เผยเคล็ดลับผิวสวยสดใสอ่อนวัยด้วยสารเบต้ากลูแคน

       ในปัจจุบัน เมื่อคุณสาวๆทำการหยิบผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือนำเครื่องสำอางแบนรด์ดังหลายๆยยี่ห้อ ที่มีการชูคุณคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และทำให้ผิวดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้นมาสักชิ้น ให้คุณสาวๆลองพลิกกลับไปอ่านส่วนประกอบด้านหลังของผลิตภัณฑ์เหล่านั้น และจะพบว่ามักที่จะมีสารที่ชื่อว่า “เบต้ากลูแคน” รวมอยู่ด้วย คุณสาวๆบางคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของเจ้าสารชนิดนี้ มาก่อน และอาจจะยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามันมีคุณสมบัติอย่างไร จึงมักถูกเลือกให้มาเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เสริมความงามในผลิตภัณฑ์ต่างๆอย่างมากมาย  สำหรับใครที่กำลังเกิดข้อสงสัยเหล่านี้ ในบทความชิ้นนี้จะมีคำตอบให้ค่ะ

เบต้ากลูแคนคืออะไร

อันดับแรก เรามาทำความรู้จักกับเจ้าสารเบต้ากลูแคนกันก่อน เบต้ากลูแคน (Beta Glucan) คือ สารอาหารประเภทแป้ง ที่มีคุณสมบัติโดยพื้นฐานที่ช่วยในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ระบบต้านทานเชื้อโรคต่างๆของร่างกายนั้นมีประสิทธิภาพที่ดีมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้เบต้ากลูแคน ยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอีกมากมายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดระดับคอลเลสเตอรอลในโลหิต หรือทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ด้วยการกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ ให้สามารถตรวจพบ และทำลายเชื้อมะเร็งในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ

       สารเบต้ากลูแคน ได้รับการยอมรับจากการค้นคว้าวิจัยจากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ของโลกอย่างมากมาย อาทิเช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาด มหาวิทยาลัยทูเลน มหาวิทยาลัยดิ๊ก มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย มหาวิทยาลัยหลุยส์วิล มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เป็นต้น นอกจากนี้เบต้ากลูแคน ยังมีผลงานเอกสารทางวิชาการอีกมากกว่า 1,000 รายการ ที่แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิด เบต้า 1,3/1,6 กลูแคน ไซโมซาน ที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์

คุณสมบัติฉบับย่อของเบต้ากลูแคน

1.ลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากยาต้านมะเร็ง

2.ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติให้ดีขึ้น พร้อมกับบรรเทาอาการภูมิแพ้ต่างๆ เช่น โรคผื่น ภูมิแพ้ผิวหนัง หอบหืด อาการแพ้เกสรดอกไม้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังช่วยรักษาโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง

3.ช่วยบรรเทาอาการผลร่วงเนื่องจากความเครียด

4.บรรเทาอาการของโรคปวดตามข้อ หรืออาการข้ออักเสบ

5.ช่วยบรรเทาอาการต่างๆของโรคเอบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลและคอลเลสเตอรรอลในเลือด ฟื้นฟูตับอ่อนให้กลับมาเป็นปกติ

6.ช่วยบรรเทาอาการปอดอักเสบ

7.ช่วยฟื้นฟูบาดแผลภายนอก แผลอักเสบติดเชื้อ

8.มีคุณสมบัติของเส้นใยไฟเบอร์ จึงสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูก นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการช่วยดีท็อกซ์ลำไส้ ช่วยปรับระบบขับถ่ายให้กลับสู่ภาวะปกติ

       9.มีคุณสมบัติเป็นอาหารของโบรไบโอติกในลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในร่างกาย

10.ลดการเกิดภาวะกรดไหลย้อน ซึ่งมักเป็นหนึ่งในสาเหตุของโรคที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหาร

11.ช่วยปรับระดับการทำงานของเซลล์ในร่างกาย

12.ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ฟื้นฟูผิว ลดริ้วรอย

เบต้ากลูแคนการดูแลสุขภาพผิว

สารเบต้ากลูแคน จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวขนาดใหญ่ Langer Hans ที่มีหน้าที่คุ้มกันผิวหนังให้ออกมาทำการกำจัดสิ่งแปลกปลอม และป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดใหญ่ดังกล่าว จะผลิตสารคัดหลั่งที่มีประโยชน์ต่อผิวหนัง 3 ชนิด ได้แก่ คอลลาเจน อีลสติน และกรดไฮยาลูโรนิด ที่มีคุณสมบัติในการช่วยชะลอความแก่ของผิวหนัง และทำช่วยทำให้ผิวหนังมีความสดใส สวยงามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

ประโยชน์โดยตรงของสารเบต้ากลูแคนในเรื่องของผิวพรรณ คือ ช่วยในการรักษาอาการผิวหนังอักเสบ โดยการเพิ่มภูมิต้านทานของผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้น เกิดการรักษาบาดแผลบนผิวหนังทุกชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยรักษาอาการผิวแห้งได้อีกด้วย

รับประทานเบต้ากลูแคนอย่างไรให้เหมาะ

เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ใน 1 วัน ควรทำการรับประทานเบต้ากลูแคน อย่างน้อย 500-1,000 mg. ในช่วงที่ท้องว่าง ในตอช่วงตื่นนอนตอนเช้า หรือก่อนนอน ซึ่งจะช่วยทำให้ร่างกายสามารถทำการดูดซึมและนำสารเบต้ากลูแคนไปใช้ได้อย่างดีมากยิ่งขึ้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

16 วิธี การรักษาผิวหนังไหม้จากแดด ให้ผิวไม่เสีย

ผิวไหม้จากแสงแดด เป็นหนึ่งในปัญหาที่มักจะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณสาวๆออกไปทำการตากแสงแดดแรงๆในเวลากลางวันเป็นระยะเวลานานๆ โดยที่ไม่ได้ทำการป้องกันโดยการทาครีมกันแดด หรือปกป้องผิวจากเสื้อผ้าแขนยาว ร่ม หรือการสวมหมวก จนทำให้เกิดอาการไหม้แดดขึ้นบนผิวหนัง

โดยเฉพาะคุณสาวๆ ที่มีผิวขาว ผิวจะบางกว่าคนที่มีผิวสีคล้ำ และก็จะมีความไวต่อแสงแดดมากกว่าปกติ ซึ่งเจ้าปัญหา ผิวไหม้จากแสงแดด เป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาจากคุณสาวๆ อย่างยิ่ง

สำหรับคนที่เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้นมาแล้วนั้น ก็ควรที่จะมาทำความเข้าใจ และรู้จักกับวิธีการรักษาผิวไหม้ที่ถูกต้อง เพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา ที่จะช่วยรักษาผิวให้กลับไปเนียนใสได้เหมือนเดิมอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ผิวหนังกำลังมีอาการไหม้จากแสงแดด…??

