ผิวหนังไก่ที่คอ อันตรายไหม รักษาได้หรือเปล่า?

         หลายคนอาจจะมีตุ่มเล็กๆ จำนวนมาก ที่ยามเมื่อมองผ่านๆดูราวกับอาการขนลุกอยู่ตลอดเวลาบนลำคอ แต่หารู้ว่าเจ้าตุ่มชวนสะดุดตาเหล่านั้นถูกเรียกว่า “ผิวหนังไก่ที่คอ” ซึ่งเจ้าตุ่มเล็กๆเหล่านี้ ถึงแม้จะไม่ได้ร้ายแรง แต่ก็สร้างความน่ารำคาญให้กับบรรดาเหล่าคนรักสวยรักงามช่างแต่งตัว เพราะพวกมันจะทำให้ผิวดูไม่รายเรียบ อีกทั้งในบริเวณลำคอเองก็ยังเป็นส่วนที่ยากต่อการปกปิดอีกต่างหาก ทำให้คุณสาวๆหลายต่อหลายคนที่กำลังประสบปัญหาดังกล่าวต่างพยายามหาวิธี “กำจัด” ผิวหนังไก่ที่คอให้หายวับกลายเป็นอดีต แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรเริ่มต้นอย่งไรเพื่อการกำจัดหนังไก่อย่างได้ผล คุณสามารถทำการศึกษาได้จากการอ่านบทความชิ้นนี้กันเลย

สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวหนังไก่ที่คอ
ผิวหนังไก่ที่คอ หรือ Keratosis pilaris เกิดจากการสะสมตัวของเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากการติดเชื้อ และสิ่งที่เป็นอันตรายอื่นๆ เมื่อเจ้าเคราตินเกิดการเจิรญเติบโตขึ้นมาบล็อกการเปิดของรูขุมขน ซึ่งทางการแพทย์ก็ยังไม่แน่ใจอะไรคือสิ่งที่ตกค้างอยู่ที่รูขุมขนเหล่านั้น แต่สาเหตุหลักๆเลยที่มักก่อให้เกิดโรคผิวหนังไก่ที่คอก็คือ การที่ผิวหนังแห้งจนเกินไปนั่นเอง
อาการของโรคผิวหนังไก่
อาการผิวหนังไก่ที่คอมักจะเลวร้ายลงเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว และอาจจะรวมไปถึงในฤดูร้อน เนื่องจากความชื้นในอากาศน้อยลง ซึ่งโรคผิวหนังไก่มักจะยังมีผลกระทบต่อโรคผิวหนังอื่นๆ อย่างเช่น กลาก หรือโรคผิวหนังภูมิแพ้อีกด้วย
อย่างไรก็ตามผิวหนังไก่ ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ เนื่องจากไม่ได้เกิดขึ้จากอาการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดขึ้นจากแบคทีเรีย หรือไวรัส จึงไม่สามารถติดต่อคนอื่นๆได้จากการสัมผัส ซึ่งผิวหนังไก่จริงๆแล้วมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นสูงขึ้นอยุ่กับพันธุ์กรรมและสภาพผิว โดยเฉพาะผิวที่แห้ง

การบรรเทาอาการโรคผิวหนังไก่ด้วยตัวเอง
การบรรเทาอาการผิวหนังไก่ที่คอสามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยการให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้น ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะทำการเกา กระแทก หรือถูบริเวณที่เป็นผิวหนังไก่ที่คอ รวมไปถึงการอาบน้ำอุ่นที่ไม่ร้อนจนเกินไป และพยายามใช้สบู่ที่มีการช่วยเพิ่มไขมัน หรือน้ำมันแก่ผิว ตบท้ายด้วยการใช้มอยเจอไรซ์เซอร์ลงบนผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากเป็นไปได้ ควรพยายามเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอากาศโดยรวมภายในบ้านของคุณ ซึ่งการดูแลรักษาผิวหนังไก่เป็นสิ่งที่ต้องให้ความใส่ใจ ต้องทำอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีที่สุด แต่ในหลายๆครั้งผิวหนังไก่ที่คอก็สามารถที่จะหายไปได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องทำการรักษาอะไรเป็นพิเศษได้เช่นกัน

         ถ้าหากคุณต้องการที่จะเห็นผลลัพธ์ในการรักษาที่เพิ่มมากขึ้น ขอแนะนำให้ใช้โลชั่นทาผิวที่มีส่วนผสมของ กรดแลคติก (AmLactin, Lac-Hydrin), โลชั่นอัลฟาไฮดรอกซีกรด (Glytone, โลชั่นร่างกายไกลโคลิก), ครีมยูเรีย (Carmol 10 Carmol 20 Carmol 40, Urix 40) กรดซาลิไซลิ (โลชั่น Salex) และครีมเตียรอยด์เฉพาะที่ (triamcinolone 0.1%) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การดูแลรักษาปัญหาผิวหนังไก่ที่คอ ควรค่อยๆทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ด้วยความระมัดระวัง ไม่รุนแรง ไม่ตั้งความคาดหวังที่มากจนเกินไปนัก เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และควรทำความสะอาดผิวหนังได่ที่คอเป็นประจำ ด้วยสบู่ หรือน้ำยาทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยนวันละ 1-2 ครั้ง
การรักษาผิวหนังไก่ที่คอทางการแพทย์
ในบางกรณี มีผุ้ที่ประสบปัญหาผิวหนังไก่ที่คอหลายคน ประสบความสำเร็จจากการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ ที่ทำให้พื้นที่เป้าหมายทีเกิดหนังไก่ได้รับการรักษา แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตอบสนองทางร่างกายของแต่ละคนต่อการรักษาด้วย ซึ่งการรักษาด้วยแสงเลเซอร์จำเป็นที่จะต้องทำหลายครั้ง และอาจจะต้องระยะเวลาในการรักษารวมกันหลายเดือนเลยทีเดียว

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ดูแลปัญหาผิวหนังไก่ที่แขน ทำไงดี อย่างง่ายๆด้วยตัวคุณเอง

         เชื่อว่าหลายๆคนคงจะเคยเห็นผิวหนังของไก่ที่มีจุดเล็กๆ แดงๆ อยู่ทั่วไปหมดยามที่ถูกถอนขนออกจนหมดตัว แล้วลองจินตนาการดูว่าถ้าหากเจ้าจุดเล็กๆแดงๆเหล่านั้นได้ย้ายมาปรากฏอยู่บนแขนของคุณเต็มไปหมด มันจะดูเด่นจนน่าเกลียดมากขนาดไหน? เจ้าจุดเหล่านี้ล่ะที่ถูกเรียกว่า ผิวหนังไก่ที่แขน ที่เป็นปัญหากวนใจเหล่าผู้ที่อยากมีผิวที่เรียบเนียนปราศจากจุดเล็กๆน่าเกลียด จนทำให้เกิดคำถามขึ้นมาบ่อยครั้งว่า เมื่อผิวเป็นหนังไก่ ทำไงดี สำหรับใครที่ยังกำลังอยากรักษาผิวหนังไก่ที่แขน แล้วยังไม่รู้ว่าเมื่อเป็นหนังไก่ ทำไงดี บทความชิ้นนี้จะขอพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงปัญหาผิวหนังไก่ที่แขน เพื่อที่จะได้เข้าใจในวิธีป้องกันรักษาตัวเองจากปัญหาผิวหนังไก่ที่แขนกัน

โรคผิวหนังไก่คืออะไร อันตรายหรือเปล่า?
โรคผิวหนังไก่ที่แขน หรือ Keratosis pilaris (KP) สาเหตุหลักๆ คือ จากพันธุ์กรรม ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการรักษาแบบมาตราฐานให้โรคนี้หายขาดได้ แต่สามารถที่จะทุเลาอาการลงได้ด้วยการรักษา หรือในบางกรณีอาการก็จะหายไปเองตามธรรมชาติ โดยที่ไม่ได้ทำการรักษาใดๆ
โรคผิวหนังไก่ เป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้มีอันตรายใดๆ จุดเล็กๆบนผิวเหมือนกับอาการขนลุกอยู่ตลอดเวลา บางครั้งจุดเหล่านี้ก็จะมีแดง หรือบวม และทำให้รู้สึกเหมือนกับผิวของคุณเป็นกระดาษทรายที่ไม่เรียบเนียน ซึ่งโรคผิวหนังไก่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อยบนแขน ต้นขา และก้น ในบางครั้งอาจจะก่อให้เกิดอาการคันร่วมด้วย

