วิธีป้องกันมะเร็ง ไม่ให้มาเยือนเราง่ายๆ

         เมื่อพูดถึงโรคมะเร็งบางคนคงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว หารู้ไม่ว่าปัจจุบันมะเร็งได้คืบคานเข้ามาหาเรามากขึ้นทุกที โดยทุกคนมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ทั้งนั้น เพราะสิ่งแวดล้อมโดยรอบมีพิษมาก รวมถึงอาหารการกิน ณ ตอนนี้ มีสารอนุมูลอิสระจำนวนมาก เช่น ของร้อน ของทอด ของปิ้งย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งผักก็ยังปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ขนาดคนที่ชอบรับประทานปลาเพราะคิดว่าดีต่อสุขภาพ แต่เอาเข้าจริงปลาในปัจจุบันมีสารปรอทอยู่เกือบทุกตัว ยิ่งถ้าคนใดมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งก็จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงขึ้นไปอีก
         เห็นหรือยังว่ามะเร็งเป็นเรื่องใกล้ตัวเราแค่ไหน หากยังไม่เชื่อ ก่อนหน้านี้ได้มีสถิติจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติที่บ่งบอกว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยรายใหม่ที่เป็นโรคมะเร็งกว่า 100,000 ราย และในจำนวนนั้นกว่า 60,000  รายที่เสียชีวิต ถ้าคิดเป็นรายวันก็มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งกว่า 152 ราย หรือ 6 คนต่อชั่วโมง ดังนั้น มะเร็งถือเป็นโรคร้ายแรงที่คนทุกคนไม่ควรมองข้าม

         “กันไว้ดีกว่าแก้” ประโยคนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนได้รวบรวมวิธีป้องกันมะเร็งแสนง่าย มาให้ท่านผู้อ่านที่ใส่ใจสุขภาพได้นำไปใช้กัน จะได้มีสุขภาพดีปราศจากโรคภัยโดยเฉพาะเจ้ามะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนมากขึ้นทุกวัน

วิธีป้องกันมะเร็งแบบง่ายๆ
         1.รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
         2.รับประทานอาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่นๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
         3.รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง เช่น ผักผลไม้สีเขียว-เหลือง เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด
         4.รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผักผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะฝรั่งและส้ม เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร

         5.ควบคุมน้ำหนักตัว โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่ การออกกำลังกาย และลดรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง จะช่วยป้องกันมะเร็งเหล่านี้ได้อีกทางหนึ่ง
         6.ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะสีเขียว-เหลือง จะมีสารอัลฟาทอกซินปนเปื้อนซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับ
         7.ลดอาหารไขมัน อาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ และต่อมลูกหมาก
         8.ลดอาหารดองเค็ม อาหารปิ้ง-ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท- ไนไตร์ท เนื่องจากอาหารเหล่านี้ จะทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่
         9.ไม่รับประทานอาหารสุกๆดิบๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ เพราะจะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของท่อน้ำดีในตับ

         10.หยุดหรือลดการสูบบุหรี่ แน่นอนว่าข้อนี้ใครๆต่างก็ทราบกันถึงผลเสียของการสูบบุหรี่ โดยจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งปอด กล่องเสียง ถุงลมโป่งพอง และหลากหลายโรค นอกจากนี้ การเคี้ยวยาสูบจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก และช่องคอ
         11.ลดการดื่มแอลกอฮอล์ หากดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ ถ้าทั้งดื่มและสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียง และหลอดอาหารได้มากขึ้นเป็นทวี
         12.อย่าตากแดด เนื่องจากการตากแดดจัดมากเกินไปและเป็นระยะเวลานานๆ จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง ซึ่งมะเร็งชนิดนี้มักเป็นกันมากโดยไม่รู้ตัว
         ทั้งหมดนี้คือแนวทางป้องกันมะเร็งง่ายๆ ที่ทุกคนควรนำไปใช้ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานไปกับอาการป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งถ้าโรคร้ายนี้เกิดขึ้นกับใครแล้วจะทำให้เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ที่สำคัญคือมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่แพงหูฉี่ ฉะนั้น อย่ามัวแต่ภาวนาให้ตัวเองรอดพ้นจากมะเร็ง การปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากโรคร้ายนี้ต่างหากคือสิ่งที่ควรกระทำ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคเบาหวาน รู้ให้ทันป้องกันได้

         โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ในปัจจุบันนั้นมีมากมายหลากหลายเหนือคณานับ บางโรคก็ไม่ค่อยเป็นอันตรายหรือสร้างความเจ็บปวดต่อร่างกายมากนัก ในขณะที่บางโรคสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยจนถึงขั้นล้มหายตายจากก็มี อย่างเช่น การเกิดเนื้องอกในสมอง หลอดเลือดในสมองแตก โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น
         อย่างไรก็ดี บทความนี้จะพูดถึงโรคภัยอย่างหนึ่งที่ถือเป็นโรคเรื้อรังและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้มากมาย แต่ถ้าดูแลรักษาเป็นอย่างดี อาการต่างๆก็จะสามารถทุเลาลงได้ มันคือ “โรคเบาหวาน” นั่นเอง ซึ่งต้องบอกเลยว่าโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด เพราะโรคเบาหวาน ถ้ารู้ให้ทันก็สามารถป้องกันและยับยั้งอาการไม่ให้รุนแรงได้

         อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน ซึ่งเจ้าอินซูลินนี้เป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน ทั้งนี้ โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน และจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆได้ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
         เริ่มรู้จักกับโรคเบาหวานกันไปพอสมควรแล้วว่ามันเกิดจากอะไร ทีนี้มาดูกันว่าใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ง่าย ซึ่งถ้าคุณเข้าข่ายกลุ่มคนดังต่อไป ก็ควรดูแลเอาใจสุขภาพเป็นพิเศษ จะไดป้องกันพิษภัยจากโรคเบาหวานที่อาจจะมาเยือนเมื่อไหร่ก็ได้
         1.คนที่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน กลุ่มนี้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนอื่นๆ เพราะได้รับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ จึงไม่แปลกที่หากพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นโรคเบาหวานแล้วตนจะเป็นด้วย
         2.คนอ้วนหรืออยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน มีโอกาสเป็นโณคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วน เนื่องจากร้อยละ 80 ของโรคเบาหวานพบได้ในคนอ้วน
         3.คนที่ร่างกายอ่อนแอ โรคเบาหวานมักเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากขาดภูมิคุ้มกันโรค ทั้งนี้ คนที่ไม่ออกกำลังยยังมีความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆอีกมากมาย
         4.คนที่เครียดเป็นประจำ ความเครียดจะมีผลไปกระตุ้นให้มีการหลั่งของฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกายซึ่งขัดขวางการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ง่าย
         5.คนที่เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของตับอ่อน หรือมีการอักเสบที่ตับอ่อนจากเชื้อไวรัส หรือยาบางชนิด ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคเบาหวาน
         6.คนที่ดื่มสุราเป็นประจำ สุราจะทำให้ตับอ่อนเสื่อมสมรรถภาพได้ ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆตามมา โดยคนที่ชอบดื่มสุรามักเป็นโรคตับ และโรคอื่นๆมากมาย รวมทั้งเบาหวานด้วย

 

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน
         1.ควบคุมอาหาร ประการแรกเลยคือต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณและสัดส่วนพอเหมาะวันละ 3 เวลา โดยควรลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกชนิด เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำหวาน และผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ขนุน ลำไย น้อยหน่า ละมุด มะม่วงสุก ลูกเกด มะขามหวาน โดยเฉพาะผลไม้กระป๋อง เช่น เงาะ ลิ้นจี่ องุ่น ป็นต้น
         นอกจากนี้ยังควรลดเนื้อสัตว์ติดมันต่างๆ ลดอาหารประเภทไขมันที่ได้จากสัตว์ อาหารที่มีกะทิ และให้เพิ่มการรับประทานอาหารประเภทผักให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักประเภทใบอย่างผักกาด ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง บวบ ตำลึง ต้นหอม กะหล่ำปี ฯลฯ
         2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับเพศและวัย ซึ่งการออกกำลังกายนี้จะยิ่งทำให้การควบคุมอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อน้ำหนักตัว ทำให้ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
         3.หากเป็นโรคเบาหวานแล้วควรพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจร่างกายตามนัดและปฏิบัติตาคำแนะนำของแพทย์โดยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งอย่าหยุดยาหรือเพิ่มยาเอง
         กระนั้นก็ตาม โรคเบาหวานมีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อยจะมี 2 ชนิด โดยชนิดที่ 1 มักจะพบในเด็กเป็นพวกขาดอินซูลิน ส่วนชนิดที่ 2 พบในคนสูงอายุและมีน้ำหนักเกิน การรักษาโรคเบาหวานทั้งสองชนิดไม่เหมือนกัน โรคแทรกซ้อนก็ต่างกัน การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 จะเน้นเรื่องการควบคุมน้ำหนัก การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย ส่วนเบาหวานชนิดที่ 1 จะเน้นการให้อินซูลินเข้าสู่ร่างกาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าโรคภัยคงไม่มีใครอยากเจอกับมันเป็นแน่ ฉะนั้น เมื่อรู้แล้วก็ควรหาทางป้องกันเสียตั้งแต่ตอนนี้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มาดูอาหารรักษาเบาหวาน ที่ผู้ป่วยควรรับประทาน

         เบาหวานถือเป็นอีกโรคยอดฮิตโรคหนึ่งที่คนมักเป็นกันมาก โดยเฉพาะในคนอ้วนและผู้สูงอายุ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีคนเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ก็เตรียมรับมือกับมันไว้ได้เลย เพราะเบาหวานเป็นโรคที่ได้มาจากพันธุกรรม ทั้งนี้ เบาหวานไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าประคับประคอง ดูแลรักษาเป็นอย่างดีก็จะแสดงอาการของโรคได้น้อยลง
         หากใครอยากรู้ว่าตนมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ สังเกตได้จากอาการกินจุ น้ำหนักลด หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะมากและบ่อย คันตามผิวหนัง เป็นแผลรักษายาก หญิงที่แท้งบุตรง่าย ทารกตายในครรภ์ คลอดบุตรหัวโตน้ำหนักเกิน 4,000 กรัม หรือถ้าจะให้ชัวร์ก็ไปพบแพทย์วินิจฉัยด้วยวิธีตรวจเลือด (ควรงดอาหารทุกอย่างหลังเที่ยงคืน) เมื่อตรวจเลือดแล้วน้ำตาลสูงกว่า 115 มิลลิกรัม ในเลือด 100 มิลิเมตร ก็แสดงว่าท่านเข้าข่ายเป็นโรคเบาหวานแล้ว