อาการเบื้องต้นของการแพ้แดด จะเริ่มต้นจากอาการคัน และแสบผิว จนสามารถที่จะรู้สึกได้ถึงความร้อนที่เกิดขึ้นในบริเวณผิวของตัวเอง เมื่อเกิดอาการดังกล่าวขึ้นแนะนำว่า ให้รีบหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กำลังทำอยู่ทันที เพราะผิวหนังไม่สามารถรับมือจากแสงแดดได้แล้ว

ถ้าหากยังคงพยายามฝืนทำกิจกรรมดังกล่าวต่อไป ก็จะทำให้ผิวหนังเกิดอาการไหม้จากแสงแดดขึ้นได้ ซึ่งอาการของผิวไหม้จากแสงแดด คือ เมื่อเลิกทำกิจกรรมกลางแจ้งใหม่ๆ ผิวจะเปลี่ยนเป็นสีแดง และมีอาการแสบผิวเป็นอย่างมาก เมื่อผ่านไปสักหนึ่งวันผิวจะกลายเป็นสีคล้ำ และเริ่มมีอาการคัน พร้อมกับมีผิวหนังลอกออกมาเป็นขุยๆ

วิธีการรักษาผิวไหม้อย่างถูกวิธี

สำหรับวิธีการรักษาผิวที่ไหม้คล้ำเสียจากแสงแดดมีอยู่มากมายหลายวิธี ซึ่งคุณสาวๆสามารถเลือกนำเฉพาะวิธีที่ตัวเองสนใจไปประยุกต์ใช้ได้ ดังต่อไปนี้

1. การอาบน้ำเย็น เป็นการช่วย Cool Down ผิวหนังและร่างกายของคุณสาวๆให้เย็นลง เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ให้นำผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นมาทำการประคบตามตัว โดยเน้นในบริเวณที่ผิวหนังมีอาการไหม้จากแสงแดด

2. อาบน้ำนม สำหรับคุณสาวๆที่มีอ่างอาบน้ำที่บ้าน สามารถทำการเทนมจืดใส่เอาไว้ในอ่างแล้วทำการนอนแช่ได้เลย หรืออาจจะใช้วิธีนำผ้าขนหนูไปซับกับน้ำนม แล้วนำไปประคบผิวหนังบริเวณที่เกิดอาการไหม้ได้เช่นเดียวกัน

3. ทาผิวด้วยโยเกิร์ตแช่เย็น นำโยเกิร์ตแช่เย็น มาทาในบริเวณผิวที่ไหม้ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงค่อยทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาด

4. ประคบผิวด้วยข้าวโอ๊ต
นำข้าวโอ๊ตบดละเอียดมาห่อในผ้าขาวบาง หรือผ้าอะไรก็ได้ที่มีลักษณะบางๆ จากนั้นนำไปแช่เอาไว่ในน้ำเย็นสักครู่ แล้วนำผ้าที่ห่อข้าวโอ๊ตเปียกน้ำมาประคบในบริเวณผิวที่มีอาการไหม้ โดยสามารถทำซ้ำได้ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง

5 .ว่านหางจระเข้ นำวุ้นด้านในของว่านหางจระเข้ที่ทำการล้างยางออกจนหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาทำการทาถูในบริเวณที่ถูกแสงแดดเผา

6. ประคบผิวด้วยถุงชา นำถุงชาที่ไม่ใช้แล้วไปแช่ในน้ำเย็น จากนั้นให้นำถุงชาไปวางประคบบนใบหน้า จะเป็นการช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนที่เกิดขึ้นตามผิวได้เป็นอย่างดี

7. น้ำมันมะพร้าว นำสำลีไปชุบน้ำมันมะพร้าว แล้วทาไปในบริเวณที่ผิวมีการไหม้ จะช่วยทำให้รอยไหม้ค่อยๆจางลงอย่างเป็นธรรมชาติ

8. ทาครีมกันแดดอย่างต่อเนื่อง ครีมกันแดดนอกจากจะช่วยในการปกป้องผิวจากแสงแดด แต่ก็ยังมีสรรพคุณในการรักษาอาการไหม้ของผิวจากแสงแดดอีกด้วย เมื่อเกิดอาการไหม้ของผิวจากแสงแดด ให้ทำการทาครีมกันแดดในบริเวณนั้นต่อไปอีก 2 สัปดาห์ พร้อมกับพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด ผิวจะเกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่าทิ้งไป ผิวหนังชั้นใหม่ที่เกิดขึ้นมาแทนก็จะกลับมาเนียนใสได้เหมือนเดิม

9. น้ำส้มสายชู นำผ้าขนหนูมาชุบน้ำส้มสายชู แล้วไปวางทับไว้ในบริเวณผิวที่เกิดอาการไหม้ขึ้น

10. น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ นำผ้าขนหนูมาชุบน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์แล้วไปวางทับไว้ในบริเวณผิวที่เกิดอาการไหม้ขึ้น

11. แตงกวา นำแตงกว่ามาหันให้เป็นชิ้นบางๆ แบ้สรำไปวางไว้ตามจุดต่างๆของผิวที่มีอาการไหม้เกิดขึ้น วิตามินและความเย็นจากแตงกวาจะช่วยเยียวยาผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดให้แข็งแรงขึ้น

12. น้ำผึ้ง นำน้ำผึ้งไปทำการทาในบริเวณที่ผิวหนังมีอาการไหม้ หรืออาจจะทำการผสมกับน้ำมะนาว หรือนมสด

13. การทานวิตามินซี วิตามินซีจะช่วยทำให้ผิวที่กำลังอ่อนแอไหม้เสียจากแสงแดด เกิดการฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแรงได้ดังเดิมอย่างรวดเร็วมากขึ้น โดยควรทำการรับประทานวิตามินซีควบคู่ไปกับครีมบำรุงผิวไปสักประมาณวันละ 3,000 มิลิกรัม

14. มะเขือเทศ นำมะเขือเทศมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วทำการวางไปตามบริเวณผิวหนังที่เกิดอาการไหม้ วิตามินและความเย็นในมะเขือเทศจะช่วยเยียวยาให้ผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดดมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

15. ประคบด้วยก้อนน้ำแข็ง นำก้อนน้ำแข็งเล็กๆมาทำการประคบผิวหนังที่มีอาการไหม้ ซึ่งจะช่วยทำให้ผิวหนังเกิดความอ่อนนุ่ม ปิดรูขุมขน และบรรเทาอาหารปวดแสบปวดร้อนที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

16. เบกกิ้งโซดา นำเบกกิ้งโซดาปริมาณ 1-2 ถ้วยตวง ผสมใส่ลงในอ่านน้ำสำหรับแช่ตัว หรือละลายเบกกิ้งโซดาลงในน้ำเย็น เพื่อใช้ในการฉีดผิว

การรักษาอาการผิวไหม้เสียจากแสงแดด เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และควรรีบทำการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะถ้าหากปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นเลยไปนาน ปัญหาผิวเหล่านี้อาจจะเกิดการสะสมกันมากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่มากขึ้น อย่างเช่น การเกิดมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

หน้าใสด้วยการกินอาหารเช้าบำรุงผิว

คุณสาวๆทุกคนล้วนต้องการที่จะมีผิวใส ขาวเนียน เหมือนกันทุกคน แต่ก็มีคุณสาวๆ บางคนที่ถึงแม่ใฝ่ฝันอยากมีผิวขาวใส แต่ก็ไม่รู้ว่า “หน้าใสทำไง

ขอแนะนำก้าวแรกสู่หนทางแห่งความหน้าใส โดยเริ่มต้นอย่างง่ายๆ โดยการเพียงแค่รู้จักหลักการรับประทานอาหารมื้อเช้าที่มีประโยชน์ในการบำรุงผิวเท่านั้นเอง

เราไปดูกันเลยดีกว่าว่า ในมื้อเช้าแต่ละวัน คุณสาวควรรับประทานมื้อเช้า โดยมีส่วนประกอบเป็นอาหารประเภทใดบ้าง จึงจะช่วยทำให้หน้าใสปิ๊งกัน…

อาหารบำรุงผิวที่ควรมีอยู่ในมื้อเช้า


สำหรับคุณสาวๆ ที่อยากให้หน้าใส ควรที่จะมีการรับประทานอาหารต่อไปนี้ในตอนเช้า โดยอาหารบางชนิดอาจจะสามารถรับประทานได้เลยในทันที แต่บางอย่างก็ควรที่จะทำการรับประทานเป็นเครื่องเคียง หรือทานควบคู่ไปกับอาหารประเภทอื่นๆ

สำหรับอาหารที่จะขอแนะนำให้คุณสาวๆ ควรทำการรับประทาน มีดังต่อไปนี้

            1. มะเขือเทศ มีคุณสมบัติช่วยในการปกป้องผิวจากแสงแดด เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน ซึ่งเมื่อนำมะเขือเทศไปประกอบอาหารโดยผ่านความร้อน ก็จะเป็นการช่วยให้สารดังกล่าวมีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากมะเขือเทศ เช่น ซอสมะเขือเทศ เป็นต้น ก็มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากอันตรายของแสงแดดได้เช่นกัน