การป้องกันตัวเองเบื้องต้นจากปัญหาผิวหนังไก่
โดยพื้นฐานแล้วถ้าหากคุณไม่อยากปล่อยให้ผิวของตัวเองมีสภาพเหมือนกับหนังไก่ ทำไงดี จนต้องมานั่งกลุ้มใจภายหลังแล้ว คุณสามารถที่จะเริ่มต้นการดูแลผิวพรรณของตัวเอง ด้วยการป้องกันไม่ให้ผิวมีความแห้งกร้านจนเกินไป การทำความสะอาดผิวก็ควรที่จะใช้น้ำยาทำความสะอาด หรือสบู่ที่มีความเข้มข้นน้อยๆ

การรักษาตัวเองจากปัญหาผิวหนังไก่เบื้องต้น
 เมื่อเกิดปัญหาหนังไก่ ทำไงดีขึ้นบนผิวแล้ว ในกรณีที่ไม่รุนแรงนัก คุณสามารถรักษาตัวเองขั้นพื้นฐานด้วยการใช้โลชั่นบำรุงผิว ที่มีส่วนประกอบของกรดแลคติก (AmLactin, Lac-Hydrin), อัลฟาไฮดรอกซีกรดโลชั่น (Glytone, โลชั่นร่างกายไกลโคลิก, ครีมยูเรีย (Carmol 10 Carmol 20 Carmol 40, Urix 40) กรดซาลิไซลิ (โลชั่น Salex) และครีมเตียรอยด์เฉพาะที่ (triamcinolone 0.1% Locoid Lipocream) ผลิตภัณฑ์กลุ่มกรดวิตามินเอเช่น tretinoin (Retin-A) tazarotene (Tazorac) และ adapalene (Differin) หรือโลชั่นบำรุงผิวที่แพทย์เป็นผู้แนะนำ ซึ่งคุณสามารถทีจะนวดโลชั่นเหล่านี้ลงไปยังบริเวณผิวที่ได้รับผลกระทบวันละ 2-3 ครั้ง
 ผิวในบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาหนังไก่ คุณอาจจะล้างทำความสะอาดเพียง 1-2 ครั้ง ต่อวัน ด้วยน้ำยา หรือสบู่ทำความสะอาดที่มีความอ่อนโยน และอาการผิวหนังไก่จะยิ่งได้รับการรักษาที่ดีมากขึ้นหากน้ำยา หรือสบู่ทำความสะอาดผิวของคุณมีส่วนผสมขอ GlySal, Proactiv กรดซาลิไซลิหรือ benzoyl เปอร์ออกไซด์ เป็นต้น
 การรักษาอาการผิวหนังไก่ที่แขนเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลา และความอดทนเป็นอย่างมาก หลายครั้งคุณอาจจะต้องค่อยๆรักษาอาการนานหลายสัปดาห์กว่าที่จะสามารถเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณทำการรักษาผิวหนังไก่ด้วยตัวเอง แต่กลับสังเกตเห็นว่าอาการไม่ได้ดีขึ้น แต่กลับมีอาการผิวอักเสบ หรือมีรอยจุดแดงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขอแนะนำให้รีบไปทำการพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาด้วยยา หรือแสงเลอเซอร์ เพื่อทุเลาอาการของคุณไม่ให้ลุกลามหนักหนาจนเกินไป

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกศัตรูความงามที่ป้องกันและรักษาได้

         ไม่ว่าใครก็คงไม่อยากให้มีร่องรอยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกเกิดขึ้นบนผิวพรรณของตัวเอง โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่ผิวมีความบอบบาง และมักจำเป็นที่จะต้องรักษาความเรียบเนียนเอาไว้เผื่อโอกาสพิเศษๆที่จะต้องสวมใส่ชุดอวดโฉมผิวพรรณของตัวเอง อย่างไรก็ตามเรื่องของอุบัติเหตุไม่คาดฝันก็ไม่เคยปราณีใคร คุณสาวๆอาจจะต้องประสบการณ์ต่างๆที่อาจก่อให้เกิดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกขึ้นกับตัวเองเข้าสักวัน แต่หากคุณมีสติมากพอ และรู้จักกับวิธีการปฐมพยาบาลแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกอย่างถูกต้อง ก็จะช่วยลดร่องรอยอันไม่ชวนพิศมัยเหล่านั้นให้น้อยลง หรืออาจจะไม่เกิดขึ้นเลยได้เช่นกัน

แผลไฟไหม้อันตรายมากน้อยแค่ไหน?
 การเผาไหม้ที่ชั้นผิว มักส่งผลกระทบต่อชั้นบนสุดของผิวเท่านั้น ผิวจะมีลักษณะเป็นสีแกง และเกิดความเจ็บปวด ซึ่งผิวที่ได้รับผลกระทบนี้มักจะหลุดลอกออกในเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากการถูกเผาไหม้ แต่การถูกเผาไหม้จนถึงผิวชั้นลึกจะก่อให้เกิดอันตรายมาก อาจจะสร้างความเสียหายต่อผิวจนกระทั่งดำกลายเป็นตอตะโกได้เลยทีเดียว

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกวิธีสำหรับแผลที่ถูกเผาไหม้
1.ไฟคลอก ถ้าหากคุณหรือคนใกล้ตัวถูกเผาไหม้จากเปลวไฟ ให้รีบหยุดกระบวนการเผาไหม้ให้รวดเร็วที่สุด แล้วใช้ผ้าห่ม หรือผ้าหนาสกัดการผาไหม้ของไฟ โดยระวังอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ผู้ที่เข้าไปช่วยนั้นถูกเผาไหมไปด้วยอีกคน จากนั้นให้ทำการถอดเสื้อผ้า หรือเครื่องประดับที่อยู่ใกล้กับบริเวณผิวหนังที่ถูกไหม้ เพราะเครื่องแต่งกายหรือเครื่องประดับจะยังคงสามารถเก็บความร้อนเอาไว้ได้อย่างยาวนาน แต่อย่าพยายามถอดเอาสิ่งที่ติดอยู่กับผิวหนังที่ถูกไหม้ไปแล้ว เพราะอาจจะยิ่งเป็นการก่อความเสียหายให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แล้วทำการห่อบริเวณที่ถูกเผาไหม้ด้วยฟิล์มใส หรือถุงพลาสติกใสอย่างหลวมๆ จากนั้นให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลให้ถึงมือแพทย์ให้เร็วที่สุด
 คุณสามารถบรรเทาอาการเผาไหม้ได้ด้วยการประคบด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นเป็นเวลา 10 – 30 นาที และภายใน 20 นาทีแรกหลังจากการเผาไหม้ ควรใช้น้ำแข็ง น้ำเย็น หรือครีมสารหล่อลื่นทาลงไปบริเวณที่ถูกเผาไหม้
 2.การเผาไหม้จากสารเคมี ถอดเสื้อผ้าที่ได้รับผลกระทบออก พยายามปัดแปรงสารเคมีที่ตกค้างอยูบนผิวออกจากผิวหนังถ้าหากพวกมันอยู่ในลักษณะของแห้ง จากนั้นล้างการเผาไหม้ออกจากผิวด้วยน้ำสะอาดจำนวนมากๆ เป็นเวลานานกว่า 20 นาที

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างถูกวิธีสำหรับแผลที่น้ำร้อนลวก
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีปัญหาน้ำร้อนลวกเกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุไม่ถึง 5 ขวบ และมักเกิดขึ้นในห้องครัว เนื่องจากเด็กพยายามที่จะดึงแก้ว หรือถ้วยที่มีเครื่องดื่มร้อนๆอยู่ภายใน กาน้ำ กาน้ำชา หม้อ หรือเครื่องทำความร้อนอื่นๆ เป็นต้น
 ในกรณีที่ถูกน้ำร้อนลวก ในบริเวณแขน ขา หรือนิ้ว ให้ทำการแช่อวัยวะเหล่านั้นลงไปในน้ำเย็นที่มีการแช่น้ำแข็งเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ถ้าหากรู้สึกว่าอวัยวะเหล่านั้นมีอุณหภูมิที่ต่ำจนเกินไป ก็ให้นำออกจากการแช่น้ำชั่วคราว จากนั้นจึงค่อยนำกลับไปแช่ใหม่อีกครั้ง จนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนจากการถูกน้ำร้อนลวกจะหายไป แต่ถ้าหากบริเวณที่ใบหน้า หรือลำตัว ให้ใช้นำแข็งทุบให้เป็นก้อนเล็กๆใส่ในถุงพลาสติก ห่อด้วยผ้านุ่มๆ แล้วนพไปประคบในบริเวณที่ถูกน้ำร้อนลวกให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ถ้าหากแผลน้ำร้อนลวกทำให้เกิดแผล ผิวหนังแหว่ง จำเป้นอย่างยิ่งที่ต้องนำไปพบแพทย์ให้เร็วที่สุด โดยที่ยังคงใช้น้ำแข็งทำการประคบไปด้วยดังที่ได้แนะนำไปในตอนต้น
ถ้าหากปฎิบัติตัวตามที่ได้แนะนำไปแล้วในตอนต้นอย่างถูกต้อง และรวดเร็วมากเพียงพอ ก็จะทำให้โอกาสเกิดรอยแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวกขึ้นบนผิวหนังลดน้อยลง เพื่อที่คุณจะได้มีผิวหนังที่เรียบเนียน เอาไว้อวดใครต่อใครได้อย่างยาวนาน..