         เมื่อเป็นโรคเบาหวาน หลายคนคงเกิดความกังวลระคนสงสัยว่า จะรักษาเบาหวานได้หรือไม่ คำตอบก็คือ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถทำให้อาการทุเลาลงเหมือนคนปกติได้ ด้วยวิธีการให้อินซูลินในร่างกาย ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือรับประทานอาหารที่ไม่แสลงกับโรคเบาหวาน พูดง่ายๆก็คือต้องควบคุมอาหารเป็นอย่างดี และเน้นรับประทานอาหารที่เป็นโยชน์ต่อร่างกาย

อาหารรักษาเบาหวานที่ควรรับประทาน
         1.ข้าวกล้อง มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนผ่านการขัดสีน้อย
         2.วุ้นเส้นทำจากถั่ว สามารถบริโภคได้ประจำตามปริมาณที่กำหนด ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยววุ้นเส้น แกงจืด ยำวุ้นเส้น เป็นต้น
         3.อาหารไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก เป็นต้น
         4.ผัก ผลไม้ การรับประทานผักให้หลากหลายทุกวันอย่างน้อย 2 มื้อ จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และรักษาโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ควรรับประทานแบบต้มหรือนึ่งจะดีที่สุด หากเป็นผัดผักต้องใช้น้ำมันน้อยๆ

         สำหรับผักที่แนะนำ ได้แก่ มะระขี้นก หั่นชิ้นเล็กแล้วตากแดดให้แห้ง นำมาชงกับน้ำเหมือนชงชา ฟักทอง ให้ใช้เมล็ดฟักทองต้มน้ำดื่ม ครั้งละ 300 เมล็ด จะช่วยรักษาเบาหวานให้ดีขึ้น นอกจากนี้ผลฟักทองและน้ำฟักทอง ก็ช่วยลดอาหารเบาหวานได้ และผักอีกอย่างที่แนะนำคือแตงกวา การคั้นน้ำแตงกวาพร้อมเมล็ดจะดีต่อสุขภาพเมื่อดื่มขณะท้องว่าง
         5.น้ำนม ควรเลือกดื่มชนิดจืด ไม่เติมน้ำตาลหรือชนิดไม่ปรับปรุงแต่งรส หรือนมพร่องมันเนยที่มีไขมันประมาณ 1.9% สำหรับนมเปรี้ยว ควรเลือกชนิดที่ไม่ปรุงแต่งรส และนมที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรรับประทานคือนมข้นหวาน และนมถั่วเหลืองชนิดหวาน ทั้งนี้ น้ำเต้าหู้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถดื่มได้ แต่ต้องไม่เติมน้ำตาล

อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง
         ได้ทราบกันไปแล้วว่าอาหารรักษาเบาหวานที่ควรรับประทานมีอะไรบ้าง ทีนี้มาดูอาหาทีที่ผู้ป่วยโรคนี้ไม่ควรรับประทานกันบ้าง จะได้เป็นความรู้ในการหลีกเลี่ยงอาหารพวกนี้ ได้แก่ น้ำตาลทุกชนิดรวมทั้งน้ำผึ้ง น้ำตาลจากผลไม้ ขนมหวานและขนมเชื่อมต่างๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น สังขยา ลอดช่อง ฯลฯ ผลไม้กวน เช่น มะม่วงกวน ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ฯลฯ น้ำหวานต่าง ๆ น้ำผลไม้ ยกเว้น น้ำมะเขือเทศ นมรสหวานรวมทั้งน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น ชา กาแฟ ถ้าจะดื่มกาแฟควรดื่มกาแฟดำไม่ควรใส่น้ำตาล นมข้นหวาน หรือครีมเทียม

         นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ลำใย มะม่วงสุก ขนุน ละมุด น้อยหน่า ลิ้นจี่ อ้อย สับปะรด ผลไม้แช่อิ่ม หรือ เชื่อมน้ำตาล รวมถึงของขบเคี้ยวทอดกรอบ และอาหารชุบแป้งทอดต่างๆ เช่น ปาท่องโก๋ กล้วย แขก ข้าวเม่าทอด เป็นต้น
         จากการแนะนำของแพทย์ หลักการรักษาเบาหวานจะต้องทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข และไม่มีโรคแทรกซ้อนซึ่งต้องประกอบไปด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่การออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร งดบุหรี่ การดูแลสุขภาพทั่วๆไป ควบคุมความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ และการใช้ยาเม็ดหรือยาฉีดตามคำสั่งของแพทย์ เพียงแค่นี้อาการเบาหวานก็จะดีขึ้น ไม่เกิดความรุนแรง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