            2. แตงโม มีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากแสงแดดเช่นกัน เนื่องจากมีสารไลโคพีนอยู่เป็นจำนวนมาก

3. แครอท มีคุณสมบัติในการช่วยลดสิวบนใบหน้าให้น้อยลง เนื่องจากมีส่วนประกอบของวิตามินเอที่สูงมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ในลดจำนวนเซลล์ผิวใหม่ชั้นนอกที่ถูกผลิตขึ้นมาจนเกินความจำเป็น ทำให้ไม่เกิดการสะสมตัวของเซลล์ผิวหนังชั้นเก่า จนเกิดการอุดตันต่อมไขมัน และนำไปสู่การเกิดสิวอุกตันในที่สุด

            4. ปลาทูน่า มีคุณสมบัติในการช่วยทำให้ผิวกระชับเต่งตึงมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีส่วนประกอบของสารซีลีเนียม ที่จะช่วยในการปกป้องผิว และเสริมอิลาสตินใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นแอนติออกซิเดนท์ ที่จะช่วยในการปกป้องผิวจากรังสียูวีได้อีกด้วย

5. เม็ดทานตะวัน มีคุณสมบัติในการช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่หยาบกร้าน ลดเลือนริ้วรอย และลดอาการระคายเคือง อักเสบ และลดอาการบวมแดงของผิวหนังได้อีกด้วย เนื่องจากมีส่วนประกอบของโอเมก้า 3

6. ส้ม มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนกว่าวัย เนื่องจากมีส่วนประกอบของสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก

7. กีวี่ มีคุณสมบัติในการช่วยทำให้ผิวมีความกระชับมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีวิตามินซี ที่มีผลต่อการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง

8. โยเกิร์ต มีคุณสมบัติในการช่วยทำให้ผิวสดใส เนื่องจากโยเกิร์ตจะช่วยในการขับถ่าย ทำให้ไม่เกิดอาการท้องผูก ซึ่งเป็นการสะสมของเสียเอาไว้ภายในร่างกายจนทำให้ผิวเกิดความหมองคล้ำขึ้น

            9. ผักโขม มีคุณสมบัติในการช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและมีสุขภาพที่ดี เนื่องจากมีส่วนประกอบของธาตุเหล็กอยู่เป็นจำนวนมาก

10. อโวคาโด มีคุณสมบัติในการบำรุงผิว เนื่องจากมีส่วนประกอบของวิตามินอี เป็นจำนวนมาก

11. ชาเขียว มีคุณสมบัติในการช่วยปรับสมดุลของผิว ไม่ให้เกิดความมัน ไม่แห้งง่ายจนเกินไป และเปล่งปลั่งมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในชาเขียวนั้น มีส่วนประกบของสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่เป็นจำนวนมาก แต่มีข้อควรระวังคือไม่ควรเติมนมลงไปในชาเขียว เพราะจะเป็นการทำลายคุณสมบัติในการต่อต้านอนุมูลอิสระของชาเขียว

12. นมถั่วเหลือง มีคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณ เนื่องจากมีส่วนประกอบของไอโซเฟลโวน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระประเภทหนึ่ง

13. ข้าวโอ๊ต มีคุณสมบัติในช่วยเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังเต่งตึง สดใส ไม่เหี่ยวย่น เนื่องจากมีสารแอนตี้ออกซิเด้นท์ และสารเบต้ากลูแคน ที่สามารถช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

            14. กุ้ง มีคุณสมบัติในช่วยทำให้สุขภาพของผิวแข็งแรงมากขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และสังกะสี

            15. พริกหวาน มีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันผิวจากแสงแดด และทำให้สุขภาพของผิวมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ด้วยการเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิวหนัง เนื่องจากพริกหวานนั้นมีวิตามินซีอยู่เป็นจำนวนมาก

16. เห็ดหอม มีคุณสมบัติในการต้านความชรา และช่วยต้านการอักเสบ ปรับผิวให้กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในเห็ดหอมนั้น มีส่วนประกอบของวิตามินบี 12 วิตามินดี ซิลิเนียม และทองแดง

            อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำให้คุณสาวๆ พยายามทำการรับประทานอาหารเหล่านี้หมุนเวียนสลับกันไปมา เพราะถ้าหากมัวแต่ทุ่มเทรับประทานอาหารที่แนะนำไปเพียงชนิดเดียวซ้ำๆ ผลลัพธ์ที่จะ หน้าใส จะกลายเป็น หน้าเสีย เนื่องจาก การสะสมของสารบางชนิดซ้ำๆ ในร่างกายที่มากจนเกินไป แล้วเดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ!!

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

นมผึ้ง Royal jelly บำรุงร่างกายและผิวพรรณ คงความสาว

ปัจจุบันมีการนำสารสกัดจากธรรมชาติที่มีประโยชน์มาใช้เป็นอาหารเสริมความงามของผิวพรรณกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น  ซึ่ง “นมผึ้ง” เองก็ เป็นหนึ่งในอาหารเสริมที่เชื่อกันว่า มีสรรพคุณในการช่วยคงความอ่อนเยาว์ให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้รับความนิยมจากคุณสาวๆ อย่างมากทีเดียว

สำหรับในวันนี้ ขอพาคุณสาวๆ ไปเจาะลึกถึงเจ้านมผึ้งนี้ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร มีประโยชน์ในการบำรุงร่างกาย และคงความสาวเอาไว้ได้อย่างยาวนานจริงหรือไม่?

นมผึ้งคืออะไร

นมผึ้ง (royal jelly) จากธรรมชาติแท้ๆ จะมีรสชาติเปรี้ยว และเผ็ดในลำคอ เป็นอาหารของตัวอ่อนผึ้ง ซึ่งถูกผลิตขึ้นจากต่อมบริเวณส่วนหัวของผึ้ง นมผึ้งนั้นมีคุณค่าทางสารอาหารที่สูงมาก ถ้าหากตัวอ่อนตัวไหนได้รับการป้อนนมผึ้งเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอจะกลายมาเป็นผึ้งนางพญาในที่สุด และนางพญาผึ้งมีอายุยืนยาวมากกว่าผึ้งงานธรรมดาถึง 10 เท่า  

Dr.Yoshinabu จากประเทศญี่ปุ่น ได้รายงานผลวิจัยเอาไว้ในหนังสือ “พลานามัยและอายุยืนด้วยนมผึ้ง” ว่า นมผึ้งมีประโยชน์ต่อร่างกายของมนุษย์มาก โดยช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีพลานามัยดี การเจริญเติบโตเป็นไปตามวัยและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ระบบการทำงานส่วนต่างๆของร่างกายดีขึ้น และยังช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย
สาร 10-HAD ในน้ำนมผึ้งคืออะไร และสำคัญอย่างไร

สาร 10-HAD (10-Hydroxy-2-Drcenoid Acid) เป็นสารที่สามารถพบได้ในนมผึ้งเท่านั้น มีคุณสมบัติในการช่วยระบบต้านทานโรคในร่างกายของมนุษย์ ป้องกันอาการเจ็บป่วย และเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย

นอกจากนี้ จากผลวิจัยทางการแพทย์ยังพบว่า การได้รับสาร 10-HAD อย่างเหมาะสม ยังช่วยปรับพฤติกรรมของเซลล์ให้แข็งแรง ซึ่งส่งผลให้เซลล์ผิวมีอายุที่ยืนยาวได้มากยิ่งขึ้น และยังช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพของสองที่เกิดขึ้นจากความเสื่อมของเซลล์ เช่น โรคสมองฝ่อ เป็นต้น รวมไปถึงการฟื้นฟูการเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะส่วนต่างๆได้อีกด้วย

ประโยชน์ของนมผึ้งในการบำรุงร่างกาย

เชื่อกันว่าหากรับประทานนมผึ้งเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอแล้ว จะทำให้อายุยืนยาวมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการช่วยบำรุงร่างกาย ดังต่อไปนี้

