รู้ทันปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพรรักษาได้

         โรคต่อมลูกหมากโต เป็นหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ชายบ่อยๆ เสียจนแทบจะเรียกว่าเป็นโรคสามัญสำหรับผู้ชายไปเสียแล้ว ซึ่งสร้างปัญหาทางด้านสุขภาพหลายอย่างเลยทีเดียว แต่โรคต่อมลูกหมากโต ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำการบำบัดดูแลรักษาด้วยตัวเองได้ สำหรับในวันนี้ ใครที่กำลังอยากดูแลรักษาตัวเองจากปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพรตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปพึ่งพาการรักษาจากแพทย์นั้น สามารถติดตามอ่านได้จากบทความชิ้นนี้กันเลย

ต่อมลูกหมากโตส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
 ปัญหาต่อมลูกหมากโต (BPH) เป็นที่รู้จักกันดีในวงการแพทย์ เนื่องจากไม่ใช่โรคใหม่ที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะผู้ชายกว่า 80% หลังอายุ 50 ปี มักจะประสบกับปัญหาดังกล่าว ที่มีขนาดของต่อลูกหมากขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งในบางครั้งต่อมลูกหมากโต ก็จะสร้างปัญหาให้กับร่างกายด้วยการไปกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการปัสสาวะได้ไม่สมบูรณ์ จนมีการตกตะกอน ส่งผลให้ระบบปัสสาวะมีความอ่อนแอ และจำเป็นที่จะต้องปัสสาวะบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน ต่อมลูกหมากโต สร้างความรำคาญให้มากกว่าอันตราย แต่อย่างไรก็ตามมันก็สามารถที่จะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ รวมไปถึงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือสร้างความเสียหายให้กับไตได้เช่นกัน

วิธีการรักษาปัญหาต่อมลูกหมากโตทางการแพทย์
 1 ใน 3 ของผู้ชาย มักได้รับการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยวิธีการผ่าตัดต่อมลูกหมาก หรือทานยาตามใบสั่งของแพทย์ เช่น Flomax หรือ Proscar แต่จากการศึกษาวิจัยที่เพิ่มมากขึ้น ชี้ให้เห็นหนทางอื่นในการรักษาต่อมลูกหมากโต สมุนไพรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่อาจจะมีราคาที่สูงมากกว่าการรักษาตามปกติ แต่ก็มีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าเช่นกัน นอกจากนี้กลุ่มผู้ที่ให้ความสนใจบำบักปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพรนั้นยังอ้างว่า สมุนไพรเหล่านี้ยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก สาเหตุสำคัญอันดับสองของการเสียชีวิตในผู้ชายได้อีกด้วย

การบำบัดปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพร
 คุณสมบัติของสมุนไพร ขุมพลังจากธรรมชาติได่รับการมองข้ามมาโดยตลอด แต่ในปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มากเพียงพอในการช่วยยืนยันว่า ต่อมลูกหมากโต สมุนไพร สามารถดำเนินการแก้ไขที่ควบคู่กันไปได้ คลินิกบำบัดจำนวนมากได้มีการแนะผู้ป่วยต่อมลูกหมากโต สมุนไพรใช้ในการบำบัด ผ่านการปรับปรุงเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทางคลินิก เพื่อให้การบำบัดรักษาปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพร เป็นไปได้ด้วยดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสมุนไพรที่ได้รับนิยม มีดังต่อไปนี้

         1.Saw ปาล์ม ต้นปาล์มขนาดเล็ก เป็นหนึ่งในสมุนไพรชั้นนำในการรักษาต่อมลูกหมากโต และเป็นสมุนไพรที่ขายดีมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ในหนึ่งปีจะมีผู้ซื้อหาสมุนไพรชนิดนี้ไปใช้ในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต เป็นมูลค่ารวมถึง 25 ล้าน ดอลล่า เลยทีเดียว
 2.สารสกัดจากเกสรต้นหญ้าไรย์ ในการทดสอบพบว่าต่อมลูกหมากโต สมุนไพรสารสกัดจากเกสรต้นหญ้าไรย์ มีอาการดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก อาหารเสริมตัวนี้ยังมีความจำเป็นอย่างมากในการลดความจำเป็นในการเข้าห้องน้ำในช่วงตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังช่วยให้การปัสสาวะเป็นไปอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะเหลืออยู่น้อยในกระเพาะปัสสาวะ
 3.Pygeum จากเปลือกต้นพลัมแอฟกัน ที่มีการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของยาแผนโบราณ ในยุโรปมีการนำมาใช้ในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต ด้วยคุณสมบัติการช่วยลดจำนวนการไปเข้าห้องน้ำทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน ถึงแม้เจ้าสารสกัดตัวนี้จะมีความปลอดภัยสูง แต่มันก็อาจจะก่อให้เกิดอาการปวดท้องในบางคนที่ใช้ได้เช่นกัน
4.ตำแยยุโรป ตำแยมีขนของยุโรป ที่ก่อให้เกิดอาการคัน และความเจ็บปวด แต่รากของมันกลับได้รับการศึกษาจนพบว่า มีคุณสมบัติช่วยในการเยียวยาปัญหาต่อมลูกหมากโต โดยที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วยุโรป ซึ่งในบางครั้งยังถูกนำมาใช้รวมกับยารักษาต่อมลูกหมากโตแบบมาตราฐานทางการแพทย์แผนปัจจุบันอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามตำแยยุโรป ก็ยังคงมีผลข้างเคียงบ้าง เช่น อาการปวดท้อง หรือผื่นบนผิวหนัง เป็นต้น 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

10 สุดยอดกลยุทธ์ ธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็ง

         มะเร็ง เป็นหนึ่งในโรคภัยที่อยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์เราอย่างคาดไม่ถึง ที่สำคัญคือ นับวันมันก็จะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับชนชาติตะวันตก ที่มีอัตราของผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งถีบตัวสูงมากขึ้นทุกปี ซึ่งในปัจจุบันโรคมะเร็งได้เติบโตจนแทบจะเรียกได้ว่ากลายเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก
 ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 1 ใน 20 คน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ในปี 1940 1 ใน 16 คน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง
 ในปี 1970 1 ใน 10 คน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ณ ปัจจุบัน 1 ใน 3 คน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง..!!

         จากการประมาณการณ์ของ CDC คาดว่า ในปี 2013 จะมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่มากขึ้นถึง 1,660,190 คน ถึงแม้เทคโนโลยีในการรักษาพยาบาลจะทันสมัยมากขึ้น จนอัตราการตายของประชากรโลกลดลง แต่จำนวนของผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งกลับมากขึ้นเรื่อยๆ และมะเร็งก็ยังถือว่าโรคที่รักษาหายได้ยากมากอีกด้วย ดังนั้นวิธีที่ดีสุดในการรักษาโรคมะเร็งก็คือ การพยายาม “ป้องกัน” ไม่ให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นกับตัวเอง ซึ่งบทความในวันนี้จะขอพาทุกท่านที่อยากมีสุขภาพดี ห่างไกลจากโรคมะเร็ง ไปทำความรู้จักกับสุดยอดกลยุทธ์ ธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็ง ที่จะช่วยให้คุรสามารถใช้เทคนิคธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็งอย่างง่ายๆในชีวิตประจำวันด้วยตัวเอง

ธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็ง ป้องกันอย่างไรในชีวิตประจำวันไม่ให้มะเร็งถามหา
มีวิธีธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็งมากมายหลายอย่างที่คุณสามารถทำได้ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แต่โปรดอย่ารีรอจนกว่าแพทย์จะวินิจฉัยให้คุณทำตามขั้นตอนเหล่านั้น เพราะมันจะสายจนเกินไป คุณสามารถที่จะป้องกันโรคมะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติก่อนที่มันจะสายจนเกินไป หรือหากคุณกำลังมีอาการป่วยจากโรคมะเร็ง ธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็งที่บทความชิ้นนี้กำลังจะแนะนำ ก็สามารถที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคมะเร็ง และเพิ่มโอกาสฟื้นตัวจากโรคมะเร็งของคุณให้มากยิ่งขึ้น
 1.การเตรียมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารทอด และเพิ่มอาหารที่ช่วยต้านโรคมะเร็ง อาทิเช่น สมุนไพร เครื่องเทษ และอาหารเสริมอื่นๆ อย่าง บล็อกโคลี่ ขมิ้นชัน ซึ่งอาหารเหล่านี้นอกจากจะช่วยต่อสู้โรคมะเร็งแล้ว และโรคอ้วน
2.คาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล ลดหรือจำกัดอาหารแปรรูปจากน้ำตาล ฟรุกโตส เนื่องจากอาหารเหล่านี้ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งคุณควรทำการตรวจสอบให้แน่ใจอยู่เสอว่า ปริมาณฟลุกโตสโดยรวมในแต่ละวัน จะอยู่ที่ประมาณ 25 กรัม ต่อวัน รวมทั้งในผลไม้อีกด้วย
 3.โปรตีนและไขมัน ระดับโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็ง คือ 1 กรัม ต่อ 1 กก กรัม น้ำหนักตัวจริงของคุณ ผู้ใหญ่โดยทั่วไปต้องการโปรตีนประมาณ 100 กรัม ซึ่งคุณสามารถทานโปรตีน และไขมันส่วนเกินที่มีคุณภาพสูงได้จากไก่ตอน โวคาโด และน้ำมันมะพร้าว
4.GMOs หลีกเลี่ยงอาหารดัดแปลงพันธุ์กรรม เพราะส่วนใหญ่มักได้รับการรักษาคุณภาพจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง คุณควรเลือกพืชอินทรีย์ที่ปลุกในท้องถิ่น
5.น้ำมันพืช ควรลดปริมาณของน้ำมันพืชทั่วไป แล้วเปลี่ยนไปใช้น้ำมันที่มีคุณภาพสูงจาก โอเมก้า 3 หรือ 6 แทน
 6.โปรไบโอติกธรรมชาติ พืชผักผลไม้บางประเภท สามารถช่วยประสิทธิภาพของลำไว้ ลดการอักเสบ และเสริมสร้างการตอบสนองภูมิคุ้มกันให้มากยิ่งขึ้น นักวิจัยได้พบว่ากลไกลของจุลินทรีย์ที่ตอบสนองต่อเซลล์มะเร็งบางชนิด ใช้อาการอักเสบเป็นพลังงานในการเจริยเติบโต ดังนั้นการชะลออาการอักเสบ จึงเป็นการช่วยชะลออาการของโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี

         7.เพิ่มอาหารหมักตามธรรมชาติในชีวิตประจำวัน เป็นการช่วยเพิ่มไบรไปโอติกที่ดีที่สุดแบบหนึ่ง ซึ่งอาหารหมักดองตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
 8.ออกกำลังกาย ช่วยลดระดับอินซูลิน ระดับน้ำตาลที่ต่ำจะช่วยลดการเจริญเติบโต และแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง และยังช่วยเพิ่มภูมิกัน รวมไปถึงอัตรารอดชีวิตที่มากขึ้นของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยวิธีการเคมีบำบัดอีกด้วย
 9.วิตามิน D มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายว่าสามารถช่วยลดความเสี่นงของโรคมะเร็ง คุณสามารถเพิ่มวิตามิน D ให้กับตัวเองได้อย่างง่ายๆ ด้วยการสัมผัสกับแสงแดดในปรมิมาณที่เหมาะสม
10.นอน ให้แน่ใจอยู่เสมอว่าคุรได้ทำการนอนกลับพักผ่อนอย่างเพียงพอในแต่ละวัน เพื่อการผลิตเมลาโทนิล ที่จะช่วยเพิ่มการต้านทานอินซูลินในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

กินแก้วมังกร ลดน้ำหนัก สวย สุขภาพดีได้ง่ายๆ

         แก้วมังกร หรือ Dragon fruit เป็นผลไม้ที่หาซื้อง่ายตามท้องตลาด มาพร้อมกับรสชาติแสนอร่อย ทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ มีทั้งวิตามินซี ฟอสฟอรัส โปรตีน และแคลเซียม ซึ่งในปัจจุบันมีผลงานวิจัยมากมายที่ชี้ให้เห็นว่าแก้วมังคกรมีประโยชน์สารพัดต่อมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆของร่างกายเป็นปกติ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด เป็นต้น และอีกเหตุผลที่แก้วมังกรกลายเป็นผลไม้ยอดฮิตของสาวๆก็คือ แก้วมังกร ลดน้ำหนักได้


แก้วมังกร ลดน้ำหนักได้อย่างไร

         แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่มีกากใยสูง ช่วยบำรุงการทำงานของระบบขับถ่าย และให้พลังงานต่ำ โดยเนื้อแก้วมังกร 100 กรัม จะให้พลังงานเพียง 66 แคลลอรี่เท่านั้น สำหรับเมล็ดสีดำเล็กๆที่เราเห็นในเนื้อแก้วมังกร มีกรดไขมันซึ่งทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอล หรือไขมันชนิดไม่ดีออกจากร่างกาย และมีส่วนช่วยในการเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีอีกด้วย จึงถือว่าเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือกำลังควบคุมอาหารเป็นอย่างยิ่ง
         แก้วมังกรที่นิยมจำหน่ายกันทั่วไป มี 2 ชนิดใหญ่ๆคือ ชนิดสีขาวและสีแดง แก้วมังกรชนิดสีแดงจะมีรสออกหวานกว่า ส่วนแก้วมังกรสีขาวจะมีรสหวานอ่อนๆ สำหรับคนที่ชอบรับประทานหวานอาจจะไม่ชอบผลไม้ชนิดนี้เพราะรสชาติจะออกไปทางจืดชืดเสียมากกว่า ทว่าผลไม้ธรรมดาอย่างแก้วมังกร ลดน้ำหนักได้ผลชะงัด เนื่องจากมีกากใย บำรุงการทำงานของระบบขับถ่าย และให้พลังงานต่ำอย่างที่ได้บอกไป ทั้งนี้ การบริโภคแก้วมังกรต้องคำนึงว่าอาหารทุกอย่างสามารถทำให้อ้วนได้หากรับประทานมากเกินพอดี จึงควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ ควบคู่กับการรับประทานอาหารให้หลากหลายครบ 5 หมู่


กินแก้วมังกรมากๆ แล้วจะเป็นมะเร็งหรือไม่

         มีความเชื่อที่ว่าเมล็ดสีดำเล็กๆที่อยู่ในเนื้อของแก้วมังกรนั้นเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง หากใครรับประทานเข้าไปมากๆ จะทำให้สะสมจนเป็นโรคมะเร็ง ผู้คนส่วนหนึ่งที่คิดเช่นนี้จึงไม่กล้ารับประทานแก้วมังกร ทั้งนี้ ความเชื่อดังกล่าวเป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด เพราะยังไม่มีการศึกษาใดทั้งสิ้นที่สนับสนุนแนวคิดนี้
         ในทางตรงกันข้ามมีผลการศึกษาพบว่าเจ้าเมล็ดสีดำเล็กๆ ในเนื้อแก้วมังกรนี้แหละที่มีสารกลุ่ม FOS ในปริมาณสูง ให้คุณสมบัติเป็นสาร Prebiotic ซึ่งช่วยปรับสมดุลของแบคทีเรียในลำไส้ และมีฤทธิ์ในการดูดซับสารเคมีและสารพิษในร่างกาย นอกจากนี้ เมล็ดสีดำเล็กๆเหล่านี้ยังมีกรดไขมันซึ่งทำหน้าที่ในการขจัดคอเลสเตอรอล หรือไขมันชนิดไม่ดีออกจากร่างกาย
         ยิ่งกว่านั้น ในแก้วมังกรมีวิตามินบี1 บี2 คลอโรฟิลล์ รวมถึงวิตามินซีจำนวนมาก และในเมล็ดของแก้วมังกรอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัว สามารถต่อต้านปฏิกริยาอ๊อกซิเดชั่น นอกจากจะรับประทานแก้วมังกร ลดน้ำหนัก รู้สึกดับร้อน ผ่อนกระหายแล้ว ยังสามารถบำรุงสุขภาพผิวพรรณให้ชุ่มชื่น ดูมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่งมากขึ้น แถมยังช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนม เรียกได้ว่าใช้เป็นผลไม้ที่เกิดมาเพื่อสุขภาพและความสวยความงามอย่างแท้จริง
         สำหรับผู้ที่ไม่ปลื้มในรสชาติของแก้วมังกร รู้อย่างนี้แล้วก็ควรเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ เพราะคุณประโยชน์ที่มีอย่างมากมายในผลไม้นี้ จะช่วยรักษาสุขภาพให้แก่ผู้บริโภคแบบรอบด้าน ทั้งแก้วมังกร ลดน้ำหนัก รักษาหุ่นให้ฟิตแอนด์เฟิร์มอยู่เสมอ เพราะให้แคลลอรี่ต่ำ ขจัดของเสียออกจากร่างกาย ต่อต้านโรคภัยต่างๆ ทั้งยังช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญเป็นผลไม้ที่หารับประทานได้ไม่ยาก ฉะนั้น การรับประทานแก้วมังกรจึงเป็นอีกวิธีในการดูแลสุขภาพ ที่ทำได้แสนง่าย ใครๆก็ทำได้ ไม่จำกัดเพศและวัย หวังว่าทุกคนจะมีรูปร่างที่เพรียวดูดี ผิวเปล่งปลั่ง สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้า