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มารู้จักกับ แอสตาแทนซิน คือ อะไร ราคา คุ้มค่า ปลอดภัยหรือไม่

            แอสตาแซนทิน คือ หนึ่งในเคล็ดลับของความงามที่ถูกสกัดจากสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในท้องทะเล และด้วยประสิทธิภาพในการบำรุงร่างกาย และผิวพรรณของแอสตาแซนทิน ทำให้สามารถเรียกได้ว่า แอสตาแทนซิน คือ หนึ่งในสุดยอดสารลับแห่งความงาม ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก แต่กลับไม่ค่อยมีคนรู้จักในประเทศไทยมากนัก ซึ่งบทความชินนี้ จะขอพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จัก พร้อมกับไขความลับรไปพร้อมๆกันว่า เจ้าสารแอสตาแซนทินมีประสิทธิภาพที่ส่งผลดีต่อความงาม ร่างกาย และแอสต้าแทนซิน ราคาคุ้มค่าสมราคา คุ้มกับประสิทธิภาพผลลัพธ์หรือไม่อย่างไร

แอสตาแทนซิน คืออะไร
Astaxanthin หรือ
แอสตาแทนซิน คือ สารธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากความหลากหลายของชีวิตทางทะเล โดยทั่วไปแล้วแอสตาแซนทินมักจะเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิตามินซี วิตามินอีมากมายหลายเท่าเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นสารที่ร่างกายของเราสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้ง่าย ในขณะที่สารแอสต้าแทนซิน ราคาไม่แพงอีกด้วย
มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจผิดว่า
แอสตาแทนซิน คือ สารที่ถูกสังเคราะห์ขึ้น แต่ที่จริงแล้วแหล่งที่มาของสารแอสตาแทนซิน คือ ปลา กุ้ง หอย สัตว์ทะเลที่มีเปลือกสีแดงเมื่อถูกความร้อน ผักหรือผลไม้มี่มีสีแดง เป็นต้น ในปัจจุบันสารแอสตาแซนทินที่นิยมนำมาสกัดเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมนั้น มักจะมาจากสาหร่ายสีแดง Haematococcus pluvialis ที่มีปริมาณของแอสตาแซนทินเข้มข้นตามธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมาก

แอสตาแซนทิน มีประโยชน์ต่อมนุษย์อย่างไรบ้าง
สำหรับมนุษย์แล้ว 
แอสตาแซนทิน มีคุณสมบัติในการเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่ส่งผลโดยตรงต่อความงดงามของผิวพรรณ  โดยเฉพาะในเรื่องความชุ่มชื้นของผิว ริ้วรอยที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ปกป้องผิวจากมลภาวะและแสงแดดในนชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคบางอย่าง ลดการอักเสบของโรคไขข้ออักเสบ ดังนั้นการรับประทานแอสตาแซนทินในฐานะของอาหารเสริมจึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก เมื่อปริมาณความต้องการมากขึ้น แอสต้าแทนซิน ราคาในเชิงพาณิชย์จึงขยับสูงขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
  นอกจากประโยชน์ในการบำรุงร่างกาย และสุขภาพของผิวพรรณแล้ว จากการค้นคว้าวิจัยยังพบว่า
แอสตาแซนทิน ยังมีคุณสมบัติในการช่วยลดน้ำหนัก สำหรับคนที่ต้องการลดปริมาณแคลอลี่ในแต่ละวันอย่างปลอดภัยต่อร่างกาย ด้วยการส่งเสริมการเผาไหม้ไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย ได้มากกว่าที่ร่างกายใช้น้ำตาลกลูโคสในขณะที่ออกกำลังกาย ในขณะเดียวกันแอสตาแซนทินก็ยังช่วยในการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ให้การลดน้ำหนักเป็นไปอย่างมีประสิทิภาพมากขึ้น

[BINDING:20]
แอสตาแซนทิน ในฐานะอาหารเสริมมีความปลอดภัยหรือไม่
แอสต้าแทนซิน ราคาไม่แพง นอกจากนี้ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นสารสกัดที่มีคุณภาพ และความปลอดภัยต่อผู้บริโภคสูงมากในฐานะอาหารเสริมที่ต้องรับประทานเข้าไปในร่างกาย ถึงแม้จะทานในปริมาณมากถึง 4-40 มิลลิกรัม เป็นประจำต่อเนื่องนานถึง 12 สัปดาห์ แต่โดยส่วนใหญ่แอสตาแซนทินมักจะถูกนำใช้เป็นส่วนผสมปริมาณเล็กน้อยร่วมกับสารสกัด วิตามิน แร่ธาตอื่นๆ เพื่อช่วยในการบำรุงผิวพรรณ รวมไปถึงสุขภาพของผู้บริโภคให้ดีมากยิ่งขึ้น แอสต้าแทนซิน ราคาในฐานะของอาหารเสริมบำรุงร่างกายจึงไม่ได้แพง แต่ก็ยังได้รับความนิยมอย่างยาวนานทั่วโลก มาตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามแอสตาแซนทิน ยังมีข้อควรระวังสำหรับผู้บริโภคบางประการ โดยเฉพาะกับสตีมีครรภ์ หรือระหว่างให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของแอสต้าแทนซิน ราคาไม่ว่าจะแพงแค่ไหนก็ตาม

ปริมาณแอสตาแซนทินมากน้อยเพียงใด จึงถือว่าพอเหมาะสำหรับหนึ่งวัน
ในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาวิจัย ว่าปริมาณที่เหมาะสมในการรับประทาน
แอสตาแซนทินควรมีปริมาณมากน้อยเพียงใด จึงจะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด แต่อย่างไรก็ตามควรทำการทานตามคำแนะนำของฉลากข้างขวดเพื่อประสิทธิภาพผลลัพธ์ที่ดีอย่างสูงสุด ดังนั้นแอสต้าแทนซิน ราคาแพง ปริมาณส่วนผสมมากๆจึงอาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่ดีที่สุดที่ควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

 

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

Astaxanthin สาหร่ายแดง คืออะไร แล้วเลือกยี่อห้อไหนดีที่สุด

            คงปฎิเสธไม่ได้ว่า กระแสสุขภาพที่มาพร้อมกับผิวพรรณที่ดี ชนิดที่ว่าสวยสดใสทั้งภายในและภายนอกนั้น เป็นสิ่งที่กำลังได้รับความนิยมในยุคนี้เป็นอย่างมาก คุณสาวๆทุกคนก็คงต่างปารถนาที่จะครอบครองเป็นเจ้าของ ซึ่งในปัจจุบันก็ได้มีอาหารเสริมจำนวนมากได้พยายามสรรหาสารสกัดที่มีประโยชน์ในการบำรุงสุขภาพ รวมไปถึงคามงามแห่งผิวพรรณให้คุณสาวๆได้ทำการเลือกสรรกันอย่างมากมายเลยทีเดียว ซึ่งบทความในวันนี้ก็จะขอพาคุณสาวๆทุกท่านไปทำความรู้จักกับสารสกัดที่มีคุณสมบัติสุดพิเศษในการผสมผสานระหว่างความงามของผิวพรรณ กับสุขภาพที่ดีจากภายใน คุณค่าจากท้องทะเล ในชื่อของ astaxanthin สาหร่ายแดง ซึ่งเจ้าสารสกัด astaxanthin คืออะไร มีคุณสมบัติสุดพิเศษอย่างไร จึงทำให้ Astaxanthin ได้รับความนิยมจากวงการเสริมความงามทั่วโลก และวิธีในการเลือก astaxanthin ยี่ห้อไหนดีนั้น สามารถติดตามอ่านได้จากบทความชิ้นนี้กันเลย