  1. ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นไม่อ่อนเพลีย
  2. ช่วยในการบำรุงเส้นผม
  3. เพิ่มอัตราการดูดซึมอาหาร และช่วยให้มีการนำออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายได้ดีขึ้น
  4. เพิ่มอัตราการขับของเสียของร่างกาย และคาบอนไดออกไซต์
  5. ช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ให้มากยิ่งขึ้น
  6. ช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก ทั้งในของเด็กและผู้สูงอายุให้มากยิ่งขึ้น
  7. ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงให้มีจำนวนมากยิ่งขึ้น และควบคุมแร่ธาตุ รวมไปถึงอิเลคโตไลท์ในเลือดให้มีความสม่ำเสมอมากยิ่งขึ้น
  8. ช่วยบรรเทารักษาอาการนอนไม่หลับ ด้วยส่วนประกอบของกรดสำคัญที่ชื่อ Decenonic Acid ซึ่งเป็นกรดจากธรรมชาติ ซึ่งช่วยในการคลายเครียด และทำให้ประสาทมีการผ่อนคลาย
  9. ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
  10. ช่วยทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้นเมื่อรับประทาน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยและผู้สูงอายุ
  11. ช่วยในการป้องกันการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และบรรเทาอาการเรื้อรังของมะเร็งได้อีกหลายชนิด
  12. ช่วยลดน้ำตาลในเลือด โดยในนมผึ้งจะมีสาร Peptide ที่ออกฤทธิ์คล้ายกับอินซูลิน จึงสามารถช่วยลดปริมาณน้ำตาลในเลือดลงได้
  13. ช่วยในการลดการอักเสบของข้อต่อ และเนื้อเยื่อ เนื่องจากในนมผึ้งมีสารที่ส่งผลเหมือนกับสเตียลอยด์ แต่ไม่มีอันตรายและผลข้างเคียง นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูสมรภาพของเนื้อเยื่อต่างๆ หลังจากจากเจ็บป่วยให้มีสุขภาพแข็งแรงได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
  14. ช่วยสร้างเสริมภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายแข็งแรงมากขึ้น โดยการช่วยสร้างเม็ดเลือดขาว จึงสามารถช่วยในการขจัดพิษและต้านทานกสนแผ่กัมตภาพรังสี
  15. ช่วยเพิ่มพัฒนาการของเด็ก ทำให้เด็กมีการเจริญเติบโต ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา ความเจริญอาหาร และเพิ่มส่วนสูง
  16. ช่วยเพิ่มสมรภาพทางเพศให้กับเพศชาย ให้คงอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น
  17. ช่วยในการปรับความดันโลหิต ความดันสูงให้ลดลงอยู่ในระดับปกติ
  18. ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ด้วยส่วนผสมของกรดโฟลิค และวิตามินบี

 
ประโยชน์ของนมผึ้งในการบำรุงผิวพรรณ

นมผึ้ง มีส่วนประกอบที่เต็มไปด้วยคุณค่าในการช่วยบำรุงผิวพรรณ ดังต่อไปนี้

  • อุดมด้วยวิตามินบีรวม (บี1 บี2 บี3 บี6 บี12)
  • ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยมีส่วนประกอบของ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเอส จึงช่วยสร้างเสริมการเกิดใหม่ของเซลล์ ซึ่งตามปกติแล้วยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายก็จะยิ่งมีการสร้างเซลล์ลดน้อยลง นมผึ้ง มีคุณสมบัติในการช่วยสร้างเสริมการเกิดใหม่ของเซลล์ ส่งผลให้เกิดการชะลอความแก่ลง
  • ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนเพศหญิง และเพศชาย ทำให้สามารถคงความหนุ่มสาวได้เป็นระยะเวลายาวนานมากขึ้นถึง 20 %
  • ช่วยในการบำรุงผิว ยังยั้งรอยเหี่ยวย่น ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย และลดอาการอักเสบของผิวหน้า ด้วยส่วนประกอบของเจลลาติน โปรตีน และกรดอะมิโน

การใช้นมผึ้งในการเสริมความงามด้วยตัวเอง

ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ใช้นมผึ้ง หรือแม้แต่พิษผึ้ง เป็นส่วนประกอบออกมาหลากหลายรูปแบบ อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับรับประทาน ครีมทาผิว เป็นต้น ซึ่งนมผึ้งยังสามารถนำใช้ในการบำรุงผิวพรรณ ด้วยการประยุกต์ใช้ด้วยตนเอง โดยมีวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1. การพอกหน้าด้วยนมผึ้ง นำน้ำนมผึ้งมาทาลงผิวหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงค่อยทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาด
2. การชงดื่ม สามารถดื่มน้ำนมผึ้งได้เลยโดยตรง หรือผสมนมผึ้งกับน้ำผึ้ง ในอัตรา 1 ต่อ 3 ส่วน จากนั้นให้ทำการดื่มได้เลย หรือจะนำไปผสมกับเครื่องดื่มชนิดอื่นๆได้ตามต้องการ
3. การอมนมผึ้ง โดยการอมนมผึ้งปริมาณประมาณ 1 ช้อนชา อมไว้ใต้ลิ้นหรืออมเอาไว้ในปากประมาณ 3-5 นาที เมื่อนมผึ้งละลายในปากจนหมดแล้ว จึงค่อยทำการกลืนลงไป

วิธีการเก็บรักษานมผึ้งที่ถูกต้อง

ควรทำการเก็บนมผึ้งเอาไว้ในสถานที่ที่มีอุณหภูมิต่ำๆ หากทำการเก็บรักษาโดยการแช่แข็ง จะสามรถเก็บเอาไว้ได้นานถึง 3 ปี แต่ถ้าหากนมผึ้งที่เก็บเอาไว้เป็นระยะเวลานานๆ เริ่มมีสีที่ไม่แวววาว เปลี่ยนเป็นสีเทา มีกลิ่นคล้ายเหล้า กลิ่นแก็ซ หรือกลิ่นเน่า แสดงว่านมผึ้งดั่งกล่าวหมดอายุแล้ว ไม่ควรนำมาทำการรับประทานโดยเด็ดขาด

ข้อควรระวังในการใช้นมผึ้งเพื่อบำรุงร่างกาย

โดยส่วนใหญ่แล้วนมผึ้งจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่สำหรับบางคนที่ทานนมผึ้งอาจจะเกิดอาการแพ้ในช่วงแรก ซึ่งจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองในกระเพาะอาหาร แต่เมื่อผ่านไปซักระยะเวลาหนึ่งร่างกายจะมีการปรับตัว

สำหรับคนที่เกิดอาหารดังกล่าวและยังต้องการทานมผึ้งต่อ ขอแนะนำให้ค่อยๆ รับประทานน้ำนมผึ้งในปริมาณเล็กน้อยร่วมกับเครื่องดื่มที่ชอบ แล้วค่อยๆ เพิ่มปริมาณให้มากขึ้น

ผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ และโรคหอบหืด ต้องระวังในการบริโภคนมผึ้ง ถ้าจะให้ดีควรทำการปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ครีมทองคำ 24K คืออะไร ใช้พอกหน้าทาหน้าได้หรือไม่

คุณสาวๆ หลายคนอาจจะมีความสงสัยว่าเจ้า “ครีมทองคำ” ที่เพียงแค่ชื่อก็บ่งบอกได้ถึงความหรูหรานั้น มันคืออะไร? สำหรับในวันนี้จะขอพาคุณสาวๆ ขี้สงสัย ไปทำความรู้จักกับ ครีมทองคำ กัน ว่ามันมีสรรพคุณในการบำรุงผิวที่ดีเลิศสมกับชื่อของตัวมันเองจริงหรือเปล่า..?