4 สุดยอดสมุนไพรเบาหวาน ที่หาได้ใกล้ตัว

         โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการเมตาบอลิซึม (ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน) ที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดที่ได้จากอาหารไปใช้ตามปกติได้
         โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากความบกพร่องของการหลั่งอินซูลินผิดปกติ ซึ่งอินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อสร้างพลังงาน เมื่อร่างกายของผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอินซูลินไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นนั่นเอง โดยสามารถเกิดโรคแทรกซ้อนต่อระบบต่างๆ ตามมาได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองอุดตัน ไตวาย และปลายประสาทเสื่อม ทำให้มีอาการชาซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดแผลบริเวณอวัยวะส่วนปลายได้ 

         รู้จักกับโรคเบาหวานกันพอสมควร หลายคนคงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที แต่ก็อย่าพึ่งตกอกตกใจไป เพราะโรคเบาหวานสามารถรักษาเยียวยาให้อาการดีขึ้นได้ โดยวันนี้เราได้นำสุดยอดสมุนไพรเบาหวานแบบไทยๆ สามารถหาได้ใกล้ตัวมาให้ท่านผู้อ่านได้ทำความรู้จัก จะได้นำไปบอกต่อคนรอบข้างที่กำลังป่วยเป็นเบาหวาน ช่วยให้มีอาการดีขึ้น

สุดยอดสมุนไพรเบาหวาน
         1.ตำลึง ไม่ว่าใบอ่อนหรือแก่ก็สามารถใช้รับประทานเพื่อรักษาเบาหวานได้ โดยตำลึงนั้นทั้งปลูกง่ายและให้สารอาหารที่มีคุณค่ายิ่งกับร่างกาย มีแบต้าแคโรทีน ป้องกันมะเร็ง แถมยังมีแคลเซียมในปริมาณสูง ธาตุเหล็กและฟอสฟอรัสอยู่อีกไม่น้อย และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด เร่งการหายของแผล เป็นสมุนไพรเบาหวานที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นผักหาง่าย ราคาย่อมเยา แต่ให้คุณค่ามหาศาล
         2.กะเพรา เรานิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่คุณทราบหรือไม่ว่ากะเพรานั้นมีสรรพคุณทางยาในหลายๆด้าน ทั้งแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ขับเสมหะ ทำให้โล่งจมูก ช่วยลดความดันในเลือด ยั้บยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด เพิ่มระยะเวลาแข็งตัวของเลือด ช่วยลดไขมันในเลือด และปริมาณคอเลสเตอรอล ปกป้องตับเนื่องจากการถูกทำลายของสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์ หรือสารปรอท ที่สำคัญมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และรักษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้

         3.ว่านหางจระเข้ สมุนไพรเบาหวานอย่างว่านหางจระเข้ แม้จะขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณในการใช้ภายนอก ช่วยสมานแผลให้หายเร็ว มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ แต่ว่านหางจระเข้ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคเบาหวานได้อีกด้วย วิธีใช้คือให้ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงตามลำดับโดยเฉพาะในผู้ที่เป็นเบาหวานในระยะแรก
         4.กระเจี๊ยบมอญ คนส่วนใหญ่อาจรู้จักกระเจี๊ยบแดงมากกว่า เนื่องจากนิยมรับประทานน้ำกระเจี๊ยบแดงมากในปัจจุบัน แต่กระเจี๊ยบมอญที่ว่านี้สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ โดยการต้มแล้วจิ้มกับน้ำพริก มีสรรพคุณทางยามากมาย โดยในสมุนไพรเบาหวานนี้มีสาร mucilage และ peetin ในผลอ่อน จะเป็นส่วนสำคัญที่ลดน้ำตาลในเลือด โดยสารเมือก (mucilage) จะไม่ถูกย่อย ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล ผ่านผนังลำไส้ ดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือดได้ช้าลง ทำให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่สูงขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้
         สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน นอกจากจะใช้สมุนไพรใกล้ตัวดังกล่าวแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรออกกำลังนานเกินกว่า 30 นาที โดยแบ่งเป็นอบอุ่นร่างกาย 10 นาที และช่วงของการออกกำลังแบบเบาๆอีก 10 นาทีด้วย ทั้งนี้ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลที่บริเวณเท้า การออกกำลังกายควรเลือกประเภทที่ไม่มีผลต่อการบาดเจ็บที่เท้า ที่แนะนำสำหรับคนป่วยเบาหวานก็อย่างเช่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน การเดินเร็ว การว่ายน้ำ เป็นต้น เพียงแค่นี้สุขภาพร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ได้ไม่ยาก

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากสาเหตุอะไร มีอาการเหนื่อยง่ายด้วยจะอันตรายไหม

         การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ไม่ว่าใครก็คงจะเห็นด้วยกับคำกล่าวภาษิตโบราณนี้ เพราะหากร่างกายแข็งแรง จิตใจสมบูรณ์ คุณก็ย่อมที่จะสามารถปฎิบัติภารกิจทั้งประจำวัน หน้าที่การงาน และการเอาใจใส่ดูแลครอบครัวของตัวเองได้อย่างเมที่ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ไม่มีใครที่ต้องการจะให้เกิดโรคภัยกับตัวเองก็ตาม แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลรักษาตัวเอง ให้หาย หรือบรรเทาควบคุมอาการของตัวเองเอาไว้ให้ปรากฏออกมาน้อยที่สุด สำหรับในวันนี้ จะขอพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับหนึ่งในอาการที่บ่งบอกถึงสัญญาณของโรคที่มีความรุนแรงอย่าง หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากอะไร และหัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย มีอันตรายต่อร่างกายอย่างไรกันบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลให้คุณผู้อ่านทุกท่านได้เตรียมพร้อมในการดูแล รักษาตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากอะไร?
         หัวใจเต้นเร็ว เกิดจาก การที่อัตราการเต้นของหัวใจมีมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที (BPM) ในผู้ใหญ่ การเต้นที่รวดเร็วมากจนเกินค่ามาตรฐานเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “หัวใจเต้นเร็ว” หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากสาเหตุที่หลากหลาย โดยอาจขึ้นอยู่กับอายุ และสภาพร่างกายของคุณ ในปัจจุบันอาการหัวใจเต้นเร็ว มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่
         1.Fibrillation หรือ supraventricular (SVT) รูปแบบของหัวใจเต้นเร็ว เกิดจากการก่อตัวอย่างรวดเร็วจนผิดปกติที่มักเริ่มต้นในห้องชั้นบนของหัวใจ
         2. atrial paroxysmal (PAT)
         3. paroxysmal ภาวะหัวใจเต้นเร็ว (PSVT)

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว
         หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากการที่สัญญาณไฟฟ้าในห้องชั้นบนของหัวใจเกิดความผิดปกติขึ้น จนไปรบกวนสัญญาณไฟฟ้าที่มาจาก sinoatrial (SA) ที่ทำหน้าที่คล้ายกับเครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจตามธรรมชาติ การเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็วทำให้สัญญานการไหลเวียนของเลือดที่ไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายไม่ได้รับการเติมเต็มออกซิเจนอย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้ผู้ทีมีภาวะหัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่ายกว่าปกตินั่นเอง

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นภาวะหัวใจเต้นเร็ว
         1.เด็ก มักจะพบภาวะหัวใจเต้นเร็ว ประเภท SVT ได้บ่อยมากที่สุด
         2.หัวใจเต้นเร็ว มักพบได้มากในเพศหญิง แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งสองเพศเช่นกัน
         3.คนหนุ่มสาวที่มักสะสมความเครียด วิตกกังวล
         4.คนที่มีความเหนื่อยล้าทางร่างกายมากๆ
         5.คนที่ดื่มกาแฟเป็นจำนวนมาก
         6.คนที่ดื่มแอลกฮออล์อย่างหนัก
         7.คนที่สูบบุหรี่อย่างหนัก

สภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ ที่มักเกิดขึ้นเมื่อหัวใจเต้นเร็ว
         1.หัวใจวาย
         2.เวียนศรีษะ วิงเวียน
         3.อาการใจสั่น
         4.เจ็บหน้าอก อันเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
         5.หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย
         6.หมดสติ
         7.หัวใจหยุดเต้น

การรักษาอาการหัวใจเต้นเร็ว
         หลายคนที่มีอาการหัวใจเต้นเร็วไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาการรักษาว่าอาการเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน หรือบ่อยครั้งเพียงใด ซึ่งแพทย์อาจจะแนะนำวิธีรักษาตัวเองอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้
         1.ผ่อนคลายความเครียดให้น้อยลง
         2.ละ เลิก กาแฟ เครื่องดื่มแอลกฮอลล์ และบุหรี่
         3.พักผ่อนในแต่ละวันให้มากขึ้น
         4.ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงมากขึ้น
         หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ยังเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญ ที่สร้างอุปสรรคให้กับการใช้ชีวิตประจำวัน และการทำกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นเมื่อได้ทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคดังที่ได้กล่าวถึงไปในข้างต้นแล้ว ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดหัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย เพื่อความสุขในชีวิตของตัวคุณเองอย่างยาวนาน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ความดันต่ำ เกิดจากอะไร ป้องกันได้อย่างไร

         ความดันโลหิตต่ำ หรือ Hypotension หมายถึงค่าความดันโลหิตที่ต่ำกว่า 90/50 มิลลิเมตรปรอท ทั้งนี้ คนส่วนมากมักไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะส่วนใหญ่กว่าจะทราบว่าตัวเองมีความดันต่ำก็อีตอนไปตรวจร่างกายประจำปี ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจว่าความดันโลหิตต่ำย่อมดีกว่าการมีความดันโลหิตสูง และความดันโลหิตต่ำส่วนมากจะมีอาการดีขึ้นเองโดยไม่ต้องได้รับการรักษา กระนั้นก็ตาม หากความดันโลหิตต่ำมากๆอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ โดยเลือดจะไหลเวียนได้ช้าลง จึงไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายไม่เพียงพอ และเกิดลิ่มเลือดได้ง่าย ทำให้หลอดเลือดอุดตัน หลอดเลือดฝอยส่วนปลายขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นต้น

           