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีกินว่านชักมดลูกให้ดี ถูกตำรายาแผนโบราณ

         กระแสทางด้านยาสมุนไพรโบราณ กำลังกลับมาเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งหนึ่งในยาแผนโบราณเหล่านั้น ชื่อที่เรามักได้ยินผ่านหูกันบ่อยครั้งก็ได้แก่ “ว่านชักมดลูก” ที่ได้ถูกแปรรูปนำมาวางจำหน่ายให้เห็นในท้องตลาดกันบ่อยครั้ง แต่เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะยังสงสัยในสรรพคุณของว่านชักมดลูกว่าเป็นอย่างไร และวิธีกินว่านชักมดลูกที่ถูกต้อง ต้องทำอย่างไรจึงจะให้ผลลัพธ์ที่เยี่ยมในการบำรุงร่างกายอย่างสูงสุดนั้น เรื่องราวน่าสนใตเกี่ยวกับสมุนไพรว่านชักมดลูกเหล่านี้ สามารถติดตามอ่านได้จากบทความชิ้นนี้กันเลย

ว่านชักมดลูกคืออะไร?
 ว่านชักมดลูก เป็นสมุนไพรที่ถูกจัดอยู่ในตระกูลของ “ขิง” เป็นกลุ่มดียวกับขมิ้นชัน เป็นพืชที่มีลำต้น แต่มีหัวฝังตัวอยู่ใต้ดิน ซึ่งว่านชักมดลูกเองก็มีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่ที่มักพบมากในท้องตลาดหลักๆจะมีอยู่ 2 สายพันธุ์ ได้แก่
         1.ว่านชักมดลูกตัวเมีย (Curcuma comosa Roxb.) มีลัก๋ณะหัวหลมรีตามแนวตั้ง มีแขนงสั้น
         2.ว่านชักมดลูกตัวผู้ (Curcuma latifolia) หัวใต้ดินจะมีลักษณะกลมแป้นมากกว่าว่านชักมดลูกตัวเมีย
ด้วยลักษณะที่คล้ายคลึงกันของว่านชักมดลูกเหล่านี้ ทำให้ผู้ซื้อมักเกิดความสับสน ซึ่งแหล่งเพาะพันธุ์ว่านชักมดลูกที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยนั้น มักจะปลูกกันมากในบริเวณจังหวัดเลย และจังหวัดเพรชบูรณ์

สรรพคุณของว่านชักมดลูก
ในตำรายาสมุนไพรของไทยนั้น นิยมใช้ว่านชักมดลูกตัวเมียเข้ามาเป็นส่วนผสมหลัก โดยมีคุณสมบัติช่วยในการรักษาอาการต่างๆของสตรี ไม่ว่าจะเป็นอาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ ปวดท้องประจำเดือน ตกข่าว เป็นต้น
 จากการศึกษาวิจัยของแทพย์แผนปัจจุบันค้นพบว่า ว่านชักมดลูกนั้น มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง หรือฮอร์โมนเอาโตรเจน ที่ช่วยในการรักษาสุขภาพต่างๆของสตรีวัยทองได้เป็นอย่างดี
วิธีกินว่านชักมดลูกอย่างไรให้ถูกต้อง และได้ประโยชน์สูงสุด

         สำหรับวิธีกินว่านชักมดลูกให้ถูกต้องนั้น มีอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะของว่านชักมดลูกที่คุณซื้อมา โดยมีวิธีกินว่านชักมดลูกที่ถูกต้องอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้
  1.ว่านชักมดลูกสด วิธีกินว่านชักมดลูกหัวสดสามารถทำได้ด้วยการนำหัวว่านมาปลอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดให้สะอาด จากนั้นนำมาต้มน้ำดื่ม หรือนำหัวว่านชักมดลูกไปฝนให้ละเอียด ผสมดองเข้ากับสุราใช้ดื่มเพื่อแก้ปวดมดลูก
 นอกจากนี้ ยังมีวิธีการทานว่านชักมดลูกแบบอื่นๆ เช่น การนำว่านชักมดลูกมาตำให้ละเอียดเป็นผง จากนั้นนำไปผสมกับน้ำผึ้ง แล้วปั่นให้กลายเป็นยาลูกกลอน หรือนำผงของว่านที่ผสมกับน้ำผึ้งไปชงดื่มกับน้ำร้อนก่อนอาหาร 3 มื้อ
 2.ว่านชักมดลูกแบบสำเร็จรูป ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับว่านชขักมดลูกออกมาวางขายในลักษณะแบบสำเร็จรูปกันอย่างมากมายเลยทีเดียว ซึ่งหากเป็นว่านชักมดลูกในลักษณะนี้ จะมีวิธีกินว่านชักมดลูกที่ถูกต้อง เหมาะสมสำหรับคุณแนะนำเอาไว้อยู่บริเวณข้างขวดอยู่แล้ว ซึ่งสามารถทานตามคำแนะนำได้เลย
 วิธีกินว่านชักมดลูกให้ดี ถูกตำรายาแผนโบราณ จากภูมิปัญญาของเหล่านคนในอดีตที่ได้ทดลองผิด ลองถูกกันมาอย่างยาวนาน เป็นการพิสูจน์ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมของสมุนไพรไทย ที่มีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทา และรักษาโรคภัยไข้เจ็บกันมาอย่างยาวนาน

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ชำแหละ 2 โรคผิวหนัง คัน เป็นวงที่คนมักเข้าใจผิด

         เมื่อพูดถึงโรคผิวหนัง คัน เป็นวงแล้ว บอกได้เลยว่ามีมากมายก่ายกองเหลือเกิน ทั้งอาการผด ผื่น คันตามร่างกาย ลมพิษ อาการแพ้เหงื่อ แพ้สารพิษ หรืออาจเกิดจากการแพ้ยา นอกจากนี้โรคผิวหนัง คัน เป็นวงยังรวมถึงโรคกลากและเกลื้อนที่หลายคนมักสับสน เข้าใจกันว่ามันคือโรคเดียวกัน ซึ่งจริงๆแล้วทั้งสองโรคมีความแตกต่างกัน ด้วยเหตุเรื่องความสับสนนี่เองบทความนี้จะสร้างความกระจ่างชัดเกี่ยวกับโรคกลากและโรคเกลื้อนให้ท่านผู้อ่านได้มีความเข้าใจ เพื่อหาแนวทางป้องกันแก้ไขที่ถูกต้องมากขึ้น

1.โรคกลาก
         โรคกลาก เกิดจากเชื้อรา จัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยมากในเมืองไทย เนื่องจากโรคนี้มักแพร่หลาย ในแหล่งที่มีอากาศร้อนและชื้น โดยเกิดจากเชื้อ 3 สายพันธุ์ คือ Trichophyton Microsporon และ Epidermophyton ซึ่งสามารถทำให้เกิดโรคเชื้อราได้ทั้งตัว ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
         เชื้อกลากที่ขาหนีบ หรือที่เราเรียกกันว่า “สังคัง” มักเกิดจากสายพันธุ์ Epidermophyton ซึ่งเป็นบ่อยในเด็กผู้ชายมากกว่า เชื้อนี้สามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้โดยการใช้ส้วมแบบโถนั่งเดียวกัน นั่งเก้าอี้ตัวเดียวกัน ยืมกางเกงมาสวมใส่ รวมทั้งการใช้ผ้าเช็ดตัวร่วมกันด้วย โดยอาการของสังคังจะขึ้นเป็นวงที่ขาหนีบ 2 ข้าง และลุกลามออกไปเรื่อยๆ มักมีสีคล้ำๆ บางคนอาจเกาจนน้ำเหลืองเฟอะหรือผิวหนังหนา
         เชื้อกลากที่เท้า หรือ “ฮ่องกงฟุต” เป็นโรคผิวหนังที่จะขึ้นเป็นขาวๆและยุ่ย ต่อมาอาจลอกเป็นแผ่นหรือสะเก็ด แล้วแตกเป็นร่องและมีกลิ่น ถ้าแกะลอกขุยขาวๆที่เปื่อยยุ่ย จะเห็นผิวหนังข้างใต้มีลักษณะแดงๆ มีน้ำเหลืองซึม และมักมีอาการคันยิบๆร่วมด้วย