ครีมทองคำ ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์จริงๆหรือ

คุณสาวๆ บางคนอาจจะถึงขนาดเข้าใจผิดว่า ครีมทองคำ คือ การนำเอาทองคำบริสุทธิ์ล้วนๆ 100 % มาใช้ทำเป็นเนื้อครีมเพื่อใช้ในการบำรุงผิวพรรณหรืออย่างไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้วครีมทองคำ เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีจุดเด่นสมกับชื่อ

นั่นคือ การนำทองคำบริสุทธิ์ มาเป็นส่วนประกอบในการกระตุ้นให้ผิวเกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวมีความเต่งตึง ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ร่วมกับส่วนประกอบอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงผิว อาทิเช่น สารไฮยาโล-โอลิโก สารสกัดจากดอกลาเวนเดอร์ สารสกัดจากใบบัวบก สารสกัดจากโสม และโปรตีนจากพืชกรดถั่ว เป็นต้น

จากส่วนประกอบเหล่านี้ จึงทำให้ครีมทองคำมีคุณสมบัติช่วยในการลดเลือนริ้วรอย ตีนกา ร่องแก้ม ลดรอยดำ รอยแดง รอยแผลเป็นจากสิว เติมเต็มชั้นผิว ยกกระชับผิว คืนความชุ่มให้กับผิวหน้า ทำให้ผิวสวย ขาวกระจ่างใส อมชมพู และมีออร่า

ด้วยสรรพคุณเหล่านี้ ทำให้ในปัจจุบันครีมทองคำ จึงกลายมาเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่กำลังได้รับความนิยมจากคุณสาวๆอย่างมากทีเดียว แต่ราคาของผลิตภัณฑ์ครีมทองคำจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับว่าทองคำที่ผสมในสินค้าเป็นแบบกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากเปอร์เซ็นต์ยิ่งสูง ราคาก็จะยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย

ตำนานการถนอมผิวโดยใช้ทองคำ

การบำรุงถนอมรักษาผิวโดยการใช้ทองคำนั้นมีมาอย่างช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยคลีโอพัตรา แม้แต่หย่างกุ้ยเฟย หญิงงามแห่งประเทศจีนก็ยังมีการใช้ทองคำในการถนอมผิว รวมทั้งมีการใช้เพื่อถนอมผิวในกลุ่มคนชั้นสูงในหลายทวีป เช่น อาฟริกา ยุโรป เป็นต้น

แต่ในสมัยนั้นใช้ทองคำบริสุทธิ์จำนวนมากมาเป็นส่วนผสมหลักเพื่อใช้ทาถนอมผิว ไม่เหมือนกับครีมทองคำในปัจจุบัน ที่มีการใช้ทองคำจำนวนเล็กน้อย

นอกจากนี้ ในบันทึกตำรับยาจีนโบราณยังระบุเอาไว้ว่า ทองคำถูกนำมาใช้เพื่อรักษาผิวที่มีปัญหา รักษาอาการอักเสบ แผลเป็น และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตอีกด้วย

ทองคำ ช่วยในการทำความสะอาดผิวได้อย่างไร

ทองคำ (Gold 24k) มีคุณสมบัติ ในการสร้างไอ-ออนพิเศษ ที่สามารถเข้าไปทำความสะอาดใบหน้าส่วนลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลทำให้สิ่งสกปรกที่หลบซ่อนอยู่ในรูขุมขนเกิดการหลุดลอยตัวออกมา

ทองคำ ช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิวได้จริงหรือเปล่า

มีการค้นพบทางการแพทย์ว่า ทองคำสามารถช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ และต้านอาการอักเสบจองข้อกระดูกในโรคเก๊าได้เป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว จึงได้มีการนำทองคำมาประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เพื่อประโยชน์ในการยืดอายุผิวพรรณ ลดเลือนริ้วรอยที่เพิ่มขึ้นตามอายุ และต้านทานอาการอักเสบของผิวที่เกิดขึ้นจากรังสียูวี

นอกจากนี้ เนื่องจากความสามารถในการนำไฟฟ้าของ r-PGA ซึ่งมีในครีมทองคำที่เป็นประจุลบ ทำให้เกิดการเหนี่ยวนำประจุบวกที่พบในส่วนประกอบซีรั่มของเกลือแร่ สารอาหารผิวต่างๆ ให้แทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ดีมากยิ่งขึ้น และยังมีคุณสมบัติในการนำประจุลบให้ซึมซับไปในส่วนลึกถึงชั้นเดอร์มิสของผิว (Dermis layer) ก่อนไปร่วมตัวกับประจุบวกของร่างกาย

ทองคำที่แทรกเข้าไปนี้จะไปทำการกระตุ้นให้กลไกการทำงานของเซลล์ดีมากยิ่งขึ้น ช่วยปรับการไหลเวียนของโลหิต และทำให้กระบวนการเสื่อมตามธรรมชาติช้าลง

อาการข้างเคียงจากการแพ้ทองคำ

อาการแพ้สารตัวใดตัวหนึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ แม้แต่กับทองคำเอง แม้ว่าแร่ทองคำบริสุทธิ์จะไม่มีความเป็นพิษ หรือไม่เกิดความระคายเคืองต่อเซลล์ร่างกาย แต่ก็อาจที่จะทำให้เกิดการแพ้และระคายเคืองผิวหนังขึ้นได้

โดยส่วนใหญ่แล้วมักที่จะเกิดขึ้นในกลุ่มของผู้หญิง ซึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ทองคำได้รับการโหวตให้เป็นสารก่อภูมิแพ้ในปี 2001 จากสมาคมโรคผิวหนังของสหรัฐอเมริกา

สรุปแล้ว ทองคำบริสุทธิ์ ที่เป็นส่วนผสมในครีมบำรุงผิว ช่วยทำให้ผิวเกิดความแวววาวและผ่องใส (Shimmer and Glow) และอาจช่วยลดอาการอักเสบของผิวได้ (Antimflammation)

ในปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการพิสูจน์ที่แน่ชัดจากทางวิทยาศาสตร์ ว่าประสิทธิภาพของทองคำในการบำรุงผิวพรรณนั้น เมื่อเทียบกับสารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆจะให้ผลดีหรือด้อยกว่า และคุ้มค่ากับราคาที่ค่อนข้างแพงซึ่งต้องจ่ายไปหรือไม่

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น Grape Seed คุณค่าแห่งสุขภาพและความงาม

องุ่น” เป็นหนึ่งในผลไม้ที่เรามักจะสามารถเห็นอยู่บนโต๊ะอาหาร หรือโต๊ะจัดเลี้ยงจนชินตาเหมือนกับเป็นผลไม้สามัญประจำโต๊ะอาหาร แต่จะมีสักกี่คนกันที่รู้ว่า เจ้าเมล็ดองุ่นที่เราคายทิ้งไปทุกครั้งหลังจากที่ลิ้มรสเนื้อที่หวานฉ่ำของมันจนหมดแล้วนั้น กลับอุดมไปด้วยคุณค่าที่ช่วยเสริมความงาม และคุณสมบัติในการช่วยรักษาสุขภาพเอาไว้อย่างมหาศาล

ในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็น 1 ใน 10 อันดับ ของสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเลยทีเดียว

ประโยชน์ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่นด้านความงาม

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น (Grape Seed Extract) สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียงแค่ 20-30 นาที เท่านั้น ซึ่งกระแสเลือดจะทำหน้าที่ในการนำสารสกัดจากเมล็ดองุ่นให้เกิดการกระจายไปทั่วร่างกาย ตามอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ

นอกจากนี้ เมล็ดองุ่น ยังสามารถคงอยู่ภายในร่างกายได้อย่างยาวนานถึง 72 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งคุณสมบัติของเมล็ดองุ่นที่ช่วยส่งผลต่อความงาม มีดังต่อไปนี้

    1. ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวขาวใสมากขึ้น จากการวิจัยพบว่าการรับประทานเมล็ดองุ่น และการเคี้ยวเมล็ดโดยตรงจะทำให้ร่างกายได้รับสารพิฟีนอล ซึ่งจะช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ดีเท่ากับการรับประทานสารสกัดเข้มข้นจากเมล็ดองุ่น