ความดันต่ำ เกิดจากอะไร
         ความดันต่ำ เกิดจากหลายปัจจัย ซึ่งหากจะพูดถึงชนิดของโรคความดันโลหิตต่ำ ก็สามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง โดยความดันโลหิตต่ำชนิดเฉียบพลันหมายถึงว่า ความดันต่ำลงอย่างรวดเร็วจากเกณฑ์ปกติ ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยหน้ามืดและช็อคหมดสติ มักเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นลมหรือหัวใจล้มเหลว แต่โดยทั่วไปแล้วความดันโลหิตต่ำจะหมายถึงชนิดเรื้อรัง ซึ่งแบ่งประเภทได้ดังนี้
         1.ความดันโลหิตต่ำที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือไม่ทราบสาเหตุ ส่วนใหญ่พบว่าเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือรูปร่างที่อ่อนแอผอมบาง ซึ่งมักจะพบในหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวและผู้สูงอายุ บางรายไม่แสดงอาการเจ็บป่วยใดๆ แต่ในรายที่เป็นมากอาจจะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ใจสั่น วิงเวียน ศีรษะ ปวดศีรษะหรืออาจจะถึงขั้นเป็นลม ซึ่งความดันต่ำ เกิดจากพันธุกรรมนี้มักแสดงอาการชัดเจนขึ้นในหน้าร้อนที่อุณหภูมิสูง
         2.ความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนอิริยาบถ หมายถึงความดันโลหิตจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนท่าทางจากการนอนมาเป็นการนั่งหรือยืนในทันที หรือมีการยืนนานๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ส่งผลให้สมองทำงานผิดปกติจนเกิดอาการเวียนศีรษะ ตาพร่า คลื่นไส้ ใจสั่น ปวดต้นคอ ปวดหลัง เป็นต้น
         3.ความดันโลหิตต่ำจากการใช้ยาหรือการเจ็บป่วยของร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ โรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ วัณโรค โรคหัวใจรูมาติก ขาดสารอาหารเรื้อรัง ยาลดความดันโลหิต ยากกล่อมประสาท ยาต้านโรคซึมเศร้า ฯลฯ นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ใช้ยาความดันมากเกินขนาดเพื่อให้ความดันโลหิตต่ำลงโดยเร็วหรือลดต่ำลงมากยิ่งขึ้นก็อาจเป็นความดันโลหิตต่ำอย่างเฉียบพลันหลังปัสสาวะ เนื่องจากปัสสาวะถูกขับออกไปทำให้ความดันในช่องท้องลดต่อลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่กลับไปสู่หัวใจลดน้อยลงด้วย ทำให้เกิดอาการเป็นลม ซึ่งมักเกิดขึ้นในระหว่างที่ผู้สูงอายุตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก

 

ความดันต่ำ ป้องกันได้อย่างไร
         ทราบกันไปแล้วว่าความดันต่ำ เกิดจากอะไร เพื่อเป็นการป้องกันให้เราห่างไกลจากโรคความดันต่ำหรือถ้าเป็นความดันต่ำแล้วอยากให้อาการทุเลาลง มีข้อควรปฏบัติดังต่อไป
         1.พักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียจากการนอนหลับไม่เพียงพอ จะยิ่งทำให้ความดันโลหิตต่ำลงได้ง่าย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการทำงานหนักเกินควร หลีกเลี่ยงการนอนดึก และเวลานอนหลับไม่ควรนอนหนุนหมอนที่ต่ำเกินไป
         2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ระบบประสาทเกิดความสมดุล หลอดเลือดหัวใจแข็งแรง และช่วยรักษาความดันโลหิตต่ำให้ดีขึ้น
         3.หลีกเลี่ยงการยืนนานๆ หรือการเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็วเกินไป
         4.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพราะผู้ที่มีแนวโน้มความดันต่ำ เกิดจากการได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอ เนื่องจากความดันโลหิตจะยิ่งต่ำลงไปอีก
         5.ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ยกเว้นในกรณีเป็นโรคที่ต้องจำกัดน้ำดื่ม
         6.ระมัดระวังในการเปลี่ยนท่าทาง โดยเฉพาะเมื่อต้องลุกขึ้นยืน ควรเปลี่ยนท่าทางให้ช้าลง ทำทีละขั้นตอนเสมอ เช่น จากนอนเป็นนั่งพัก แล้วจึงค่อยลุกขึ้นยืน
         7.ใช้ยาอย่างระมัดระวัง โดยหากต้องไปพบแพทย์ เนื่องจากอาการเจ็บป่วยใดๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าว่าตนมีอาการความดันโลหิตต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลง

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เป็นความดันโลหิตสูง อาหารที่ควรรับประทานคืออะไร?

         เป็นที่ทราบกันดีว่าหากวัดระดับความดันโลหิตแล้วปรากฎว่าสูงกว่า 120/80 มิลลิเมตรปรอท นั่นแสดงว่าคุณตกอยู่ในภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้มากมาย แม้ว่าคนที่เป็นความดันโลหิตสูงอาจจะไม่มีการแสดงอาการใดๆ แต่หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาจะทำให้หัวใจโต และหัวใจวายได้ในที่สุด ผลจากความดันก็ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆไม่เพียงพอ ทำให้เกิดโรคกับอวัยวะนั้น เช่นโรคไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ เป็นต้น
         ภาวะความดันโลหิตสูงถือเป็นภัยเงียบอย่างหนึ่งที่ทำร้ายเราได้โดยไม่รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่าการป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไข ถ้าไม่อยากให้ความดันโลหิตสูงมาเยือน เบื้องต้นก็ควรควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการดื่มสุรา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ประกอบไปด้วยผัก ผลไม้ และมีเกลือน้อย

 

