอาการอักเสบมากๆ สิวหัวช้างก็อาจจะกลายเป็นฝีอักเสบได้  โดยส่วนมากสิวหัวช้างจะไม่มีหัวสิว แต่ภายในนั้นจะมีน้ำหนองปนอยู่กับเลือดที่เสีย

ถ้าหากปล่อยเอาไว้จนสิวหัวช้างบวมเต็มที่ ก็จะเกิดการแตกออกมาเป็นน้ำหนองก่อนจะยุบตัวลงกลายเป็นรอยสีดำ เนื่องจากเซลล์ส่วนที่อักเสบเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งรอยสีดำจะค่อยๆ จางหายไป แต่บางครั้งอาจจะเกิดรอยแผลเป็นขึ้นเมื่อหัวสิวแตก  สิวหัวช้างมีโอกาสกลับมาเป็นอีกในบริเวณเดิม ถ้าหากไม่มีการฆ่าเชื้อ หรือการแก้ไขพฤติกรรมการรักษาความสะอาด

ที่นี้เรามาดูกันดีกว่าว่า วิธีการรักษาโดยการบีบสิวหัวช้างออก กับวิธีการรักษาด้วยการทาครีมแต้มสิว แบบไหนดีกว่ากัน?

การรักษาสิวหัวช้างด้วยการบีบออก

การรักษาสิวหัวช้าง โดยการรอเวลาให้เกิดการอักเสบจนกระทั่งมีหัวสิวแล้วค่อยบีบออกนั้น เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมานาน ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับสิวหัวช้างโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีหัวสิว มีเพียงอาการบวมแดงจนดำ เหมือนกับมีเลือกไปคั่งอยู่ในบริเวณนั้น หรืออาจจะมีหัวขึ้นในบริเวณที่เป็นสิวหัวช้าง แต่มีหัวสิวขนาดเล็กๆ อยู่ติดกัน 2-3 หัว สำหรับคนที่ใจร้อน พยายามที่จะบีบหัวสิวเล็กๆ เหล่านั้นออก  

โดยส่วนใหญ่สิ่งที่ออกมามักจะไม่ใช่หัวสิวแต่มักเป็นเลือดที่คั่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง การบีบออกในลักษณะดังกล่าว มักที่จะทำให้เกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้นไปอีก หรือต่อให้สามารถบีบเอาสิวหัวช้างออกมาได้แล้ว ก็มักที่จะเกิดหลุมสิวขึ้น ซึ่งเจ้าหลุมสิวนั้น เป็นสิ่งที่ทำการรักษาได้ยากยิ่งกว่าการกำจัดสิวหัวช้างหลายเท่าทีเดียว

การบีบสิวหัวช้างอย่างไม่ถูกวิธี จะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ภายในสิวหัวช้างกระจายออกมาพร้อมกับน้ำหนองภายในสิว จนเกิดการลุกลามไปยังบริเวณโดยรอบมากยิ่งขึ้น

สำหรับการรักษาโดยการบีบสิวหัวช้างที่ถูกวิธี คือ การอดทนรอเวลาให้หัวสิวเกิดขึ้นมาจนสุกเต็มที่อย่างใจเย็น แล้วใช้เข็มที่ทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อแล้วสะกิดเบาๆ ที่หัวสิว แล้วกดออกด้วยที่กดสิว หรือใช้สำลีก้าน 2 อัน บีบเข้าหากัน ให้น้ำหนองและสิวที่อยู่ภายในสิวหัวช้างออกมาให้หมดในครั้งเดียว เพราะหากเอาสิวออกไม่หมดในครั้งเดียว โอกาสในการเกิดหลุมสิวขึ้นจากการบีบจะมีสูงมากทีเดียว

การรักษาสิวหัวช้างโดยการทาครีมแต้มสิว

การรักษาสิวหัวช้างโดยใช้ครีมแต้มสิวนั้น เป็นวิธีการที่อ่อนโยนกับผิวใบหน้ามากกว่าการบีบสิวออกโดยตรง เพราะเมื่อทำการเจาะลึกเข้าไปจนถึงปัญหาจริงๆ แล้ว สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยาของเชื้อแบคทีเรีย P.acne ในบรรยากาศกับไขมันในรูขุมขนที่เกิดการอุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น  จนกระทั่งกลายมาเป็นสิวหัวช้างนั่นเอง