astaxanthin คืออะไร?
astaxanthin คือ สารในกลุ่มแซนโทรฟิลล์ ในตระกูลแคโรทีนอยด์ ที่สามารถพบได้ทั่วไปในธรรมชาติ โดยมีลักษณะเป็นสารสีแดงที่พบมากในสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในท้องทะเล พบมากในปลาแซลมอน ไข่ปลาคาเวียร์ เปลือกกุ้ง เปลือกปู และสาหร่ายแดง Microalgae Haematococcus Pluvialis ซึ่งสารสกัด astaxanthin สาหร่ายแดง เป็นสิ่งที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถทำการสร้างได้เอง แต่จะได้รับสาร Astaxanthin ก็ต่อเมื่อทำการรับประทานเข้าไปเท่านั้น แต่ก็จะได้รับเพียงในปริมาณที่เรียกได้ว่าน้อยมาก เช่น ปลาแซลมอน 1 ตัว หนัก 200 กัรม จะมีปริมาณของสาร Astaxanthin ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เพียง 1 มิลลิกรัมเท่านั้นเอง

Astaxanthin ช่วยในการเสริมความงาม และสุขภาพที่ดีได้อย่างไร
มีการนำเสนอข้อมูลลผ่านทางวารสารวิชาการหลายฉบับว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ.1995 สารสกัด astaxanthin สาหร่ายแดง Microalgae Haematococcus Pluvialis ที่มีปริมาณของสาร Astaxanthin อยู่เป็นจำนวนมาก ได้ถูกนำมาสกัดเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเสริม จนกระทั่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในพื้นที่แถบสแกนดิเนเวีย หลังจากนั้นสาร astaxanthin สาหร่ายแดง ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ.1999 ถึงปัจจุบัน สาร astaxanthin สาหร่ายแดง ได้ถูกนำมาวางจำหน่ายกันแพร่หลายไปทั่วโลกเลยทีเดียว
เมื่อกล่าวถึงคุณสมบัติ รวมไปถึงประโยชน์ของสารที่เหล่านักวิทยาศาตร์ได้ทำการค้นคว้าวิจัย พบว่า astaxanthin คือ สารสกัดที่มีประโยชน์ทั้งในด้านความงาม และสุขภาพที่ดีของมนุษย์อย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว โดยประสิทธิภาพอันโดดเด่นของ astaxanthin คือ “สุดยอดสารต่อต้านอนุมูลอิสระ” โดยมีรายละเอียดของคุณสมบัติดังต่อไปนี้
  1.สุดยอดสารต่อต้านอนุมูลอิสระ จากการค้นคว้าวิจัยพบว่าสาร Astaxanthin สาหร่ายแดง มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 6,000 เท่า มากกว่า CoQ10 800 เท่า, วิตามินอี 550 เท่า, Green Tea Catechins 550 เท่า, Alpha Lipoic acid 75 เท่า,เบต้า แคโรทีน 40 เท่า และสารสกัดจากเมล็ดองุ่นถึง 17 เท่า เลยทีเดียว
2.บำรุงผิวพรรณ astaxanthin คือ สารที่มีคุณสมบัติช่วยลดอาการผิวแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้น ลดอาการผิวหยาบกร้าน ริ้วรอย และความเหี่ยวย่นได้เป็นอย่างดี ด้วยการต่อต้านอนุมูลอิสระไม่ให้ชั้นผิวหนังได้รับผลกระทบหรือเสียหายจากมลภาวะ แสงแดด รังสียูวี เป็นต้น
3.ช่วยปกป้องดวงตา astaxanthin คือ สารที่ช่วยป้องกันดวงตาอ่อนล้า ดวงตาเสื่อมสภาพ ลดกระที่สะสมอยู่ภายในดวงตา และช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอุลตร้าไวเล็ต ด้วยการยับยั้งไม่ให้เกิดกระบวนการปฎิกริยาระหว่างออกซิเจนกับดวงตา นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสายตา ให้การมแงเห็นสามารถดีขึ้นได้มากกว่าเดิม
4.บำรุงสุขภาพร่างกาย สาร Astaxanthin ยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อร่างกาย เอ็น ไขข้อ ดูแลสุขภาพกระเพาะอาหาร ปกป้องร่างกายจากมลภาวะ ความเครียด อีกด้วย

Astaxanthin เลือกอย่างไร ยี่ห้อไหนดี?
ดังที่ได้ทำการกล่าวไปแล้วตอนต้นว่า ในปัจจุบันได้มีผลิตภัณฑ์เสริมความงามจำนวนมากได้นำสาร astaxanthin มาใช้เป็นส่วนผสมในการบำรุงทั้งในด้านสุขภาพ ความงาม จนกระทั่งอาจจะทำให้คุณสาวๆที่กำลังให้ความสนใจ astaxanthin เป็นพิเศษ เกิดความสงสัยว่าแล้วควรที่จะเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มี astaxanthin ยี่ห้อไหนดี? ซึ่งสำหรับคำถามที่ว่า astaxanthin ยี่ห้อไหนดีนั้น คุณสาวๆสามารถทำการพิจารณาอย่างง่ายๆได้ด้วยเอง โดยอิงตามหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1.ความบริสุทธิ์ปลอดภัยของสูตร  astaxanthin ยี่ห้อไหนดี สามารถทำการดูได้จากสูตรของส่วนผสมในฉลากข้างขวดว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอื่นๆที่ช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของ astaxanthin ให้ดียิ่งขึ้นหรือไม นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของตัวเองจากส่วนผสมปริศนาอื่นๆ ภายในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมชิ้นนั้นได้อีกด้วย
2.เลือกแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่น่าไว้ใจ หรือคุณรู้จัก การเลือก astaxanthin ยี่ห้อไหนดี ควรทำการเลือกแบรนด์ที่คุณรู้จัก หรือบริษัทผู้ผลิต หรือจัดจำหน่ายที่น่าไว้วางใจเสมอ
3.ค้นหาความคิดเห็นของผู้บริโภคนอื่นๆผ่านระบบออนไลน์ โดยส่วนใหญ่แล้วผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีการวางจำหน่าย ต่อให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพียงใด แต่ก็มักที่จะมีคนที่ชอบลองของแปลก และมักที่จะเขียนความคิดเห็นต่อสินค้าเหล่านั้นเอาไว้เป็นแนวทางให้กับคนอื่นๆในโลกออนไลน์เสมอ ดังนั้นคุณสาวๆจึงสามารที่จะตรวจสอบความเห็นได้ว่า ผลิตภัณฑ์ astaxanthin ยี่ห้อไหนดี มีคุณภาพที่ดี ในขณะที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุดสำหรับตัวคุณเอง

             สำหรับใครที่กำลังมองหาครีม หรือผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการบำรุงผิวพรรณ และจัดการกับทุกปัญหาด้านผิวพรรณ เราขอแนะนำผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง ที่มีประสิทธิภาพน่าสนใจ และมีส่วนผสมของ astaxanthin นั่นก็คือ BEST Sea Cream มีคุณสมบัติในการช่วยแก้ไขปัญาหาสารพัดปัญหาด้านผิวพรรณบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิว กระ ฝ้า หน้าหลุม อย่างได้ผล โดยมีส่วนผสมจากวัตถุดิบธรรมชาติ ที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมในการบำรุง ฟื้นฟูผิวพรรณ สาหร่ายแดง เมือกปลาดาว แมงกระพรุนและแพลงตอน ซึ่งที่สุดในการบำรุงฟื้นฟูผิวพรรณอย่างอ่อนโยน พร้อมเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจนอย่างน่าอัศจรรย์ใน้วลาเพียง 3-14 วัน 

       