         เชื้อกลากบริเวณลำตัว เป็นโรคผิวหนัง คัน เป็นวงกลมขอบแดงจัด มีสะเก็ดขาวๆตรงขอบ ผู้ป่วยมักมีอาการคันมาก หากไม่ได้รับการรักษาจะลามไปขึ้นที่ใหม่ ไม่ห่างจากที่เดิมมากนัก การลามไปที่อื่นๆ เกิดจาก การที่ผู้ป่วยเกา เชื้อราจะติดตามซอกเล็บไปสู่ผิวหนังใกล้เคียง สำหรับตำแหน่งที่เป็นได้บ่อย คือ ขอบเอว หน้าอก และหลัง
         ตำแหน่งที่พบโรคกลากได้น้อยมาก คือ บริเวณใบหน้า เนื่องจากบริเวณหน้าทุกคนมักให้การดูแล และรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี แต่ก็ยังปรากฏอาการของโรคได้ ส่วนมากเป็นวงไม่ใหญ่นัก เพราะผู้ป่วยมักต้องรีบพบแพทย์เสมอ

2.โรคเกลื้อน
         เกลื้อน เกิดจากเชื้อราต่างชนิดกับโรคกลาก โดยจะขึ้นเป็นดวงเล็กๆ ขนาดตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรขึ้นไป ขึ้นรอบรูขุมขนจนถึงรวมกันเป็นปื้นใหญ่ เป็นสีขาว หรือน้ำตาลแดง กระจายทั่วไปในบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก แต่มักจะไม่มีอาการคัน เชื้อโรคที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง คัน เป็นวงอย่างเกลื้อน เกิดจากเชื้อราของผิวหนังชั้นตื้น ที่มีชื่อว่า Malassezia furfur ซึ่งพบได้ตามผิวหนังของคนทั่วไป โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ซอกคอ หน้าอก แผ่นหลัง เป็นต้น
         สำหรับปัจจัยที่ส่งเสริมการเกิดเกลื้อน ได้แก่ 1) ช่วงอายุ โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่นจะพบได้บ่อย เพราะเป็นวัยที่ต่อมไขมันทำงานมากและมีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกาย 2) พันธุกรรม เช่น คนมีอัตราการหลุดลอกออกของผิวหนังช้ากว่าปกติหรือคนที่มีผิวมันจะมีโอกาสเป็นเกลื้อนได้มากกว่าคนทั่วไป 3) ผู้ที่ปฏิบัติงานในสถานที่ร้อนอบอ้าว มีเหงื่อออกมาก และ 4) คนที่มีภูมิคุ้มกันไม่สมบูรณ์ รวมถึงภาวะอื่นๆ เช่น ภาวะเครียด การใช้ยาต้านแบคทีเรียชนิดกว้างเป็นเวลานาน คนติดเชื้อ HIV เป็นต้น


กลาก vs เกลื้อน

         โดยสรุปแล้ว โรคผิวหนัง คัน เป็นวง อย่างกลากและเกลื้อน เกิดได้จากเชื้อราเหมือนกัน แต่แตกต่างกันตรงที่ชนิดของเชื้อรา จึงทำให้อาการของโรคแตกต่างกันไปด้วย โดยกลากจะมีลักษณะเป็นผื่นสีแดง มีขอบเขตชัดเจน มีรูปร่างเป็นวงกลมหรือวงแหวน ขอบภายนอกมักมีสีเข้มกว่าผิวหนังด้านใน ถ้าลุกลามขยายออกมากขึ้นจะเห็นผื่นรูปวงแหวนมีขอบเขตชัดเจนยิ่งขึ้น อาจจะพบขุย สะเก็ดลอกบาง ๆ ที่ขอบวงแหวนได้ด้วย
         ในขณะที่ลักษณะของผื่นในโรคเกลื้อน จะพบเป็นวงเล็กๆขนาดตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรรอบรูขุมขนจนถึงรวมกันเป็นปื้นใหญ่ อาจมีสีซีดจางกว่าผิวหนังปกติข้างเคียง หรือมีสีเข้มกว่าสีผิวหนังปกติข้างเคียงก็ได้ แต่คนในบ้านมักพบเป็นแบบมีสีซีดจาง ซึ่งรอยเกลื้อนจะมีเศษขุยละเอียดหรือสะเก็ดของผิวหนังที่แห้ง สามารถขูดออกมาได้ ในคนที่มีผิวมันอาจไม่พบขุยหรือเศษของผิวหนัง อาจพบเพียงรอยด่างตามผิวหนัง
         หากยังไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังเป็นโรคอะไร อย่าพึ่งด่วนสรุปแล้วหาวิธีรักษาโดยพลการ เพราะอาจยิ่งทำให้โรคผิวหนัง คัน เป็นวงแพร่กระจายเชื้อได้มากขึ้น แนะนำให้พบแพทยผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยโรค แล้วทำตามคำแนะนำจากผู้รู้อย่างเคร่งคัดจะถือเป็นการดี จะได้หลุดพ้นจากโรคกลากและเกลื้อนไปโดยเร็ว เพราะมันเป็นโรคติดต่อที่น่าชังของบุคคลรอบข้าง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

สมุนไพรรักษาโรคผดผื่นคัน ได้ผลชงัด

         ยังไม่ทันไร ฤดูหนาวในบ้านเราก็จบลง แล้วถูกแทนที่ด้วยสภาพอากาศแสนร้อนอบอ้าว ซึ่งในฤดูร้อนที่จะถึงนี้ เรามีเรื่องโรคภัยไข้เจ็บมาฝากท่านผู้อ่าน จะได้ระแวดระวังไม่ให้เกิดขึ้นกับตนเองหรือคนรอบข้าง นั่นคือ “โรคผดผื่นคัน” ที่เกิดขึ้นตามผิวหนัง เป็นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนมากมักเกิดจากการระคายเคืองที่ผิวหนัง ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งกระตุ้นที่เป็นปัจจัยภายนอก เช่น การเสียดสี การถูกเสื้อผ้ากดทับ แพ้เหงื่อ อากาศที่ร้อนจัดหรือหนาวจัด แมลงกัด สารเคมี สบู่ แชมพู ผงซักฟอก ละอองฝุ่น ยาง พืชมีพิษ น้ำหอม โลชั่น เครื่องสำอาง สิ่งทอ เครื่องประดับ และอื่นๆ
         หรืออาจเกิดจากการรับประทานอาหารทะเล ถั่ว เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ และการรับประทานยา ซึ่งแต่ละคนจะมีความไวในการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นแตกต่างกันไป ทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านที่รุนแรงแตกต่างกัน การตอบสนองต่อการแพ้บางอย่างอาจรุนแรงมากจนทำให้เสียชีวิตได้ เช่น การแพ้ยาหรือสารเคมี

         สำหรับโรคผดผื่นคันที่เกิดจากปัจจัยภายนอก ถ้าเป็นไม่มากสามารถรักษาให้หายได้ด้วยการรับประทานยา การทายาบนบริเวณที่เป็น หรือการประคบเย็นก็สามารถทำให้อาการทุเลาลงได้ แต่ถ้าเป็นมากและรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายขาด จากโรคผดผื่นคันธรรมดาอาจยกระดับกลายมาเป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรังหรือลมพิษ คนไข้สามารถสันนิษฐานได้เลยว่าเกิดจากปัจจัยภายในร่างกายของตัวเอง คือระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือมากเกินไปที่ทำให้ร่างกายไวต่อสิ่งเร้ามากกว่าคนทั่วไป