ดังนั้นเมื่อทำการทาครีมแต้มสิวลงบนสิวหัวช้าง ครีมแต้มสิวจะเข้าไปทำการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acne ซึ่งจะส่งผลให้สิวหัวช้างยุบลงอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ไม่เกิดหลุมสิวขึ้นบนใบหน้า เนื่องจากสิวหัวช้างนั้นเม็ดสิวมีขนาดที่ใหญ่ การอักเสบของผิวหนังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อสิวหัวช้างยุบตัวลง ผิวหนังในบริเวณนั้นจะเห็นร่องรอยแผลที่เกิดขึ้นจากการอักเสบบ้าง แต่รอยเหล่านั้นจะค่อยๆ จางหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไปตามธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาสิวที่ได้แนะนำมาแล้วในตอนต้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ วิธีการรักษาสิวหัวช้างที่ดีที่สุด ก็ยังคงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดสิวขึ้นมาตั้งแต่แรก

ดังนั้นก่อนที่จะปล่อยเลยตามเลยจนทำให้สิวหัวช้างเกิดขึ้น เราควรที่จะเริ่มต้นการรักษาตั้งแต่แรก โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ดีๆ สักตัว ที่จะช่วยป้องกันใบหน้าจากการเกิดสิวหัวช้างอย่างได้ผลตั้งแต่แรก หรือแม้แต่กับคนที่มีสิวหัวช้างเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ยังสามารถที่จะช่วยรักษาและทำให้สิวหัวช้างยุบลงอย่างเป็นธรรมชาติ ชนิดที่เรียกว่า 2 in  1 ในผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ลอกหน้า ทาครีม หรือ ดูดสิวเสี้ยน วิธีกำจัดสิวเสี้ยนแบบไหน ได้ผลที่สุด

สิวเสี้ยน เป็นหนึ่งในปัญหาเรื่องสิวที่ทำให้คุณสาวๆหลายคน ถึงกับต้องเสียความมั่นใจเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกไปนอกบ้าน เพราะถึงแม้สิวเสี้ยนจะมีขนาดเม็ดที่เล็กเมื่อเทียบกับสิวประเภทอื่น แต่หัวขาวๆ ดำๆ ที่รวมตัวกันอยู่เป็นกระจุก ก็สร้างความโดดเด่นที่ทำให้คุณสาวๆ ต้องรู้สึกอายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับในปัจจุบันมี วิธีการกำจัดเจ้าสิวเสี้ยน ให้ออกไปจากใบหน้าอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ยังคงเป็นวิธีคลาสสิค 3 วิธี ได้แก่ วิธีการลอกหน้า การดูดสิวเสี้ยน และการทาครีมรักษาสิว ซึ่งในวันนี้จะมาขอทำการเปรียบเทียบกันว่า วิธีกำจัดสิวเสี้ยนเหล่านี้ วิธีการใดที่ได้ผลดีมากที่สุด..? 

…ก่อนอื่น เราต้องมารู้จักกับเจ้าสิวเสี้ยนตัวแสบกันสักเล็กน้อย แล้วค่อยไปรู้จักกับวิธีกำจัดสิวเสี้ยนให้อยู่หมัดกัน…

สิวเสี้ยนคืออะไร?

สิวเสี้ยน เกิดขึ้นได้จากความผิดปกติของต่อมรูขุมขน ซึ่งผลิตน้ำมันออกมาหล่อเลี้ยงผิวหนังที่มากกว่าปกติ จนกระทั่งเกิดการอุดตันขึ้น หรือมีเส้นขนเล็กๆจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในรูขุมขนเดียวกัน สิวเสี้ยนมีลักษณะเป็นสิวเม็ดเล็กๆ หัวเปิดที่มักขึ้นรวมกันเป็นประจุก มีทั้งชนิดหัวสีดำ และหัวสีขาว

โดยส่วนใหญ่มักจะพบสิวเสี้ยนขึ้นอยู่ในบริเวณจมูก คาง แก้ม หน้าผาก หลังคอ หลัง เนิ่นไหล่ หรือต้นแขน ในบริเวณที่มีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่แล้วสิวเสี้ยวมักจะเกิดขึ้นมากในช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายมีมาก และไปทำการกระตุ้นต่อมไขมันจนทำงานมากจนผิดปกติ

…เมื่อได้รู้จักที่มาของเจ้าสิวเสี้ยนตัวแสบกันอย่างคร่าวๆ ไปแล้ว ทีนี้ก็ไปทำความรู้จักกับวิธีการกำจัดมันกันเลย….