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

‘อะบาโลน คอลลาเจน’ ดื่มง่าย ให้ผลดีต่อสุขภาพผิว

          เมื่อพูดถึงเครื่องดื่มคอลลาเจนแล้ว เดี๋ยวนี้ต้องเน้นดื่มง่าย รสชาติดี พร้อมกับให้คุณประโยชน์ที่หลากหลาย จะแค่ดื่มแล้วผิวขาวสวย เปล่งประกาย แลดูมีน้ำมีนวล แค่นั้นคงไม่พอ เพราะไหนๆก็เลือกใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพกันแล้ว จึงควรเป็นสิ่งที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีรอบด้าน ทั้งนี้ ต้องมีความปลอดภัยไร้ผลข้างเคียง ไม่ใช่รับประทานกันเข้าไปแล้วกลับย้อนไปทำร้ายสุขภาพในอนาคต
และด้วยความต้องการของผู้บริโภคนี้เองที่ทำให้เกิดเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่างอะบาโลน คอลลาเจน” ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยยอดขายมากกว่า 10 ล้านขวด ซึ่งเจ้าอะบาโลน คอลลาเจน เป็นเครื่องดื่มที่มาพร้อมกับคุณค่าแห่งสารสกัดเย็นจากหอยเป่าฮื้อ โดยมีการผสมน้ำทับทิมประมาณ 10% ที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพ ดื่มง่าย รสชาติอร่อยถูกปาก ที่สำคัญคือส่วนประกอบทั้งหมดที่อยู่ในอะบาโลน คอลลาเจน จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนตามธรรมชาติให้ผิวพรรณสวย กระชับ เต่งตึง เรียบเนียน ขาวอมชมพู เปล่งประกายได้แบบเป็นธรรมชาติ ทั้งยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพแบบที่ทุกคนทราบแล้วต้องอึ้ง

 

ประโยชน์ที่ได้จากอะบาโลน คอลลาเจน
  ด้วยส่วนประกอบหลักจากสารสกัดเย็นของหอยเป๋าฮื้อ ผนวกกับคุณค่าแห่งน้ำทับทิม โดยไม่มีการแต่งกลิ่น เจือสี และใช้มอลติทอลเป็นวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล จึงไม่ทำให้อ้วนขึ้น นอกจากนั้นยังให้ประโยชน์อีกมากมาย ดังนี้
1.ช่วยบำรุงผิว ลดเลือนริ้วรอยแห่งวัย กระชับรูขุมขน ชะลอความเสื่อมของผิว
2.ช่วยสร้างโปรตีนทุกชนิดในร่างกาย รวมถึงสร้างเคอราตินของผมและเล็บ
3.ช่วยบำรุงกระดูกอ่อนรองข้อต่างๆ ได้แก่ ข้อเข่า ช่วยลดการเสียดสีของข้อกระดูก
4.ช่วยลดการอักเสบจากการปวดข้อได้ เป็นการป้องกันโรคข้อเสื่อมในอนาคต
5.มีไลโคปิน ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก
6.ช่วยในระบบฟอกโลหิต ล้างสารพิษ และระบบการหมุนเวียนในร่างกาย
7.ช่วยบำรุงและฟื้นฟูการทำงานระบบหัวใจ ตับ ป้องกันการเป็นพิษต่อตับจากสารพิษ
8.ช่วยบำรุงไต และท่อปัสสาวะ
9.ขจัดไขมันส่วนเกิน ช่วยป้องกันอาการแพ้ท้อง ทำให้ผิวสวย
10.บำรุงกำลัง ป้องกันโรคขี้หลงขี้ลืมในผู้สูงอายุ
11.ต่อต้านการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และเพิ่มพละกำลัง
12.มีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพสูง
13.ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและแข็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด
14.สามารถลดไขมันที่อุดตันในเส้นเลือดให้ลดน้อยลงได้
15.ลดความดันโลหิตในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง ถ้ารับประทาน 1 ขวดต่อวัน
16.สามารถยับยั้งการก่อเซลล์มะเร็งเต้านม 80%
17.ควบคุมการทำงานของอินซูลิน ช่วยฟื้นฟูในผู้ป่วยโรคเบาหวาน
19.ช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการจุกเสียด ลดอาการวิงเวียน และอ่อนเพลียในผู้ป่วยช่วงวัยทอง


ดื่มให้อร่อยต้องแช่ตู้เย็น
เพื่อรสชาติที่ดีของอะบาโลน คอลลาเจน ควรแช่เย็นเพื่อความสดชื่นเวลาดื่ม โดยให้เก็บในที่เย็น 4-8 องศาเซลเซียส และควรเขย่าขวดก่อนเปิดฝา ที่สำคัญดื่มให้หมดหลังเปิดฝา อย่างไรก็ตาม ห้ามรับประทานในผู้แพ้อาหารทะเลประเภทหอยเป๋าฮื้อ และเนื่องจากมีส่วนผสมของน้ำทับทิม อาจมีตะกอนธรรมชาติ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการดื่มอะบาโลน คอลลาเจน สำหรับ 7 วันแรก ควรบริโภควันละ 2 ขวด ในเวลาเช้าและก่อนนอน ตามด้วยน้ำเปล่าสัก 1-2 แก้วจะทำให้ได้ผลดี และเมื่อผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ย่างเข้าวันที่ 8 ก็ให้ดื่มแค่วันละ 1 ขวดไปเรื่อยๆ จากนั้นจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ต่อผิวพรรณที่ดูเปล่งประกาย ขาวอมชมพูระเรื่อ และความเหี่ยวย่น ริ้วรอยต่างๆที่เคยเกิดขึ้นจะแลดูจางลง ทดแทนด้วยผิวหนังที่ตึงกระชับ อ่อนกว่าวัย อย่างไรก็ดี เมื่อได้สุขภาพผิวที่ดีเป็นที่น่าพึงพอใจแล้ว ก็สามารถดื่มอย่างต่อเนื่องโดยลดปริมาณเป็นวันเว้นวัน เพราะอย่าลืมว่าเครื่องดื่มอะบาโลน คอลลาเจน ยังให้ประโยชน์อื่นๆต่อสุขภาพอีกมากมาย

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

abalone beauty cream เพื่อผิวกระชับอ่อนกว่าวัยใน 7 วัน

            ปัจจุบันมีครีมบำรุงเพื่อยกกระชับผิวหน้าให้เรียบเนียน เปล่งปลั่ง อ่อนกว่าวัย หลากหลายยี่ห้อตามท้องตลาด หากจะให้ทดลองไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอครีมบำรุงในแบบที่ใช่ ก็เปรียบได้ดั่งการงมเข็มในมหาสมุทร ฉะนั้น ก่อนจะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมความงามเหล่านี้ จำเป็นต้องศึกษาให้ถ้วนถี่เสียก่อน เพราะจะเป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมในการตัดสินใจ บทความนี้ได้นำครีมบำรุงผิวหน้า abalone beauty cream มาให้ท่านผู้อ่านได้ศึกษากัน และด้วยอนุภาพของสารสกัดธรรมชาติ รับรองว่าท่านจะไม่ผิดหวัง เนื่องจากเจ้า abalone beauty cream จะให้ผลลัพธ์ได้ภายใน 7 วัน