อาหารที่คนเป็นความดันโลหิตสูงควรรับประทาน
         สำหรับคนที่สงสัยว่าเป็นความดันโลหิตสูง อาหารที่ควรรับประทานได้แก่อะไรบ้าง? วันนี้เรามาหาคำตอบกัน จะได้รู้เท่าทันโรคร้ายอย่างความดันโลหิตสูง
         1.ผักผลไม้ เป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ คาร์โบไฮเดรต และใยอาหาร ที่ร่างกายต้องการ การปรุงอาหารในแต่ละมื้อจึงควรมีผักเป็นส่วนประกอบหลักอยู่ด้วย จะใช้วิธีปรุงให้สุกหรือกินแบบสดๆก็ได้ โดยไม่ต้องจำกัดแค่ผักผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง เพราะสามารถรับประทานได้ตามฤดูกาล ทั้งนี้ ใครที่คิดจะนำผักมาปรุงอาหาร ควรเลี่ยงเมนูที่เป็นการเพิ่มไขมันให้กับร่างกาย เช่น ผักชุบแป้งทอด ผัดผักโดยใส่น้ำมันมากๆ แล้วเปลี่ยนมารับประทานผักแบบดิบๆ หรือผักลวก หรือเวลาผัดให้ใส่น้ำมันในปริมาณน้อยๆ
         ส่วนผลไม้ซึ่งเป็นแหล่งของวิตามินซี เบตาแคโรทีน ใยอาหาร และสารอาหารอีกมากมาย ก็ควรรับประทานเป็นประจำ ไม่ว่าจะแบบสดๆ นำมาคั้นเป็นน้ำผลไม้ หรือใช้ผลไม้เป็นอาหารว่างแทนขนมที่ให้พลังงานสูงก็ย่อมเป็นประโยชน์ในการควบคุมให้ความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์ปกติทั้งสิ้น
         2.สมุนไพรไทย เป็นความดันโลหิตสูง อาหารที่ควรรับประทานคืออะไร? อีกหนึ่งคำตอบของคำถามนี้ก็คือสมุนไพรแบบไทยๆ ซึ่งทางโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้แนะนำไว้ในหนังสือบันทึกของแผ่นดินหลายเล่ม โดยสมุนไพรมีผลในการช่วยลดความดันโลหิตสูงได้อย่างดีเยี่ยม สมุนไพรไทยที่น่าสนใจ ได้แก่  
         1) กระเจี๊ยบแดง จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ พบว่ากระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ขับยูริค รวมทั้งลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะภายหลังการผ่าตัดในไตได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2-3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิต diastolic ลงตั้งแต่ร้อยละ 7.2 ถึง 13 เลยทีเดียว โดยนักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่าการที่กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิตได้ เนื่องมาจากสารแอนโธไซยานิน (anthocyanins) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดนั่นเอง

         2) คึ่นไฉ่ ปัจจุบันมีการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาพบว่า คึ่นไฉ่มีฤทธิ์ลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ลดบวม คุมกำเนิด ลดจำนวนอสุจิ ลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ยับบั้งเนื้องอก ต้านการอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว ขับระดู เป็นต้น ดังนั้น ผู้เป็นความดันโลหิตสูง อาหารที่ควรรับประทาน
         3) บัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากบัวบกทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งในหลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยมีการไหลเวียนดีขึ้น มีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงสามารถลดความดันโลหิตได้
         4) คาวตอง หรือพลูคาว หมอยาทั่วไปมีความเชื่อว่าการรับประทานคาวตองสดๆ กับน้ำพริกลู่ ลาบ หรือใช้รากต้มกับปลาไหล รากตำเป็นน้ำพริกกินจะเป็นยารักษาโรคได้ เช่น ช่วยรักษาความดันโลหิตสูง ริดสีดวงทวาร แผลในกะเพาะอาหาร เป็นความดันโลหิตสูง อาหารที่ควรรับประทานคืออะไร พลูคาวนับเป็นผักสมุนไพรที่มีการศึกษาวิจัยและจดสิทธิบัตรมากตัวหนึ่ง ซึ่งจากการวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ต่างพบฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพลูคาวเช่นเดียวกับการใช้ประโยชน์ของหมอยาพื้นบ้าน ในประเทศเกาหลีก็ได้มีการใช้พลูคาวเป็นยาลดความดันโลหิตสูง ภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเนื่องจากมีการสะสมของไขมัน (atherosclerosis) และมะเร็งอีกด้วย
         5) มะรุม นับเป็นอาหารสุขภาพที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเป็นอย่างยิ่ง โดยจากประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศ และการศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่าส่วนของใบและรากของมะรุม มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตได้ รวมทั้งพบสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดความดันโลหิต เช่น niazinin A, niazinin B, niazimicin และ niaziminin A and B

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รู้ทันปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพรรักษาได้

         โรคต่อมลูกหมากโต เป็นหนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ชายบ่อยๆ เสียจนแทบจะเรียกว่าเป็นโรคสามัญสำหรับผู้ชายไปเสียแล้ว ซึ่งสร้างปัญหาทางด้านสุขภาพหลายอย่างเลยทีเดียว แต่โรคต่อมลูกหมากโต ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำการบำบัดดูแลรักษาด้วยตัวเองได้ สำหรับในวันนี้ ใครที่กำลังอยากดูแลรักษาตัวเองจากปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพรตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องไปพึ่งพาการรักษาจากแพทย์นั้น สามารถติดตามอ่านได้จากบทความชิ้นนี้กันเลย