การดูดสิวเสี้ยน

เป็นวิธีการรักษาสิวเสี้ยนได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในคลินิกเสริมความงาม โดยการใช้เครื่องดูดสิว ซึ่งจะทำการเปิดรูขุมขนของผู้ที่มาทำการรักษาให้กว้างขึ้นด้วยระบบไอน้ำ โอโซน แล้วใช้เครื่องทำการดูดสิวเสี้ยนเหล่านั้นออกจากใบหน้า

ซึ่งในปัจจุบันได้มีเครื่องดูดสิวแบบพกพาออกมาวางขาย ซึ่งคุณสาวๆสามารถหาซื้อมาเป็นเจ้าของได้ในราคาที่ไม่แพงนัก แต่อย่างไรก็ตามวิธีการดูดสิวนั้น ไม่ค่อยสามารถช่วยกำจัดสิวเสี้ยนออกจากใบหน้าได้มากนัก โดยเฉพาะสิวเสี้ยนที่เกิดขึ้นจากเส้นขนที่ขึ้นรวมกัน 5-50 เส้น ภายในรูขุมขนเดียว จนทำให้มองเห็นเป็นจุดดำๆ

การรักษาโดยการดูดดอกจึงเสมือนกับเป็นการถอนขนออก เหมือนกับเวลาที่มีการโกนหนวด หนวดก็จะมีการงอกขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ วิธีรักษาด้วยการดูดออก จึงไม่สามารถรักษาสิวเสี้ยนให้หายขาดได้ เป็นเพียงการกำจัดออกไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น

การลอกหน้า

เป็นวิธีการกำจัดสิวเสี้ยนด้วยการมาส์คหน้า ลงไปในบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยน เพื่อให้เนื้อมาส์คซึมเข้าไปในผิวหนัง และเมื่อแห้งก็จะทำการดูดเอาสิวเสี้ยนทั้งรากออกมา

ในปัจจุบันมีวิธีการมาส์คหน้าเพื่อกำจัดสิวเสี้ยนอยู่หลายวิธี ทั้งการใช้แผ่นมาร์สหน้าสำเร็จรูป กาว หรือแม้แต่การใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น การมาส์คหน้าด้วยไข่ขาว แล้วแปะด้วยกระดาษเช็ดหน้าทิ้งเอาไว้จนแห้ง แล้วจึงลอกออก เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีวิธีการกำจัดสิวเสี้ยน ด้วยการใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน โดยนำแผ่นลอกสิวเสี้ยนปิดทิ้งเอาไว้ในบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยน 15 นาที แล้วลอกออก โดยส่วนใหญ่วิธีดังกล่าวมักที่จะใช้ในการกำจัดสิวเสี้ยนที่ขึ้นอยู่บริเวณจมูก

อย่างไรก็ตาม การลอกหน้า และการกำจัดสิวเสี้ยนโดยการใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน อาจส่งผลให้ใบหน้าของคุณสาวๆ เกิดเสี่ยงต่อการเกิดรูขุมขนกว้าง สิวเสี้ยนก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก และในบางครั้งอาจทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้น

การทาครีมรักษาสิวเสี้ยน

สำหรับส่วนผสมของตัวยาในครีมที่ใช้ในการรักษาสิวเสี้ยนที่ไม่รุนแรงนัก ในปัจจุบันมักจะมีส่วนผสมของสารตัวใดตัวหนึ่งใน 4 ชนิด ได้แก่  Benzoyl Peroxide, Retinoic Acid, Tretinoin,Clindamycim, Erythromycin และ Saiicylic Acid โดยส่วนใหญ่แล้ว ส่วนผสมของยารักษาสิวเสี้ยนเหล่านี้ จะมีผลช่วยในการลดไขมันอุดตัน และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acne ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยนขึ้น

ดังนั้นการทาครีมรักษาสิวเสี้ยนจึงเป็นการช่วยรักษาสิวเสี้ยนจากต้นตอของปัญหา และอ่อนโยนกับผิวหน้ามากกว่าวิธีการกำจัดสิวแบบอื่นๆ ที่ได้ทำการกล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น

ในปัจจุบันมี ผลิตภัณฑ์ครีมรักษาสิวเสี้ยนที่มีส่วนผสมเหล่านี้อยู่หลายยี่ห้อ ซึ่งคุณสาวๆสามารถเลือกซื้อได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถดูได้จากส่วนผสมที่อยู่ในฉลากข้างผลิตภัณฑ์ แต่อย่างไรก็ตามคุณสาวๆ ควรที่จะพิจารณาเลือกสินค้าที่มีกระแสตอบรับที่ที่ดีจากผู้ที่เคยทดลองใช้แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาสิวเสี้ยนได้อย่างดีเยี่ยม

ในขณะนี้ก็ได้มีผลิตภัณฑ์รักษาสิวเสี้ยน ที่กำลังได้รับความนิยมจากประเทศเกาหลีเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคุณสาวๆ ที่ต้องการกำจัดสิวเสี้ยน

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.