วิเคราะห์ส่วนประกอบหลัก abalone beauty cream
           1.Abalone extract Abalone extract หรือหอยเป๋าฮื้อ มีกระจายอยู่ทั่วโลก โดยมีขนาดต่างกันตามสภาพ ภูมิอากาศ เปลือกมีสีสันหลากหลาย เช่น เขียว ส้มน้ำตาล แดง อยู่ตามแนวปะการังน้ำตื้น 2 -10 เมตร เป็นสัตว์กินพืช ได้แก่ สาหร่ายสีแดง สาหร่ายสีเขียว และสาหร่ายเกือบทุกชนิด ซึ่งหอยเป๋าฮื้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุด พบได้ในแถบอเมริกาเหนือ ประเทศญี่ปุ่น และประเทศเกาหลี
คุณสมบัติพิเศษคือ เป็นคอลลาเจนสกัดเย็นจาก Abalone สามารถเพิ่มความหนาแน่นให้กับผิวได้อย่างเนียนนุ่ม อุดมไปด้วยอาหารผิว และสามารถดูดซึมสารอาหารสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก
            2.Snail secretion Filtrate มีการค้นพบว่า เมือกหอยทาก (Snail Mucus) สามารถนำมาใช้ในการสมานผิวที่มีร่องรอยของบาดแผลได้ คือประเทศชิลี ซึ่งการวิจัยทำให้พบว่า ผิวของหอยทากและมนุษย์มีองค์ประกอบคล้ายคลึงกัน แม้แต่ปริมาณคอลลาเจนและอิลาสติน จึงมีการนำเมือกหอยทากมาใช้กับครีมบำรุง ซึ่งในประเทศเกาหลีใต้ได้นำสารสกัดจากหอยทากมาใช้ในวงการเสริมความงามกันอย่างแพร่หลาย หอยทากที่นำมาใช้เป็นสารสกัดบำรุงผิวต้องมาจาก จังหวัดกัมซาน แคว้นซุงนัม ซึ่งได้รับการรับรองว่าสะอาดและปลอดภัยที่สุด
คุณสมบัติพิเศษคือสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้มากถึง 1.5 เท่า ทั้งยังสมานผิวที่มีปัญหารอยแผลเป็น รอยสิว ผิวขาดการบำรุงให้แลดูดีขึ้นได้ และลดอาการระคายเคือง
            3.Hydrolyzed Collagen คอลลาเจน ไฮโดรไลเสท ผลิตจากปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งมีคอลลาเจนสูง โดยมีการสกัดผ่านกระบวนการเทคโนโลยีที่ละเอียด เพื่อให้ดูดซึมได้ดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ผิว คอลลาเจนนั้นพบได้ทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งจะสานกันเหมือนเป็นเส้นใยที่ถักทอเป็นเนื้อผ้า และเซลล์ใหม่ๆจะเจริญเติบโตได้ดี ปกติคนเราจะสูญเสียคอลลาเจนตั้งแต่ อายุ 25 ปีขึ้นไป โดยประมาณ 1.5% นักวิจัยแนะนำว่า “คอลลาเจน ไฮโดรไลเสท” สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและดูดซึมได้อย่างรวดเร็ว ถึง 2 เท่า คอลลาเจนในผิวหนังมนุษย์มีลักษณะเหมือนกับคอลลาเจนที่พบในสัตว์ จึงเป็นเหตุผลที่มนุษย์สามารถใช้คอลลาเจนจากสัตว์ได้
คุณสมบัติพิเศษได้แก่ การช่วยอุ้มน้ำเพื่อเพื่อความชุ่มชื้นให้ผิว เสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนในผิวให้มีความหนาแน่น เนียนเรียบ และด้วยเอนไซม์ทำให้มีโมเลกุลขนาดเล็ก จึงมีประสิทธิภาพสูงในการซึมซับสู่ชั้นผิวได้ทันที

           4.Trehalose “ทรีฮาโลส” เป็นสารสกัดจากกุหลาบทะเลทราย (Rose of Jericho) มีความคงทนต่อสภาพอากาศที่แปรปรวน และนำมาใช้เป็นส่วนผสมในการทำครีมบำรุง เมื่อซึมเข้าสู่ผิวจะตรงเข้าไปจับคู่กับโมเลกุลน้ำในผิว ช่วยรักษาระดับคอลลาเจนของผิวให้คงอยู่ เนื่องมามีคุณสมบัติในการปกป้องไฟโบลาสต์ (Fibroblasts) ซึ่งมีหน้าที่สร้างคอลลาเจน ปกป้องการทำร้าย DNA ภายในเซลล์ อันเกิดจากภาวะผิวหนังขาดน้ำ มากกว่า 98%
มีคุณสมบัติพิเศษช่วยอุ้มน้ำในผิวได้นานกว่า เพื่อผิวที่มีความชุ่มชื่น ปกป้องผิวจากการโดนทำร้ายของมลภาวะ ที่สำคัญมีความคงทนต่อสภาพอากาศ
           5.Squalane สควาเลน ซึ่งสกัดมาจากดอกบานไม่รู้โรย (amaranth flower) หรือน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 100% (Olive oil) จะเพิ่มออกซิเจนให้กับผิวได้ถึง 0.7% เพื่อเป็นอาหารผิว ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ต่อต้านความร่วงโรย ซึ่ง Squalane จะคล้ายกับ Sebum จึงสามารถซึมสู่ผิวได้อย่างรวดเร็ว ต่อสู้กับความแห้งกร้าน เพิ่มความยืดหยุ่น และกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวได้เป็นอย่างดี บำรุงไม่ให้ผิวแห้งเป็นสะเก็ด จึงมักนิยมนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์สำหรับแต่งหน้า หรือใช้เป็น Moisturizers บำรุงผิวหน้าทั้งเช้าและเย็น
โดยคุณสมบัติพิเศษของ Squalane จะช่วยอุ้มน้ำเพื่อผิวที่มีความชุ่มชื้น ปกป้องและต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี ชะลอการเกิดริ้วรอย ทั้งนี้ ยังสามารถหาได้จากน้ำมันตับปลาฉลามน้ำลึก ในยีสต์และเมล็ดพืชอื่นๆ ผลการศึกษา ยังช่วยลดความเสี่ยวต่อการเกิดมะเร็งได้
นอกจากนี้ abalone beauty cream ยังมีสารสกัดอื่นๆ เช่น Arbutin สารสกัดจากผลไม้ พืชธรรมชาติ 100% เพื่อช่วยปรับผิวหน้าให้กระจ่างสดใส Niacinamide วิตามินบี 3 ช่วยลดการส่งเม็ดสีไปยังผิวหนังชั้นบนสุด แต่ไม่ทำร้ายเมลานินในผิวหนังแท้ Tocopheryl Acetate ที่เป็นวิตามินอี สารต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งการโดนทำร้ายจากมลภาวะ เสมือนกำแพงปกป้องบนผิวหนังชั้นกำพร้า
    และด้วยส่วนประกอบหลักของ abalone beauty cream นี้เองที่ทำให้ผู้ใช้มีผิวหน้าที่สุขภาพดี ขาวสว่าง กระจ่างใส อมชมพูแบบเป็นธรรมชาติ ริ้วรอยจางลง แลดูอ่อนกว่าวัย หวังว่าทั้งหมดนี้คงเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกใช้ครีมบำรุงผิวหน้าอย่าง abalone beauty cream ได้เป็นอย่างดี

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

สูตรเจลว่านหางจระเข้ เพื่อดูแลสุขภาพผิวและบรรเทาอาการปวด

            “ว่านหางจระเข้” พืชสมุนไพรที่หลายคนรู้จักแต่มักมองข้าม เนื่องจากเป็นพืชที่มีชื่อแสนเชย และดูโบร่ำโบราณ หารู้ไม่ว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามท้องตลอดที่จำหน่ายกันในราคาแพงหูฉี่ ส่วนใหญ่จะมีว่านหางจระเข้เป็นส่วนผสมหลักด้วย เพราะให้สรรพคุณมากมายเกี่ยวกับผิวพรรณ ทั้งยังมีประโยชน์ในเรื่องการบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ดีอีกด้วย
วันนี้เรานำสูตรเจลว่านหางจระเข้มาให้ท่านผู้อ่านได้ลองทำกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องมีความรู้พื้นฐานและประสบการณ์เกี่ยวกับตำหรับยาพอสมควร เพราะการทำเจลว่านหางจระเข้จะมีความวุ่นวายในการตระเตรียมส่วนประกอบ แต่รับรองว่าเป็นเคล็ดลับที่มีประสิทธิผลอย่างแน่นอน

เจลว่านหางจระเข้บำรุงผิว
1.เตรียมน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ โดยนำใบว่านหางจระเข้มาปอกผิวเปลือกด้วยใบมีดคม ล้างให้สะอาดเพื่อปราศจากฝุ่นและยางสีขาวที่ทำให้เกิดอาการคันหรือแพ้ได้ หั่นเป็นรูปเต๋าขนาด 1 เซนติเมตร หรือโตกว่าเล็กน้อย ชั่งให้ได้ 100 กรัมหรือมากกว่า ปั่นด้วยเครื่องปั่น แต่อย่านานมากนัก จากนั้นกรองด้วยผ้าไนลอนขาวบาง ก็ได้จะได้น้เป็นวุ้นๆ
 2.ชั่งน้ำวุ้นว่านหางมา 80 กรัม ใส่น้ำบริสุทธิ์ตามสูตร คนให้เข้ากัน
   3.ชั่งและนำ disodium edetate มาละลายในข้อ 2. เพื่อเตรียมส่วน A
 4.ชั่งคาร์โบเมอร์ตามสูตร ค่อยๆ โปรยลงไปในส่วน A คนจนพองตัวหมด โดยค่อยๆ คนแล้วตั้งทิ้งไว้ เพื่อให้ฟองอากาศเล็กๆ ลอยขึ้นมาหมด
 5.ชั่งและละลาย germaben II ใน propylene glycol เพื่อเตรียมส่วน C
6.เทส่วน C ลงใน 4. ช้าๆ พร้อมกับคนให้เข้ากัน
7.ผสมสีลงไปให้มีสีเขียวอ่อนๆ โดยใช้ FD & C yellow dye และ FD & C blue dye
8.ค่อยๆ หยด trolamine (triethanolamine, TEA) ลงไป จนได้ pH 6.0 + 0.5 พร้อมคนช้าๆ จะได้เจลที่หนืดขึ้น
สูตรนี้จะได้วุ้นในใบว่านหางจระเข้มีสารเคมีอยู่หลายชนิด เช่น aloe-emidin, aloesin, aloin, glycoprotein และอื่นๆ ซึ่งวุ้นหรือน้ำเมือกหรือเจลว่านหางจระเข้ที่ได้ สามารถรักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรังได้ เพราะในเจลว่านหางจระเข้นอกจากจะมีสรรพคุณรักษาแผล ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย แล้วยังช่วยสมานแผลได้ดี ที่สำคัญสามารถลดเลือนรอยสิวให้กลับมาเนียนใส