การรักษาโรคผดผื่นคัน ด้วยตัวเอง
         อาการของโรคผดผื่นคันที่เกิดขึ้น จะมีลักษณะได้ 3 แบบ คือ 1.เป็นแค่ตุ่มแดงๆ อาจจะมีอาการคันเล็กน้อย 2.เป็นตุ่มน้ำาใสๆตื้นๆ และ 3.เป็นตุ่มหนอง เมื่อไปพบหมอมักให้ยาทาและยารับประทานช่วย ยาทาก็จะเป็นยาในกลุ่มของยาลดอาการอักเสบ ส่วนยารับประทานก็จะเป็นยาในกลุ่มลดอาการคัน ทั้งนี้ เราสามารถรักษาโรคผดผื่นคันได้ด้วยตัวเอง จากสมุนไพรธรรมชาติ ดังต่อไปนี้
         1.ว่านหางจระเข้ ดยการใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ทาผิวที่ระคายเคืองจากผดผื่นคัน วันละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรล้างผิวให้สะอาดก่อนทาทุกครั้ง สารอาหารจากว่านหางจระเข้จะช่วยบรรเทาอาการคัน และรักษาโรคผิวหนัง รวมทั้งฟื้นฟูสภาพผิวให้กลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง ไม่นานผดผื่นคันก็จะหายไปในที่สุด
         2.ขมิ้นชัน เป็นอีกสมุนไพรที่ดีต่อการรักษาโรคผิวหนัง โดยเฉพาะโรคผดผื่นคัน วิธีการคือให้นำเหง้าสดของขมิ้นชันมาล้างให้สะอาด ตำให้เกิดน้ำแล้วนำมาทาผิว หรืออาจจะใช้ไพลที่มีลักษณะคล้ายกับขมิ้นชัน นั่นคือนำเหง้าไปบดให้ผงแล้วนำไปผสมน้ำก่อนทาผิว หรือใช้เหง้าสดล้างให้สะอาด ฝนกับน้ำแล้วทาผิว

         3.เบคกิ้งโซดา บรรเทาโรคผดผื่นคันได้ดี โดยให้ใช้เบคกิ้งโซดา 2-3 ช้อนโต๊ะ ผสมลงในอ่างอาบน้ำ แล้วลงไปนอนแช่สักพัก จะช่วยลดอาการคันและทำให้รู้สึกสบายขึ้น หรืออาจใช้เบกกิ้งโซดา 3 ช้อนชาผสมกับน้ำสะอาด 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน และนำมาทาผิวบริเวณที่โดนพิษ รอจนเบกกิ้งโซดาแห้ง และหลุดลอกออกเองแล้วค่อยล้างทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง
         4.พลู สมุนไพรที่เรายังคงหาซื้อได้ตามท้องตลาดนี้ นอกจากจะนำมาทำอาหารให้ได้รสชาติน่าลิ้มลองแล้ว การนำใบสดๆเพียง 3-4 ใบ มาตำแล้วคั้นเอาน้ำผสมกัลเหล้าโรง ก็สามารถช่วยลดอาการของผดผื่นคันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
         5.ฟ้าทะลายโจร สมุนไพรนี้ขึ้นชื่อเรื่องสุขภาพมากมาย หนึ่งในคุณสมบัติที่ดีของฟ้าทะลายโจร คือสามารถนำใบสดมาตำแล้วคั้นเอาน้ำมาทาบริเวณที่มีอาการผดผื่นคัน หรือใช้ลำต้นต้มกับน้ำมันมะพร้าวจนเปื่อย แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำยามาทาก็ได้
         6.สะเดา โดยสามารถใช้ได้ทั้งส่วนใบและเปลือกต้นสะเดา เพราะมีคุณประโยชน์สูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผิวพรรณที่คล้ายคลึงกับทีทรีออยล์ เช่น การต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา และต้านเชื้อไวรัส ช่วยบรรเทาอาการคัน อาการแพ้ของผิว หรือผิวที่แห้ง รวมถึงจัดการกับโรคผดผื่นคันได้อย่างดีเยี่ยม 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มาดูตำแหน่งไฝบนใบหน้า ตรงไหนดี-ไม่ดี

         เรื่องโชคลางความเชื่อของคนไทยนั้นมีมาแต่โบร่ำโบราณ ซึ่งบางอย่างก็เป็นเพียงกุศโลบายในการดำเนินชีวิต บางเรื่องเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิต หรือบุญทำกรรมเวรของแต่ละคน อย่างเรื่อง “ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว” ก็เป็นสิ่งที่คนไทยยึดถือมานาน ทั้งนี้ ความเชื่อในด้านโหราศาสตร์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับคนในบ้านเรา วันนี้ เราจะพาท่านผู้อ่านมาเปิดตำราโหร ทำนายตำแหน่งไฝบนใบหน้า ตรงไหนดีควรเก็บไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล หนุนเสริมดวงชะตา และตรงไหนบ้างที่เป็นตำแหน่งอัปมงคล ควรหาวิธีเอาไฝออก
         อย่างไรก็ดี ความเชื่อเรื่องไฝบนใบหน้านี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ท่านผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูล

ตำแหน่งไฝที่ดี
         ข้อมูลนี้ได้มาจากเว็บไซต์ ASTVผู้จัดการออนไลน์ ที่ได้ระบุว่า แม้ความจริงแล้ว ผู้หญิงไม่ควรมีไฝบนใบหน้า เพราะจะดูรกตา ไม่สวยใส ทว่าก็มีไฝบางตำแหน่ง หากเก็บไว้จะยิ่งส่งเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้นได้ โดยการพยากรณ์นี้มาจาก อาจารย์ณัฐ RABBER MAN และ อาจารย์ธนู เซียมซีพุทธ สองนักพยากรณ์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องไฝ

         1.ไรผม มีไฝตรงไรผม หลบๆอยู่ ไม่เด่นชัด แบบนี้มีความหมายในเรื่องของ การมีสติปัญญาดี
         2.เหนือปาก ไฝบริเวณเหนือปาก ไม่ว่าจะข้างซ้ายหรือขวา คือรอบบนปากทั้งหมด แต่ไม่เกินเส้นร่องแก้ม แบบนี้เป็นไฝที่ส่งผลในเรื่องการเจรจาที่ประสบความสำเร็จ อาจหมายความถึงการเป็นคนที่เจรจาไพเราะ ร้องเพลงเพราะ หรือเป็นคนที่มีวาทศิลป์ดีเยี่ยม พูดอะไรก็เป็นที่น่าเชื่อถือ
         3.ริมฝีปาก ไฝที่อยู่ในริมฝีปาก แบบนี้ถือเป็นไฝดี ไม่ว่าจะอยู่ในริมฝีปากบนหรือล่างก็ตาม ไฝแบบนี้มีความหมายคล้ายกับตำแหน่งไฝเหนือปาก แต่จะดียิ่งกว่า นั่นคือเจรจาอะไรก็ประสบความสำเร็จไปหมด มีเสียงไพเราะ หรือประสบความสำเร็จอย่างมากจากการใช้เสียง เช่น คุณเบนซ์ พรชิตา ณ สงขลา ที่มีไฝตรงริมฝีปาก เธอก็ร้องเพลงได้ดี ประสบความสำเร็จในด้านการแสดง การใช้เสียง
         4.ตรงกลางระหว่างคิ้ว ไฝที่ขึ้นอยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ถือเป็นไฝดี ที่ไม่ควรเอาออก เพราะเป็นไฝของคนมีชื่อเสียง ที่เห็นชัดๆ ก็เช่น คุณเด๋อ ดอกสะเดา เป็นตลกที่มีชื่อเสียงมาก อย่างนี้เป็นต้น”