      นอกจากนี้ ในการวิจัยของ นพ.คล๊าก แฮนเซน พบว่า ในเมล็ดองุ่นจะมีสารเปลโวนอยด์ (Flavonoid) ที่เรียกกันว่า โปรแอนโธไซยานิดิน ซึ่งสารดังกล่าว เมื่อมีการรวมตัวกันจะอยู่ในรูปของ โอริโกเมริค โปรแอนไธไซยานิดิน (Oligomeric proanthocyyanidin) หรือเรียกย่อๆได้ว่า OPC ที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมากกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า

 

    1. ช่วยในการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีความแข็งแรงมากขึ้น

 

    1. ช่วยชะลอความแก่และแห้งกร้านของผิว โดยการลดการทำงานของเอนไซม์ที่ทำให้ผิวแก่ก่อนวัยให้ลดน้อยลง

 

    1. ช่วยลดกระบวนการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติบนผิว ซึ่งมีสาเหตุมาจากฝ้า กระ หรือจุดด่างดำ

 

  1. ช่วยปรับสภาพและลดปัญหาสีผิวที่ไม่เท่าเทียมกัน

นอกจากนี้ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ยังสามารถทำงานร่วมกับวิตามินซี และวิตามินอี ในการสร้างเสริมคอลลาเจนให้กับชั้นผิวหนังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดโอกาส การสังเคราะห์กลูต้าไธโอน ตามธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น ผิวพรรณจึงมีความอ่อนเยาว์ ยืดหยุ่นได้ดีมากยิ่งขึ้น และยังช่วยป้องกันการสูญเสียวิตามินซี วิตามินอี ได้อีกด้วย

ประโยชน์ของสารสกัดจากเมล็ดองุ่นในด้านสุขภาพ

    1. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด

 

    1. สร้างฮอโมนอินซูลิน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลของร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย

 

    1. ป้องกันเบต้าเซลล์ในตับอ่อน

 

    1. ช่วยรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดและเส้นเลือดฝอย ที่มีอาการเปราะบางมากกว่าปกติ

 

    1. ใช้ในการรักษาอาการจอประสาทตาเสื่อม

 

    1. มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งช่วยในการป้องกันโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคไขข้ออักเสบ ลดภูมิแพ้จากยาต้านไวรัส ยาต้านมะเร็ง เป็นต้น  

 

    1. ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโดยรวมของร่างกาย ทำให้ร่ายกายแข็งมากขึ้น โอกาสในการเจ็บป่วยจึงลดน้อยลงตามไปด้วย

 

    1. ช่วยในการรักษาอาการเบาหวานขึ้นตา

 

    1. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต โดยการยับยั้งการถูกทำลายของคอลลาเจน

 

    1. ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ โดยสามารถผ่านแนวกั้นสมอง (blood brain barrier) เข้าไปต่อต้านอนุมูลอิสระที่มาตามเส้นเลือดซึ่งตรงเข้าไปยังสมองได้ดีกว่าสารชนิดอื่นๆ

 

    1. ช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ และหอบหืด

 

    1. ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสต่างๆ

 

    1. ช่วยลดอาการอักเสบต่างๆ ให้น้อยลง จากการวิจัยพบว่าการรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นหลังจากที่เกิดอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ทำให้ลดอาการบวมและอาการปวดได้มากกว่าการรัลประทานยาหลอก (Placebo)

 

    1. ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน ลดโอกาสการเกิดแผลในช่องปาก และโรคเริมในช่องปาก

 

    1. ช่วยลดอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศของผู้ชาย แต่ควรออกกำลังกายร่วมด้วยให้เป็นประจำทุกวัน

 

    1. ช่วยในการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้าเรื้อรัง

 

    1. ช่วยในการรักษาโรคภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือโรคลูปัส (SLE)

 

    1. ช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอด มีผลงานวิจัยหลายชิ้นให้การรับรองว่าการรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นประจำ สามารถช่วยบรรเทาอาการเส้นเลือดขอดได้

 

    1. ช่วยทำให้หายจากอาการบวมน้ำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น 

 

    1. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของตาในการมองเวลากลางคืน

 

  1. ช่วยบรรเทาอาการริดสีดวงทวาร

การใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

การเลือกใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่น จำเป็นที่จะต้องพิจารณาปริมาณของสารเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่เหมาะสม ซึ่งโดยปกติแล้ว สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ควรมีปริมาณสาร POC อยู่ที่ประมาณ 92-95%

ถ้าหากต้องการใช้เพื่อรักษาสุขภาพ ควรเลือกใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่นประมาณวันละ 50-100 มิลลิกรัม แต่หากต้องการใช้เพื่อบำบัดโรค ควรใช้ในปริมาณวันละ 150-300 มิลลิกรัม

ข้อควรระวังในการรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่น

ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์ว่า การรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นจะทำให้เกิดผลข้างเคียงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สาร OPC ภายในเมล็ดองุ่น อาจจะทำให้เกิด “อาการโลหิตแข็งตัวช้า” เนื่องจากความเข้มของเลือดลดลง จนทำให้เกิดอาการเลือดไหลไม่หยุดได้ ถ้าหากใช้ร่วมกับยาละลายลิ่มเลือด

ดังนั้น ผู้ที่กำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือดอยู่ หรือมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ควรทำการปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้สารสกัดจากเมล็ดองุ่น รวมไปถึงเด็กและสตรีที่กำลังตังครรภ์ หรือให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่น

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มารู้จักกับอาหารที่มีประโยชน์ ในการเสริมสร้างคอลลาเจนผิวขาวกันเถอะ

คอลลาเจน (Collagen) เป็นโปรตีนที่อยู่ใต้ชั้นหนังแท้ มีปริมาณมากถึง 1 ใน 3 ของโปรตีนในร่างกาย ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า คอลลาเจนนั้น มีคุณสมบัติในการช่วยให้ผิวหนังมีการสปริงตัว เกิดความกระชับเต่งตึงให้กับผิวหนัง

ถ้าหากร่างกายมีการผลิตคอลลาเจนที่สมบูรณ์ ก็จะเป็นการช่วยทำให้ใบหน้าและผิวทั่วทั้งร่างกายของคุณสาวๆห่างไกลจากริ้วรอย รอยตีนกา รวมไปถึงรอยเหี่ยวย่นได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ คอลลาเจน ยังมีคุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การช่วยทำให้ผิวขาวใสมากขึ้น โดยการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวดูกระจ่างใส แลดูอ่อนเยาว์ มีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจนักที่คอลลาเจนจะถูกยกย่องให้เป็น “โปรตีนแห่งความงาม” ที่คุณสาวๆ ทุกคนล้วนต้องการกันทั้งนั้น

สำหรับในวันนี้ เพื่อเป็นการเอาใจคุณสาวๆ ที่อยาก เสริมสร้างคอลลาเจนเพื่อช่วยในการทำให้ผิวขาวมากยิ่งขึ้น แต่ไม่อยากรับประทานคอลลาเจนในลักษณะของผลิตภัณฑ์อาหารเสริม

ไปรู้จักกับสารพัดวัตถุดิบทำอาหารที่แม้จะอยู่ใกล้ตัว แต่คุณสาวๆ บางคนก็อาจจะยังไม่ทราบว่า พวกมันเหล่านั้นเป็นแหล่งอาหารคอลลาเจนชั้นเลิศตามธรรมชาติ ที่สามารถซื้อหาได้ง่ายๆ ในราคาที่ไม่แพง
 

คอลลาเจนในอาหาร มีอะไรบ้าง

1. เนื้อปลาทะเล เช่น ปลาแซลมอน ปลาทู ปลาหมึก ปลากระเบน เป็นต้น แหล่งที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนโดยส่วนใหญ่มักจะอยู่ในส่วนเนื้อเยื่อ ตา และหนังของปลาทะเลน้ำลึก ซึ่งจะประกอบโดยกรดโอเมก้า ที่มีคุณสมบัติเป็นอาหารชั้นเลิศของผิว นอกจากนี้คอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลจะมีโมเลกุลที่คล้ายกับโครงสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนังของมนุษย์