เจลว่านหางจระเข้บรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ
1.ในส่วน A ให้ลดน้ำที่จะผสมน้ำวุ้นว่านหางจระเข้ลงตามสูตร
2.ละลาย disodium edetate ลงไปช้าๆ จนละลายหมด
3.ละลาย trolamine salicylate ลงไปช้าๆ จนละลายหมด
4.เตรียมตามลำดับขั้นตอนในข้อ 4-8 ของวิธีการเตรียมในสูตรแรก
โดยสูตรนี้สามารถบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อจากการเล่นกีฬา หรือทำงานหนักๆ ลดอาการเมื่อยล้าจากการใช้กล้ามเนื้อได้ โดยให้ทาบริเวณที่ปวดเมื่อยแล้วนวดเบาๆ

เจลว่านหางจระเข้ป้องกันแดดอย่างอ่อน
  1.วิธีการเตรียมตำรับนี้คล้ายคลึงกับตำรับ 2 คือ ในส่วน A ให้ลดปริมาณน้ำลงตามสูตร แตกต่างกันที่ส่วน C ให้ละลายสารกันแดดเพิ่มอีก 1 ตัว คือ benzophenone-9
2.ลำดับขั้นตอนในการเตรียมเช่นเดียวกันกับสูตรแรก
  นอกจากสรรพคุณในเรื่องการบำรุงผิวและลดทอนอาการปวดกล้ามเนื้อแล้ว เจลว่านหางจระเข้ยังสามารถทำปฏิกิริยากับสารกันแดด แล้วเป็นผลิตภัณฑ์ที่ป้องกันแสงแดดอ่อนๆได้อีกด้วย โดยควรทาผิวหนังซ้ำทุก 4-5 ชั่วโมง ที่สำคัญไม่ควรเดินหรืออยู่ในที่มีแดดจัดจนเกินไป
อย่างไรก็ดี แม้ว่าเจลว่านหางจระเข้จะให้คุณค่าหลากหลายด้าน แต่อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วข้างต้นว่าการเตรียมอุปกรณ์และส่วนประกอบต่างๆเพื่อทำตามสูตร ต้องมีการศึกษาให้เกิดความชำนาญในระดับหนึ่งเกี่ยวกับตำหรับตำราการผสมสมุนไพร เช่น ควรทราบว่าตัวยาหรือสารออกฤทธิ์ที่ใช้อาจเป็นสารบริสุทธิ์ที่สังเคราะห์ กึ่งสังเคราะห์ หรือสารสกัดจากพืชสมุนไพรมาทำให้บริสุทธิ์พร้อมใช้ (pure extract) หรืออาจใช้สารสกัดดิบ (crude extract) หากไม่มีความรู้พื้นฐาน แนะนำว่าอย่าพยายามทำด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เสียเวลาไปโดยไม่ได้ประโยชน์จากเจลว่านหางจระเข้เลยก็เป็นได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อาการผิวขาดน้ำ ต้อนตอของปัญหาสุขภาพผิว

                อาการผิวขาดน้ำเป็นเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพผิวต่างๆนาๆ เช่น ผิวคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำจากแดดโดยสาเหตุหลักๆก็มาจากชื่อเลยก็คือ ผิวขาดน้ำ ขาดความชุ่มชื้น และนี้ก็คือปัญหาที่สาวๆต้องพบเจอทั้งสภาพอากาศร้อน โดยอาการนี้จะมีความใกล้เคียงกับอาการผิวแห้ง แต่ต่างกันตรงที่มีทั้งความมัยและแห้งไม่เป็นเวลา อันเนื่องมาจากผิวเราขาดสารหล่อเลี้ยงที่สำคัญอย่างน้ำ ต่อให้ใช้เครื่องสำอางราคาแพงส่งตรงจากแดนน้ำหอม แต่ถ้าไม่ดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอ ก็รักษาอาการผิวขาดน้ำไม่ได้

 

                อีกปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการผิวขาดน้ำนั่นก็คือแดด โดยสาวๆที่ต้องออกทำงานเผชิญแดดอยู่ทุกวัน มักจะต้องพบประสบปัญหาผิวขาดน้ำ เนื่องจากแดดทำให้เกิดความร้อน ผิวก็จะขับเหงื่อออกมา หากเราดื่มนำไม่เพียงพอ อาการผิวแห้งคงต้องถามหาแน่ๆ แต่สาวๆที่ทำงานในที่ร่มก็อย่าเพิ่งวางใจไป เพราะในห้องทำงานส่วนใหญ่ล้วนมีแอร์ และเจ้าสิ่งนี้เองก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ผิวขาดน้ำได้ เพราะอากาศเย็นและแห้งนั้น ทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศลดลง จนอาจจะก่อให้เกิดอาการผิวขาดน้ำได้

หลายคนอาจจะสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าผิวขาดน้ำแล้ว และนี่ก็คือสัญญาณเตือนเบื้องต้นจากผิวที่บ่งบอกว่าเรามีอาการผิวขาดน้ำแล้วนะ!

1. เริ่มแต่งหน้าไม่ติด หรือเครื่องสำอางอยู่ไม่ทน
สาวๆหลายคนที่ทาครีมแล้วไม่ค่อยซึม หรือรองพื้นที่หน้าแล้วเป็นขุยๆ นี่เองเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวขาดน้ำแล้วนะ หลายคนอาจจะสงสัยไปอีกว่า รู้ได้อย่างไรว่าผิวขาดน้ำไม่ใช่ผิวแห้ง เพราะผิวแห้งนั้นยังสามารเกลี่ยเครื่องสำอางได้ ยังดูดซับครีมได้ แต่ถ้าผิวขาดน้ำแล้วผิวจะไม่ดูดซึมอะไรเลย

2. ผิวเริ่มดูโทรมอิดโรย ไม่สดใส
เมื่อเราลูบสัมผัสไปที่ผิวที่ขาดน้ำแล้วจะพบว่าผิวนั้นหยาบกระด้างขึ้น ขาดความยืดหยุ่น นี่จะเป็นสัญญาณอันตรายของอาการผิวขาดน้ำอย่างจริงจัง และถ้าหากเป็นขั้นรุนแรงยิ่งขึ้น ก็จะเกิดรอยจ้ำแดงๆ อันเกิดจากโครงสร้างผิวที่ไม่มีความยืดหยุ่น

วิธีการรักษาอาการผิวขาดน้ำ
วิธีการดูแลผิวไม่ให้ขาดน้ำนั้นไม่ได้ยากมาก หากต้องอาศัยวินัยที่เคร่งครัดพอสมควร เมื่อพูดถึงผิวขาดน้ำแล้วเราก็ต้องเติมน้ำโดยเริ่มต้นที่การดื่มน้ำวันละ 8 แก้วทุกวัน เพราะน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายเราประมาณ 50%-60% ของน้ำหนักตัวเรา หลายคนอาจจะสงสัยไปอีกว่า ควรดื่มน้ำแก้วประมาณไหน ให้คิดโดยนำน้ำหนักตัวไปคูณกับ 30 ผลที่ได้คือน้ำที่ควรดื่มในแต่ละวัน โดยมีหน่วยเป็นมิลลิลิตร เช่นน้ำหนัก 50 กิโลกรัม x 30 = 1,500 มิลลิลิตร ดังนั้นเราควรดื่มน้ำ 1.5 ลิตรใน 1 วัน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผิวชุ่มชื่นด้วยน้ำแล้ว ยังช่วยรักษาสุขภาพในด้านอื่นๆอีกด้วย