ตำแหน่งไฝที่ไม่ดี
         1.หน้าผาก ไฝที่หน้าผากจะส่งผลในเรื่องของพ่อแม่ ถ้ามีไฝที่หน้าผากด้านซ้ายหมายถึงแม่ ไฝด้านขวาหมายถึงพ่อ เช่นถ้าไฝขึ้นมาที่หน้าผากขวา ก็หมายถึงตำแหน่งพ่อไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เจ้าตัวอาจจะมีปัญหากับพ่อ เช่น ทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อยๆ
         2.คิ้ว ไฝที่ขึ้นบริเวณคิ้วก็ไม่ดี จะส่งผลให้เจ้าตัวมีนิสัยรุนแรง โมโหร้าย โหดร้าย มีความรุนแรงทางอารมณ์ ถ้ามีในผู้หญิง ผู้หญิงคนนั้นก็อาจจะเกิดการทะเลาะกับสามีได้บ่อย เขาเรียกว่า ‘ไฝกินผัว’ ไม่สามารถที่จะมีคู่ได้ เพราะเจ้าตัวอารมณ์ร้อน มีคู่แล้วก็อาจมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้ง กับคู่ได้ตลอด
         3.ใต้ตา ถือเป็นตำแหน่งที่ไม่ดี ควรเอาออก เพราะไฝตรงนี้ถือเป็นไฝแห่งการสูญเสีย เป็นไฝแห่งการผิดหวัง ความเสียใจ เป็นไฝแห่งการสูญสิ้นสิ่งดีๆ ไม่สามารถคงอยู่ได้นาน เช่น หากมีความรัก ความรักก็จะผิดหวัง สิ่งที่คาดหวังจะไม่ค่อยได้อย่างฝัน ได้มาครู่เดียวก็สลายไป มีแต่ร้องไห้ เสียใจ
         4.ดั้ง ไฝอยู่ตำแหน่งดั้ง หมายถึงไฝแห่งอุบัติเหตุ ถ้ายิ่งเม็ดใหญ่ยิ่งต้องเอาออก ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องประสบอุบัติเหตุร้ายแรงในชีวิตได้
         5.จมูก ไฝตรงจมูกเป็นเรื่องของเงินทอง ทรัพย์สมบัติ หากมีไฝตรงจมูก ทำนายว่าจะทำให้เสียทรัพย์ง่าย ไม่สามารถเก็บรักษาทรัพย์ไว้ได้นาน มักจะมีปัญหาในเรื่องของหนี้สิน และไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาหนี้สินได้ เรียกได้ว่าถ้ามีไฝตรงนี้ก็อาจทำให้ถึงขั้นล้มละลายได้
         6.แก้ม หากมีไฝตำแหน่งแก้ม ทำนายว่าเป็นคนที่ไม่ได้จริงจังกับเรื่องการเรียน หรือไม่รู้จักเพิ่มเติมความรู้ที่ดีให้กับตัวเอง เพราะแก้มหมายถึงดาวพฤหัส ที่บ่งบอกถึงเรื่องการศึกษาและความรู้ เมื่อดาวพฤหัสเสีย ก็แสดงว่าเรื่องการศึกษาความรู้ไม่ดี อาจเป็นคนที่เรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้น้อย หรือเป็นคนด้อยความรู้ หากมีความรู้ก็อาจรู้ในเรื่องที่ไม่ค่อยมีประโยชน์
         7.ใต้ปาก หากมีไฝอยู่ที่ใต้ปาก หรือบริเวณโดยรอบปากด้านล่าง มักจะเป็นคนพูดมาก คุยมาก คุยแบบไม่เป็นเรื่อง คุยแล้วไม่สร้างสรรค์ ไม่ค่อยส่งผลดีต่อตัวเอง เหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งแย่
         ทั้งหมดนี้คือคำพยากรณ์จากผู้เชี่ยวชาญเรื่องไฝ แต่ขอเน้นย้ำท่านผู้อ่านอีกครั้งว่า ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะมันคือความเชื่อส่วนบุคคล สำหรับการเอาไฝบนใบหน้าออกนั้น มีทั้งการวิธีการแบบดั้งเดิม เช่น ผสมปูนขาวกับน้ำมะนาวแล้วแต้มเฉพาะจุด เพื่อกัดไฝออก หรืออาจใช้เทคโนโลยีอย่างการจี้ไฝออก การผ่าตัด (หากเป็นไฝเม็ดใหญ่มากๆ) ซึ่งมีความปลอดภัย เห็นผลไวกว่า

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เป็นตาแดง รักษาอย่างไร ควรปฏิบัติตัวยังไง

         “ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ” ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าตาคู่สวยของเรานั้นสำคัญไฉน ลองนึกสภาพหากดวงตาของเรามืดบอด คงเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยาก ดังนั้น จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องดูแลรักษาตาทั้งสองข้างให้อยู่กับเราไปนานๆ บทความนี้จะพูดถึงโรคภัยใกล้ตัวที่เกิดขึ้นกับดวงตาแสนบอบบาง นั่นคือ “โรคตาแดง” ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่อาจเกิดขึ้นกับเราหรือคนรอบข้างได้ง่ายๆ และเมื่อเป็นตาแดง รักษาได้อย่างไรมาดูกัน


โรคตาแดง เกิดขึ้นได้อย่างไร
โรคตาแดง หมายถึงอาการของเยื่อบุตาอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรืออาจเกิดจากโรคภูมิแพ้ โรคนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงถึงขั้นตาบอด แต่ก็สร้างความทุกข์ทรมานไปกับอาการปวด แสบ หรือคันตาได้ ทั้งนี้ มีข้อสังเกตคือเมื่อเป็นตาแดงจะต้องไม่มีอาการตามัวลง หากมีอาการตาแดงร่วมกับการมองเห็นลดลงหรือตามัว ให้ระวังว่าอาจเกิดจากโรคตาที่อันตราย ยิ่งถ้ามีอาการเช่นนี้แล้วมีขี้ตา เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากการเป็นหนองที่กระจกตาหรือติดเชื้อรุนแรงในลูกตา แต่ถ้าไม่มีขี้ตาอาจเกิดจากกระจกตาอักเสบหรือม่านตาอักเสบ ดังนั้น หากมีอาการดังกล่าวต้องรีบไปพบจักษุแพทย์
นอกจากนี้ ภาวะตาแดงอาจเกิดจากเลือดออกใต้เยื่อบุตาขาว เนื่องจากการเผลอไปขยี้ตาแรงๆ เมื่อสังเกตในกระจกตอนตื่นอนอ จึงทำให้ลักษณะตาเป็นปื้นสีแดงสดที่บริเวณตาขาว ลักษณะนี้ไม่มีอันตราย เลือดจะไม่เข้าตาดำ ไม่ทำให้ตามัว และไม่ติดต่อกัน อย่างไรก็ดี ควรหลีกเลี่ยงการใช้มือขยี้ตา เพราะสามารถนำไปการติดเชื้อที่ลูกตาได้ และหากเป็นตาแดงจากการขยี้ตาแรงๆ แนะนำให้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบตาวันละ 10 นาที เลือดจะค่อยๆจาง และหายสนิทใน 10-14 วัน

เป็นตาแดง รักษาได้อย่างไร
เป็นตาแดง รักษาได้ ถึงแม้ว่าโดยทั่วไปมักจะหายเองใน 1-2 สัปดาห์ แต่ทางที่ดีเราก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย และเนื่องจากโรคตาแดงเกิดได้จากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย จึงมีวิธีการรักษาที่แตกกว่ากันไป ดังนี้
1.ตาแดงจากเชื้อไวรัส ยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ ยาต้านไวรัสต่างๆที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ผลกับเชื้อไวรัสชนิดนี้ ส่วนใหญ่จึงให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาปฏิชีวนะหยอดตาและป้ายตา เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งมักจะเกิดตามมา หยอดยาเฉพาะตาข้างที่เป็น ไม่ควรหยอดตาข้างที่ยังไม่เป็น เพราะจะเป็นการแพร่เชื้อไปยังตาข้างนั้นและไม่ควรใช้ยาหยอดตาร่วมกับผู้อื่น ทั้งนี้ หากดวงตาอักเสบมาก แพทย์อาจพิจารณาให้ยาหยอดลดอาการอักเสบ หรือให้รับประทานยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอลถ้ามีอาการเจ็บตา เคืองตา
ถ้ามีขี้ตาให้ใช้สำลีชุบน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว เช็ดบริเวณเปลือกตาให้สะอาด ใส่แว่นกันแดดเพื่อลดอาการเคืองแสง ไม่ควรใช้ผ้าปิดตาเพราะจะยิ่งทำให้การติดเชื้อเป็นมากขึ้น และงดใส่คอนแทคเลนส์จนกว่าจะหายอักเสบ ที่สำคัญพักผ่อนให้เต็มที่และพักการใช้สายตา
2.ตาแดงจากเชื้อแบคทีเรีย ตาแดง รักษาได้โดยใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตาและป้ายตาในช่วงแรก ถ้าเป็นมากแพทย์มักสั่งให้หยอดยาบ่อยๆ เช่น ทุก 1-2 ชั่วโมง จนอาการดีขึ้นจึงให้หยอดยาห่างกันเป็นหยอดทุก 4-6 ชั่วโมง ส่วนยาขี้ผึ้งป้ายตามักให้ป้ายก่อนนอนเพื่อให้ได้รับยาต่อเนื่องไปตลอดทั้งคืน ยาขี้ผึ้งป้ายตาถ้าใช้ในเวลากลางวันจะรบกวนการมองเห็น จึงไม่ค่อยสะดวกในการใช้ ยกเว้นในเด็กเล็ก หลังการใช้ยาอาการมักดีขึ้นภายใน 2-3 วัน และหายภายใน 1 สัปดาห์