 2. สาหร่ายทะเล หรือสาหร่ายน้ำจืด ล้วนแล้วแต่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ

3. น้ำมะพร้าว ในน้ำมะพร้าวจะมีส่วนประกอบของสารเอสโตรเจน ซึ่งจะช่วยในการสร้างคอลลาเจน และอิลาสตินอยู่เป็นจำนวนมาก

4. เนื้อไก่ เนื้อหมู โดยคอลลาเจนจะอุดมอยู่ในส่วนโปรตีนของเนื้อ
[BINDING:8] 
5. ไข่ขาว มีส่วนประกอบของสารโพรลีนและสารไลซีน ที่สามารถปรับเปลี่ยนไปเป็นคอลลาเจนได้

6. เห็ดทุกชนิด เช่น เห็ดเข็มทอง เห็ดหูหนู เป็นต้น ล้วนแต่มีส่วนประกอบของคอลลาเจน

7. ผักใบเขียวเข้ม มักที่จะมีวิตามินซีจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีสารซัลเฟอร์ที่ช่วยในการสร้างคอลลาเจน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการนำโปรตีนมาบำรุงร่างกาย พร้อมกับช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวหนังให้แข็งแรงอีกด้วย ผักใบเขียวเข้มที่มีปริมาณคอลลาเจนเป็นจำนวนมาก อาทิเช่น แตงกวา ขึ้นฉ่าย หน่อไม้ฝรั่ง ผักกาดหอม คะน้า เป็นต้น
 

8. ผลไม้สีแดง มีสารไลโตปีน ช่วยในการทำปฏิกิริยาแอนติออกซิแดนท์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง อาทิเช่น หัวบีท มะเขือเทศ  ส้มโอ แก้วมังกร แอปเปิ้ล ลูกเบอรี่ เป็นต้น  ผลไม้เหล่านี้มีส่วนประกอบของคอลลาเจนที่ร่างกายต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก แต่จะมีปริมาณที่น้อยกว่าที่พบในเนื้อสัตว์

9. ถั่วประเภทต่าง เช่น ถั่วอัลมอนด์ ถั่วเหลือง  เป็นต้น รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อาหารที่ทำจากถั่ว ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่เข้มข้น มีกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างของคอลลาเจน และมีกรดโอเมก้า ที่เป็นอาหารที่ดีของผิวหนัง และมีส่วนประกอบของสารในกลุ่มๆ ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) มีคุณสมบัติในการช่วยต้านอนุมูลอิสระ และเสริมฮอร์โมนให้กับเพศหญิง
[BINDING:32] 
10. กระเทียม สารซัลเฟอร์ในกระเทียมจะช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีสารทอรีน และไลปออกเอซิด ที่จะคอยช่วยในการซ่อมแซมคอลลาเจนที่เสียหาย และยังช่วยในการควบคุมระดับคอลเรสเตอรอลอีกด้วย

11. กระดูกปลาและกระดูกอ่อนของสัตว์ เช่น กระดูกของปลาทะเล กระดูกไก่ กระดูกหมู เป็นบริเวณที่มีคอลลาเจนสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก และอุดมไปด้วยสารไลโคปีน ซึ่งจะสามารถช่วยในการยับยั้งเอนไซม์คอลลาจีเนส ที่ทำลายชั้นคอลลาเจนใต้ผิวหนังของเราได้อีกด้วย
 

12. เนยแข็งและชีส ช่วยในการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง และยังช่วยชะลอความชราของผิวหนังได้อีกด้วย

13. ข้าวโอ๊ต มีสารที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการเพิ่มคอลลาเจนให้กับผิว และลดริ้วรอยก่อนวัยอันควร

14. ชา เช่น ชาเขียว ชาดำ เป็นต้น จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถช่วยในการเรียกคืนคอลลาเจนและชะลอริ้วรอยได้เป็นอย่างเป็นธรรมชาติ

15. พริกไทยแดง สารไลโตปีน ช่วยในการทำปฏิกิริยาแอนติออกซิแดนท์ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผลิตคอลลาเจนใต้ผิวหนัง

อย่างไรก็ตาม หากต้องการรับประทานคอลลาเจนจากอาหารตามธรรมชาติ ขอแนะนำให้คุณสาวๆ ทำการรับประทานควบคู่ไปกับวิตามินซี

เนื่องจากวิตามินซีจะเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมคอลลาเจนให้เข้าสู่ร่างกายมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นการช่วยทำให้ผิวของคุณสาวๆ มีสุขภาพดีขึ้น ขาวขึ้น แลดูอ่อนเยาว์ และมีสุขภาพดีมากยิ่งขึ้น

 

DNA ไข่ปลาแซลมอน ช่วยลดริ้วรอย ได้อย่างไร

เมื่อคนเราอายุมากขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวก็จะเริ่มลดลง คอลลาเจนที่อยู่ใต้ผิวหนังของเราก็จะลดลงตามไปด้วย ยิ่งเฉพาะที่ใบหน้าของเรา ถ้าคอลลาเจนลดลง ก็จะทำให้เกิดริ้วรอยย่น หรือ รอยตีนกา เกิดขึ้น

ปัจจุบันจึงมีการหาสารสกัดคอลลาเจนต่างๆ เพื่อมาเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปในร่างกายคนเรา ไม่ว่าจะเป็น สารสกัดจากเมือกหอยทาก สารสกัดจากพิษผึ้ง ที่นิยมกันอยู่

ล่าสุด ก็ได้มีนวัตกรรมใหม่เกี่ยวกับ การสกัดคอลลาเจน จาก DNA ของไข่ปลาแซลมอน เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน บำรุงผิว ให้ความชุ่มชื้นแก่ เซลล์ชั้นผิวหนังแท้ เพื่อลดริ้วรอย กระชับรูขุมขนบนผิวหน้า ให้เรียบเนียน เต่งตึง เนียนนุ่ม

สารสกัดจากไข่ปลาแซลมอน ดีอย่างไร

สารสกัดจากไข่ปลาแซลมอน เป็นโครงสร้างหลักสำคัญของชั้นผิวช่วยเสริมสร้าง และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ที่ชั้นหนังแท้ และเร่งซ่อมแซมเนื้อเยื้อในร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวหนังอุ้มน้ำได้ดี ผิวพรรณจึงดูอ่อนเยาว์กระชับเต่งตึง ใช้บำรุงผิวชะลอความแก่ เพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิว ทำให้ผิวชั้นนอกนุ่มตึงเรียบขึ้น ดันร่องผิวให้ตื้นขึ้น จึงลบรอยเหี่ยวย่นลงได้

คอลลาเจนจากปลาแซลมอน คืออะไร

ปลาแซลมอน มีถิ่นกำเนิดในถิ่นที่มีความอบอุ่น และยังเป็นสัตว์เลือดอุ่นชนิดหนึ่ง แต่ปลาแซลมอนจะต้องวายน้ำตลอดเวลาเพื่อให้มีชีวิตรอดและจะสามารถแพร่พันธุ์เฉพาะในทะเลแอตแลนติคเหนือเท่านั้น ซึ่งน้ำจะมีอุณหภูมิต่ำกว่า -30 องศาเซลเซียส และมันต้องว่ายน้ำกลับไปยังถิ่นกำเนิดเพื่อวางไข่ ในขณะที่อาศัยอยู่ในน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง

ปลาแซลมอนจะสร้างสารพิษที่เรียกว่า “ ไซโตไคนิน (Cytokinin) ” เพื่อให้มีชีวิตรอดในอุณหภูมิติดลบ เพื่อช่วยกระตุ้นระบบการดูดซึมสารอาหารของร่างกาย กระบวนการนี้ช่วยให้ปลาแซลมอนมีพลังงานไปหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกายและสามารถดำรงชีวิตได้ในน้ำที่อุณหภูมิใกล้จุดเยือกแข็ง