แต่ถ้าจะให้ดื่มทีเดียวเป็นลิตรก็คงไม่ดีแน่ อาจจะทำให้จุกได้ ดังนั้นเราควรแบ่งเวลาดื่มน้ำดีๆเรื่อยๆ โดยเฉลี่ยออกมาง่ายๆได้ดังนี้
1. ดื่มตอนตื่นเช้า 1 แก้ว เพราะเป็นช่วงที่เลือดความเข้มข้นสูง อยู่ในลักษณะขาดน้ำ
2. ดื่มตอนสายๆ 2 แก้ว เนื่องจากร่างกายได้ขับของเสียออกไปส่วนหนึ่ง
3. ดื่มตอนบ่ายๆ 2 แก้ว
4. ดื่มตอนเย็นอีก 2 แก้ว
5. ดื่มก่อนนอน 1 แก้ว เพื่อให้น้ำได้ชำระล้างวิ่งตกค้างในลำไส้ ยิ่งเป็นน้ำอุ่นจะยิ่งช่วยทำให้หลับสบายนิ่งขึ้น

วิธีต่อมาคือการนอนที่ตรงเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะร่างกายเรานั้นจะฟื้นฟูตัวซ่อมแซมส่วนที่สึกในช่วงที่เรานอน ส่งผลทำให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้านอนในห้องที่มีแอร์อย่าลืมดื่มน้ำก่อนนอนด้วย จะยิ่งเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
ทั้งหมดนี้คือสาเหตุของผิวขาดน้ำและวิธีการแก้อาการผิวขาดน้ำ โดยสาวๆสามารถทำได้ไม่ยาก เพราะถ้าหากปล่อยให้ผิวขาดน้ำเรื่อยๆ นอกจากจะทำให้ดูไม่สวยแล้ว ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพด้านอื่นๆอีกด้วย ถ้าอยากมีผิวสวยสุขภาพดี นอกจากเครื่องสำอางที่ดีแล้ว ยังต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ของตัวเองด้วย เพราะผิวที่ดีย่อมแสดงถึงความเอาใจตัวเราเอง ขอให้สาวๆมีความสุขกับการรักษาสุขภาพผิวนะครับ
*มีการแทรกคียเวิร์ดในบทความชิ้นนี้จำนวน 19 ครั้ง จำนนวนตัวอักษร 828 เวิร์ดพอดี”

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ประโยชน์ล้ำค่าจากครีมทองคำ

       ขึ้นชื่อว่าทองคำ แสดงให้เห็นถึงความมีค่า หรูหรา ราคาแพง แล้วสำหรับครีมทองคำล่ะ มันคืออะไร คุณสมบัติของครีมทองคำจะเลิศหรู ดังเช่นชื่อของมันหรือไม่ บทความนี้จะเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับครีมทองคำ เพื่อไขข้อข้องใจให้ผู้อ่านได้ทราบ โดยเฉพาะสาวๆที่เหมาะอย่างยิ่งในการใช้ครีมทองคำบำรุงผิวพรรณ

ครีมทองคำคืออะไร

ครีมทองคำ คือ การนำทองคำบริสุทธิ์มาเป็นส่วนประกอบในการกระตุ้นให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ที่ทำให้ผิวเต่งตึง ยืดหยุ่น ดูอ่อนกว่าวัย นั่นหมายความว่าครีมทองคำไม่ใช่การใช้แร่ทองคำแบบ 100% มาสะกัดทางเคมีแล้วออกมาเป็นครีมทองคำ แต่เป็นการใช้ทองคำร่วมกับส่วนประกอบอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงผิว เช่น สารไฮยาโล-โอลิโกจากประเทศญี่ปุ่น สารสกัดจากดอกลาเวนเดอร์จากฝรั่งเศส สารสกัดจากใบบัวบกและโสมจากเกาหลี หรือแม้แต่โปรตีนจากพืชกรดถั่ว เป็นต้น

       อย่างไรก็ดี ทองคำไม่ได้มีประโยชน์ในด้านความสวยความงามเพียงอย่างเดียว เพราะจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ พบว่าโลหะทองคำบริสุทธิ์ สามารถนำมาเติมในสารอาหารได้ โดยสหภาพยุโรปได้รับรองและอนุญาตให้ทองคำจัดอยู่ในกลุ่มสารเติมแต่งสารอาหาร เนื่องจากโลหะทองคำมีคุณสมบัติเฉื่อย จึงไม่มีปฏิกิริยากับสิ่งแวดล้อมในร่างกาย ดังนั้นจึงไม่มีรสชาติและถูกขับออกจากร่างกายได้โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงใดๆ

นอกจากนี้ ทางการแพทย์ได้มีการทอดลองนำแร่ทองคำมาเตรียมให้อยู่ในรูปของเกลือ พบว่ามีฤทธิ์ต้านอาการอักเสบและบวมช้ำของโรคเก๊า ซึ่งได้มีการทอดลองนำมารักษาโรคดังกล่าวไม่น้อยกว่า 80 ปี เชื่อกันว่าแร่ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากข้อกระดูกที่อักเสบ ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดและบวม จึงเป็นการไขข้อสงสัยกับความเชื่อของคนยุคโบราณที่ว่า ทองคำมีศักยภาพในการสมานโรค ช่วยให้สุขภาพที่ทรุดดีขึ้นได้
ครีมทองคำกับการฟื้นฟูสภาพผิว

ทองคำสามารถต้านอนุมูลอิสระได้ และส่งผลให้เกิดกลไกในการต้านอาการอักเสบของข้อกระดูก ทำให้นักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางค์เชื่อว่า ด้วยกลไกเดียวกันนี้ โลหะทองคำน่าจะมีประสิทธิภาพต้านอนุมูลอิสระของผิวหนัง รวมถึงต้านอาการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากรังสียูวีได้ จึงมีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้ โดยผสมในเครื่องสำอางค์ และทำให้ครีมที่ผสมแร่ทองคำมีราคาแพงหูฉี่

      กระนั้น ปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะจากส่วนประกอบทั้งหมด จะช่วยลดเลือนริ้วรอยบนใบหน้า รอยตีนกา จุดด่างดำ รอยแดง รอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว เพิ่มความเนียนนุ่ม ชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ มีออร่า เปล่งปลั่ง ขาวอมชมพูกระจ่างใส อย่างก็ตาม อย่าลืมดูให้ดีว่าผลิตภัณฑ์ที่ออกมานั้นมีคุณสมบัติที่เหมาะกับผิวหน้าหรือผิวกาย

ผลข้างเคียงจากการใช้ครีมทองคำ

 โดยปกติแร่ทองคำที่บริสุทธิ์ จะไม่เป็นพิษหรือทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเซลล์ร่างกาย ทว่าแร่ทองคำที่ถูกเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทางเคมีให้อยู่ในรูปของเกลือหรือโกลด์ซอลท์ หากฉีดเข้าสู่ร่างกายจะมีอันตรายต่อไตและตับ ทั้งยังยับยั้งการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวอีกด้วย นอกจากนี้ แร่ทองคำที่ถูกเปลี่ยนแปลงทางเคมีอาจมีผลให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองผิวหนังได้ ซึ่งมักพบอาการในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จนในปี 2001 แร่ทองคำได้รับการโหวตให้เป็นสารก่อภูมิแพ้ จากสมาคมโรคผิวหนังของประเทศสหรัฐอเมริกา

เมื่อได้ทราบถึงข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับครีมทองคำกันไปแล้ว โดยเฉพาะด้านคุณสมบัติอันล้ำค่าของครีมทองคำ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของแต่ละบุคคลว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ ในการได้มาซึ่งผิวพรรณเปล่งปลั่ง สวยอมชมพู มีออร่า แลกกับราคาครีมทองคำที่ต้องจ่ายไป ทั้งนี้ ต้องบอกก่อนว่าผิวพรรณแต่ละคนไม่เหมือนกัน สาวๆบางคนใช้แล้วเห็นผลชัดเจน แต่อีกจำนวนหนึ่งที่เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แต่กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ดังนั้น เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับตัวเราถือเป็นการดี

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.