ข้อแนะนำเมื่อเป็นตาแดง
1.หากเป็นตาแดง รักษายังไม่หาย ควรหยุดเรียนหรือหยุดงานรักษาตัวอยู่ที่บ้านอย่างน้อย 3 วัน เพื่อป้องกันไม่ให้โรคตาแดงลุกลามหรือติดต่อสู่คนอื่น
2.ควรใช้กระดาษแทห
นผ้าขนนูเช็ดหน้า เช็ดขี้ตา เพราะผ้าเช็ดหน้าจะเก็บสะสมเชื้อไว้และสามารถติดต่อไปยังผู้อื่นได้
3.หากใช้กระดาษหรือสำลีเช็ดขี้ตา เช็ดหน้าแล้ว ควรทิ้งในถังขยะที่มิดชิด
4.ควรใส่แว่นกันแดด เพื่อลดการระคายเคืองแสง
5.ไม่ควรใช้ผ้าปิดตา เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อมากขึ้น
6.งดใส่คอนแทคเลนส์ จนกว่าตาจะหายอักเสบ
7.ควรพักผ่อนให้เต็มที่ และพักการใช้สายตา
8.หมั่นรักษาความสะอาด ล้างมือทุกครั้งที่จับบริเวณใบหน้าและตา เนื่องจากโรคตาแดงจะติดต่อโดยการสัมผัสมากที่สุด การล้างมือจะช่วยตัดการแพร่กระจายเชื้อได้อย่างดี

&nbsp

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อยากอายุยืนต้องอ่าน โรคหัวใจรั่ว อาการสังเกตอย่างไร

         คงไม่มีใครปฎิเสธว่า หวัวใจเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย เพราะเมื่อใดก็ตามที่หัวใจหยุดเต้น การทำงานทุกส่วนของร่างกายก็ต้องหยุดตาม ไม่มีแม่แต่ชิ้นเดียวที่สามารถทำงานต่อไปได้ ซึ่งในบรรดาเหล่าโรคภัยที่เกี่ยวข้องกับหัวใจนั้น โรคหัวใจรั่ว อาการนั้นเรียกได้ว่าหนักหนา และหากปล่อยเอาไว้โดยไม่ใส่ใจ ตรวจเช็คให้ดีแล้วล่ะก็ มันก็อาจจะร้ายแรงถึงขนาดทำให้เกิดการเสียชีวิตได้เลยทีเดียว ถ้าหากใครกำลังสงสัยว่าโรคหัวใจรั่ว อาการเป็นอย่างไร? ควรสังเกตอย่างไร เพื่อที่จะช่วยทำให้สังเกตเห็นถึงโรคหัวใจรั่ว อาการต่างๆ เพื่อที่จะได้ทำการรักษาได้อย่างทันท่วงทีแล้วล่ะก็ คุณสามารถติดตามอ่านในบทความชิ้นนี้ เพื่อเป็นการช่วยป้องกันการโจมตีของโรคหัวใจรั่ว อาการต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง

โรคหัวใจรั่ว คืออะไร
ในการไหลเวียนโลหิตเข้าสู่หัวใจนั้น จะมีวาล์ว หรือลิ้นหัวใจ ที่ทำหน้าที่ในการปล่อยให้เลือดมีการไหลไปในทิศทางเดียวกันขณะที่กระแสเลือดทำการไหลเวียนผ่านหัวใจ และยังมีวาล์วที่ทำหน้าที่ปิดเพื่อป้องกันไม่ให้เลือดเหล่านั้นเกิดการไหลย้อนกลับไปในหัวใจ ถ้าหากวาล์วดังกล่าวเกิดการรั่วขึ้นมา แทนที่เลือดจะไหลไปข้างหน้าในทิศทางเดียวกัน เลือดบางส่วนจะเกิดการไหลย้อนกลับวาล์วนั่นเอง ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ถูกเรียกว่าโรคหัวใจรั่วนั่นเอง ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจรั่วนั้น อาจจะเป็นมาตั้งแต่เกิด อาการเจ็บป่วยจากไข้รูมาติก โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ การติดเชื้อเยื่อบุบหัวใจอักเสบ หรือในบางครั้งก็อาจจะเกิดขึ้นจากบางสาเหตุในช่วงชีวิต แต่หลายๆครั้งสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจรั่วนั้น กลับเกิดขึ้นราวกับปริศนา

โรคหัวใจรั่ว อาการที่แสดงออกมาให้เห็นมีอะไรบ้าง?
 โรคหัวใจรั่ว หรือโรคลิ้นหัวใจรั่วนั้น สำหรับโรคหัวใจรั่ว อาการอาจจะไม่แสดงออกมาให้เห็น แต่สามารถที่จะก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสุขภาพต่างๆ ทั้งเล็กน้อยและรุนแรง โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการรั่ว ว่ารบกวนการไหลเวียนของโลหิตที่ผ่านหัวใจมากน้อยเพียงใด ถ้าหากเป็นอาการรั่วเพียงเล็กน้อย ก็มักจะก่อให้เกิดเพียงอาการมีสุขภาพที่ไม่ดีตามมา
ถ้าหากมีอาการหัวใจรั่วรุนแรงทำให้เกิดอาการหายใจถี่ โดยเฉพาะเวลาที่ออกแรง หรือเมื่อนอนราบ อาการขาบวม วิงเวียนศรีษะ การเต้นของหัวใจรุนแรง อาการเมื่อยล้า เหนื่อยง่ายจนผิดปกติ และถ้าหากอาการรั่วของหัวใจมีมากๆ ก็อาจจะทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวขึ้นได้ หรือก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ

         โดยส่วนใหญ่แล้ว แพทย์จะเป็นผู้ที่ตรวจสอบ และวืนิจฉัยโรคหัวใจรั่ว อาการในขณะนั้นเป็นเช่นไร ด้วยการใช้หูฟังแนบกับหน้าอก เพื่อฟังเสรยงผิดปกติที่เกิดขึ้นกับหัวใจ รวมทั้งใช้การอุลตร้าซาวน์หัวใจที่เรียกว่า echocardiogram ที่จะช่วยให้แพทย์ทราบว่าโรคหัวใจรั่ว อาการมากน้อยเพียงใด

การรักษาโรคหัวใจรั่ว
 การรักษาโรคหัวใจรั่วนั่น แพทย์มักจะขอให้คุณกลับมาทำการตรวจสอบร่างกายในเวลาหนึ่งปีถัดไป เพื่อสังเกตว่าอาการของคุณนั้นแย่ลงหรือไม่ ซึ่งโรคหัวใจรั่ว สามารถทำการรักษาได้ด้วยการผ่าตัดซ่อมแซม หรือมักทำการทดแทนพื้นที่รั่วด้วยวาล์ว เพื่อป้องกันไม่ให้การทำงานของลิ้นหัวใจรั่ว รวมไปถึงการใช้ยาโดยขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคลิ้นหัวใจรั่วขึ้น นอกจากนี้ยาบางชนิดที่แพทย์แนะนำ ยังสามารถช่วยในการขับน้ำ และปัสสาวะที่สามารถช่วยทำให้อาการขาบวมที่เป็นผลข้างเคียงจากโรคหัวใจรั่วให้ลดน้อยลง

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ไขข้อข้องใจ เกลื้อน รักษายังไง

         วันนี้เราจะพูดถึงโรคภัยใกล้ตัวอย่างหนึ่ง ที่ถึงแม้จะไม่มีอันตรายร้ายแรงอะไร แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเรื่องความสวยงามและก่อให้เกิดความรำคาญได้ เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการคันเวลาเหงื่อออกและมักเป็นโรคเรื้อรัง ที่สำคัญคือต่อให้รักษาหายแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีก มันคือ “โรคเกลื้อน” ที่ใครเห็นเป็นต้องร้องอี๋!
โดยส่วนที่เกลื้อนชอบเป็นพิเศษบนเรือนร่างของเรา ได้แก่ ลำตัว หลัง หน้าอก ต้นแขน ซอกคอ ใบหน้า สังเกตได้ว่าส่วนล่างของร่างกาย เช่น ขา เท้า เกลื้อนจะไม่ค่อยพบ ซึ่งเจ้าเชื้อราเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เป็นเกลื้อน เพราะมันชอบความร้อนชื้น จึงมักพบเกลื้อนในนไทยมาก เนื่องจากสภาพอากาศในบ้านเราส่วนใหญ่คือร้อนน้อยกับร้อนมาก ทั้งนี้ ในเขตเมืองหนาวที่มีอากาศเย็น แห้ง จะไม่ค่อยพบโรคนี้