เมื่อเราสกัด “คอลลาเจน” จากปลาแซลมอน เราก็ได้ค้นพบคอลลาเจนชนิดพิเศษ ที่มี”ไซโตไคนิน” ในระดับที่สูงมากอย่างที่ไม่เคยค้นพบในปลาชนิดอื่นมาก่อน ปลาแซลมอนจะสร้างสาร “ไซโตไคนิน”เข้าสู่กระแสเลือดเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบการดูดซึมสารอาหารและยังช่วยให้เราสามารถชุบชีวิตชีวาได้อย่างที่ต้องการ

คอลลาเจนจากปลาแซลมอนอุดมไปด้วย “ไซโตไคนิน” จะสามารถสกัดจากปลาแซลมอนด้วยกรรมวิธีสิทธิบัตรเฉพาะของเพนดูรา “โครโอเอ็กซ์แทรกชั่น ” เพื่อสกัดคอลลาเจนจากปลาแซลมอน กระบวนการนี้จะช่วยรักษาสภาพของสาร “ไซโตไคนิน” ทำให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบของอาหารเสริมได้ เปรียบเทียบระหว่างคอลลาเจนทั่วไปกับคอลลาเจนจากปลาแซลมอน

คอลลาเจนจากปลาแซลมอน ดีต่อผิวเราอย่างไร

ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ในกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจนได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ช่วยกระตุ้นการดูดซึมสารอาหารให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เสริมสร้างพลังงานและชุบชีวิตให้กับเซลล์ได้อย่างรวดเร็ว มีความคล้ายคลึงกับคอลลาเจนในร่างกายของเรามากที่สุด ลดความเสี่ยงต่อการแพ้ให้อยู่ในระดับต่ำ เห็นผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ทาครีมเป็นประจำ สวยได้ ไม่ง้อศัลยกรรม

คุณเป็นอีกคนหรือไม่ที่ต้องหานู้นหานี่ เพื่อมาบำรุงผิวให้กับตัวเองเพื่อความสวยความงาม

หากคำตอบ คือ ใช่ ถามหน่อยได้ไหมว่า นู้น นี่ ที่ว่า นั่นคืออะไร……….

1. สวยมาตั้งแต่เกิด 2. อาหารเสริมความงาม 3. ศัลยกรรม 4. ครีม

ถูกต้องคะ ทั้ง 4 ข้อ ซึ่งแต่ละข้อนั้น ก็มีกรรมวิธี ในการดูแลรักษาตัวเอง แตกต่างกันออกไปคะ

และวิธีที่ง่ายที่สุดและถูกที่สุด คือ ครีม คะ เพราะ ครีม เป็นอีกอย่างที่หลายคนใช้ เพื่อบำรุงรักษาผิวหน้า และผิวกาย และก็ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะ ครีม ช่วยให้ผิวของเราขาว และใสขึ้นได้จริงๆ ครีมบางชนิดช่วยให้คุณสามารถลบเลือนริ้วรอยต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องพึ่งมือหมอ
ครีม เป็นผลิตภัณฑ์  ที่ช่วยให้ผิว ขาวได้จริงแบบไม่ต้องเจ็บตัวและราคาก็ไม่แพงด้วย ปัจจุบันมีครีมมากมายในท้องตลาดให้เราเลือกใช้ บางคนใช้แล้วติดใจ เพราะผิวที่ขาวได้อย่างน่าประหลาดใจ เพียงการทาครีมอย่างสม่ำเสมอ บางคนตามตัวมีผิวที่ไม่สม่ำเสมอผลิตภัณฑ์นี้ก็สามารถช่วยให้คุณมีผิวที่สม่ำเสมอได้แบบง่ายๆ

โดยการใช้ ครีม นั้น มีให้คุณเลือกมากมายเลยนะคะ โดยค่าใช้จ่ายนั้น ราคาถูกที่สุด และผลข้างเคียงก็น้อยกว่าวิธีการอื่นใดคะ เพราะเป็นการดูแลภายนอก แต่สามารถดูแลผิว และสุขภาพผิวได้ดีไม่แพ้ ข้ออื่นๆ เลย โดยเฉพาะ เรื่องของความขาว

บางคนพยายามไปหาหมอเพื่อฉีด แล้วเกิดอาการแพ้อันนี้เป็นอันตราย ไม่ดีต่อตัวเราแต่พอได้มาลองใช้ครีม ก็พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดี และไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายที่แพงอีกด้วย ซึ่ง ครีมนั้น ข้อดี อยู่ที่ สามารถใช้ได้ทุกวันตามความพอใจ และไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเราด้วย

นี่เป็นเหตุผลที่หลายคนเลือกใช้และเป็นเหตุผลที่ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ ได้รับการยอมรับจากผู้คนมากมาย ทั้งผู้หญิงผู้ชายต่างยกให้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้เป็นที่หนึ่งในด้านการดูแลผิวที่ให้ผลแบบเกินคาด และเป็นที่ยอมรับของคนในหลายๆ ประเทศเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นี้แล้ว สามารถรักษาและบำรุงผิวได้จริงๆ

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มารู้จัก ครีมคูเวต ที่สาวๆพูดถึงกันมาก

มารู้จัก ครีมคูเวต กันก่อนคะ

ครีมคูเวต คือ ไวท์เทนนิ่งครีมที่คัดสรร วัตถุดิบมาจาก หลากหลายประเภท ในแถบตะวันออกกลาง

มีส่วนผสมจากวัตถุดิบจากธรรมชาติ 100 %

ครีมคูเวต เป็นครีมที่ตอบสนองความต้องการของสาวๆ ที่มีปัญหากับผิว โดยเป็น ครีมที่ สามารถ

ผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว พร้อมฟื้นฟูผิวใหม่ให้สดใสกว่าเดิม โดยครีม มีคุณสมบัติ สามารถรักษา

ปัญหาผิวหมองคล้ำ จุดด่างดำ  ฝ้า ให้หายไปและไม่ย้อนกลับมาทำให้รำคาญใจอีก

โอ้โห้ คุณสมบัติเยอะจัง มาดูกันหน่อยว่า หาซื้อได้ที่ไหน

ครีมคูเวตหาซื้อได้ทั่วไป ราคาไม่แพง มีคุณสมบัติที่ทำให้คุณติดใจเมื่อได้ลองใช้คะ สามารถหาซื้อได้

ตามร้านขายเครื่องสำอาง ในท้องตลาด หรือจะเป็นเว็บไซต์ขายเครื่องสำอางต่างๆคะ โดยเมื่อใช้

ครีมคูเวตแล้ว ปัญหาผิว ที่เป็นเรื่องใหญ่คงหมดไปเมื่อคุณได้รู้จักกับครีมคูเวตนี้

เพราะปัญหาผิวที่ทำร้ายคุณอยู่จะถูกกำจัดไป

แน่นอนว่า คุณคงไม่อยากเป็นอีกหนึ่งคนที่มีปัญหาเรื่องผิวแบบที่แก้ไม่ตก ปัญหาผิวไม่กระจ่างใส

ที่มักจะทำให้คุณต้องรำคาญใจไม่เลิก

ใช่แล้วล่ะคะ หากเลือกใช้ ครีมคูเวต ปัญหาที่คุณเจอจะหายไปทันที คุณจะมีใบหน้าที่สดใส

มีผิวที่ขาวกระจ่าง โดยที่ไม่ต้องยุ่งยากและราคาก็ไม่แพง

สาวๆหลายคนติดอกติดใจกับครีมคูเวตนี้มาแล้วทำให้ครีมคูเวตขายดีมีมากในช่วงนี้

เพราะไม่ว่าครีมที่ไหนที่ว่าดีก็ต้องหลบให้เขาด้วยคุณสมบัติของครีมคูเวตทำให้ลูกค้าหลายคนต้องติดใจ

คะ และหันมาเลือกใช้ครีมคูเวตกันมากขึ้นหลายคนบอกว่าสุขภาพผิวดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

นี่ล่ะคะ ครีมคูเวต ที่ว่า ทำให้หมดปัญหากวนใจสักที

 

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.