เกลื้อน เกิดจากอะไร
ก่อนจะทราบกันว่าเกลื้อน รักษายังไง ควรทำความเข้าใจก่อนว่าสาเหตุของโรคเกลื้อนเกิดจากเชื้อราที่ชื่อ Malassezia spp. ซึ่งปกติจะอาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นนอกของคนเรา โดยไม่ได้ทำให้เกิดโรคอะไร เชื้อมีรูปร่างเป็นเม็ดกลมๆ ซึ่งเรียกว่า ยีสต์ (Yeast) แต่เมื่อมีปัจจัยบางอย่างเกิดขึ้น เชื้อราที่อยู่บนผิวหนังของเราก็จะเปลี่ยนรูปร่างจากเม็ดกลมๆกลายเป็นเส้น ซึ่งเรียกว่า ไฮฟี (Hyphae) รูปร่างของเชื้อราแบบนี้นี่เองที่จะทำให้เกิดรอยโรคบนผิวหนังขึ้นมา
ปัจจัยที่ทำให้เชื้อราเปลี่ยนรูปร่างและก่อโรคขึ้นมานั้น ยังไม่ทราบชัดเจน แต่พบว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยบางอย่าง เช่น สภาพอากาศที่ร้อนชื้นร่วมกับมีพันธุกรรมบางชนิดที่ทำให้ง่ายต่อการติดเชื้อ มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง หรือขาดสารอาหารบางชนิด เป็นต้น
มีการค้นพบว่าเชื้อราส่วนใหญ่นั้น อาศัยอยู่ตามหน้าอกและแผ่นหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่มาก ประกอบกับการที่โรคเกลื้อนมักพบในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่ต่อมไขมันทำงานมาก จึงสันนิษฐานไดว่าปริมาณและชนิดของไขมันบนผิวหนังน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เชื้อราชนิดนี้เปลี่ยนรูปและก่อโรคขึ้นมา แต่การศึกษาวิจัยบางรายงานพบว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับไขมันบนผิวหนัง แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับชนิดกรดอะมิโนบางตัวมากกว่า

เกลื้อนกับกลาก ต่างกันตรงไหน
คนทั่วไปมักสับสนระหว่างกลากกับเกลื้อน บางคนเหมารวมเอาว่าทั้งสองคือโรคเดียวกัน ซึ่งข้อเท็จจริงลักษณะของกลากกับเกลื้อนแตกต่างกัน วิธีสังเกตอย่างง่ายคือ ลักษณะของผื่นในโรคเกลื้อนจะพบเป็นวงเล็กๆ ขนาดตั้งแต่ 1 มิลลิเมตรรอบรูขุมขนจนถึงรวมกันเป็นปื้นใหญ่ อาจมีสีซีดจางกว่าผิวหนังปกติข้างเคียง (hypopigmentation) หรือมีสีเข้มกว่าสีผิวหนังปกติข้างเคียง (hyperpigmentation) ก็ได้ แต่ในคนไทยมักพบเป็นแบบมีสีซีดจาง โดยรอยโรคจะมีเศษขุยละเอียดหรือสะเก็ดของผิวหนังที่แห้งซึ่งสามารถขูดออกมาได้ ในคนที่มีผิวมันอาจไม่พบขุยหรือเศษของผิวหนัง อาจพบเพียงรอยด่างตามผิวหนัง
ในขณะที่กลากจะมีลักษณะเป็นผื่นสีแดง มีขอบเขตชัดเจน มีรูปร่างเป็นวงกลมหรือวงแหวน ขอบภายนอกมักมีสีเข้มกว่าผิวหนังด้านใน ถ้าลุกลามขยายออกมากขึ้นจะเห็นผื่นรูปวงแหวนมีขอบเขตชัดเจนยิ่งขึ้น อาจจะพบขุย สะเก็ดลอกบาง ๆ ที่ขอบวงแหวนได้ด้วย

โรคเกลื้อน รักษาได้อย่างไร
1.ทายา
สำหรับคนที่สงสัยว่าเกลื้อน รักษายังไง ประการแรกที่คนเรามักนึกถึงคือการทายา ซึ่งมี 2 รูปแบบคือ 1) ยาน้ำทา อย่างเช่น 20% โซเดียมทัยโอซัลเฟต เหมาะกับผื่นเกลื้อนที่เป็นมากๆ และ 2) ยาฆ่าเชื้อราชนิดครีม ได้แก่ โคลไตรมาโซล ไมโครนาโซล ครีม เหมาะกับผื่นเกลื้อนที่เป็นบริเวณไม่กว้างมาก
2.ใช้สบู่ สำหรับโรคเกลื้อน
สบู่หรือแชมพูที่มีส่วนผสมของสารคีโตโคนาโซล หรือสารเซเลเนียมซัลไฟด์ โดยใช้หลังจากอาบน้ำ ฟอกตัวให้สะอาดด้วยสบู่ธรรมดาก่อน เมื่อเสร็จแล้วอย่าเพิ่งเช็ดน้ำที่ติดบนผิวหนังออก แต่ใช้สบู่หรือแชมพูยา ลูบไปทั่วบริเวณที่เป็นทิ้งไว้ 5 นาที แล้วค่อยอาบน้ำล้างออก อย่าปล่อยทิ้งแชมพูยาให้อยู่บนผิวหนังนานเกินไป เพราะอาจเกิดอาการระคายเคืองได้
3.ยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทาน
จะใช้เฉพาะในรายที่เป็นมาก และควรใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพราะยารับประทานอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ นอกจากนี้ยายังมีราคาแพง ยารับประทาน เช่น คีโตโคนาโซล 200 มิลลิกรม วันละ 1 ครั้ง 5 วัน หรือรับประทานยาฆ่าเชื้อราร่วมด้วยต้องใช้เวลานาน 1-2 เดือน แต่ร่องรอยแผ่นเกลื้อนจะยังอยู่อีก 2-3 เดือน จึงจะมีสีผิวเป็นปกติเหมือนเดิม

         เกลื้อน รักษายังไง อีกหนึ่งคำตอบที่ได้ผลคือการใช้สมุนไพรแบบดั้งเดิม ได้แก่ ใช้ใบแมงลักสด 10 ใบ ล้างน้ำให้สะอาด ตำให้แหลก เติมน้ำลงไปเล็กน้อย คั้นเอาน้ำมาทากลากน้ำนม วันละ 1 ครั้ง นาน 1 สัปดาห์ หรืออีกวิธีคือ ให้นำใบชุมเห็ดเทศ 3-4 ใบ มาตำให้ละเอียด เติมน้ำมะนาวนิดหน่อย ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2-3 ครั้ง

‘ข่า’ กับสูตรแก้กลากเกลื้อน
เกลื้อน รักษายังไง เราขอนำอีกหนึ่งสมุนไพรแบบไทยๆมานำเสนอ นั่นคือ “ข่า” สมุนไพรนี้สามารถแก้กลากเกลื้อนได้เป็นอย่างดี โดยมีวิธีง่ายๆคือ ให้เอาข่าแก่จัด สดมากน้อยตามต้องการ ตำให้แหลกแล้วแช่กับเหล้าขาว 28 หรือ 40 ดีกรี ให้ท่วมเนื้อข่า จากนั้นทิ้งไว้สัก 2 คืน เมื่อครบกำหนดแล้วเทเอาเฉพาะน้ำใส่ภาชนะใช้สำลีชุบทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนวันละ 3-4 ครั้ง ทุกวัน อาการจะดีขึ้นและหายในที่สุด
  กระนั้นก็ตาม กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ หากไม่อยากเป็นเกลื้อนควรรักษาความสะอาดของร่างกาย อย่าปล่อยให้ร่างกายอับชื้น เช่น ถ้าเล่นกีฬาเสร็จแล้วอย่างปล่อยหมักหมมทิ้งไว้ทั้งวัน ควรอาบน้ำชำระล้างร่างกายให้เรียบร้อย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.