ต่อมลูกหมากโตส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไรบ้าง
 ปัญหาต่อมลูกหมากโต (BPH) เป็นที่รู้จักกันดีในวงการแพทย์ เนื่องจากไม่ใช่โรคใหม่ที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะผู้ชายกว่า 80% หลังอายุ 50 ปี มักจะประสบกับปัญหาดังกล่าว ที่มีขนาดของต่อลูกหมากขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งในบางครั้งต่อมลูกหมากโต ก็จะสร้างปัญหาให้กับร่างกายด้วยการไปกดทับท่อปัสสาวะ ทำให้เกิดการปัสสาวะได้ไม่สมบูรณ์ จนมีการตกตะกอน ส่งผลให้ระบบปัสสาวะมีความอ่อนแอ และจำเป็นที่จะต้องปัสสาวะบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน ต่อมลูกหมากโต สร้างความรำคาญให้มากกว่าอันตราย แต่อย่างไรก็ตามมันก็สามารถที่จะทำให้กระเพาะปัสสาวะอักเสบ รวมไปถึงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ หรือสร้างความเสียหายให้กับไตได้เช่นกัน

วิธีการรักษาปัญหาต่อมลูกหมากโตทางการแพทย์
 1 ใน 3 ของผู้ชาย มักได้รับการรักษาต่อมลูกหมากโตด้วยวิธีการผ่าตัดต่อมลูกหมาก หรือทานยาตามใบสั่งของแพทย์ เช่น Flomax หรือ Proscar แต่จากการศึกษาวิจัยที่เพิ่มมากขึ้น ชี้ให้เห็นหนทางอื่นในการรักษาต่อมลูกหมากโต สมุนไพรก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่อาจจะมีราคาที่สูงมากกว่าการรักษาตามปกติ แต่ก็มีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าเช่นกัน นอกจากนี้กลุ่มผู้ที่ให้ความสนใจบำบักปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพรนั้นยังอ้างว่า สมุนไพรเหล่านี้ยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก สาเหตุสำคัญอันดับสองของการเสียชีวิตในผู้ชายได้อีกด้วย

การบำบัดปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพร
 คุณสมบัติของสมุนไพร ขุมพลังจากธรรมชาติได่รับการมองข้ามมาโดยตลอด แต่ในปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มากเพียงพอในการช่วยยืนยันว่า ต่อมลูกหมากโต สมุนไพร สามารถดำเนินการแก้ไขที่ควบคู่กันไปได้ คลินิกบำบัดจำนวนมากได้มีการแนะผู้ป่วยต่อมลูกหมากโต สมุนไพรใช้ในการบำบัด ผ่านการปรับปรุงเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นทางคลินิก เพื่อให้การบำบัดรักษาปัญหาต่อมลูกหมากโต สมุนไพร เป็นไปได้ด้วยดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งสมุนไพรที่ได้รับนิยม มีดังต่อไปนี้

         1.Saw ปาล์ม ต้นปาล์มขนาดเล็ก เป็นหนึ่งในสมุนไพรชั้นนำในการรักษาต่อมลูกหมากโต และเป็นสมุนไพรที่ขายดีมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา ในหนึ่งปีจะมีผู้ซื้อหาสมุนไพรชนิดนี้ไปใช้ในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต เป็นมูลค่ารวมถึง 25 ล้าน ดอลล่า เลยทีเดียว
 2.สารสกัดจากเกสรต้นหญ้าไรย์ ในการทดสอบพบว่าต่อมลูกหมากโต สมุนไพรสารสกัดจากเกสรต้นหญ้าไรย์ มีอาการดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก อาหารเสริมตัวนี้ยังมีความจำเป็นอย่างมากในการลดความจำเป็นในการเข้าห้องน้ำในช่วงตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังช่วยให้การปัสสาวะเป็นไปอย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลให้ปริมาณปัสสาวะเหลืออยู่น้อยในกระเพาะปัสสาวะ
 3.Pygeum จากเปลือกต้นพลัมแอฟกัน ที่มีการนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของยาแผนโบราณ ในยุโรปมีการนำมาใช้ในการรักษาอาการต่อมลูกหมากโต ด้วยคุณสมบัติการช่วยลดจำนวนการไปเข้าห้องน้ำทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน ถึงแม้เจ้าสารสกัดตัวนี้จะมีความปลอดภัยสูง แต่มันก็อาจจะก่อให้เกิดอาการปวดท้องในบางคนที่ใช้ได้เช่นกัน
4.ตำแยยุโรป ตำแยมีขนของยุโรป ที่ก่อให้เกิดอาการคัน และความเจ็บปวด แต่รากของมันกลับได้รับการศึกษาจนพบว่า มีคุณสมบัติช่วยในการเยียวยาปัญหาต่อมลูกหมากโต โดยที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั่วยุโรป ซึ่งในบางครั้งยังถูกนำมาใช้รวมกับยารักษาต่อมลูกหมากโตแบบมาตราฐานทางการแพทย์แผนปัจจุบันอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามตำแยยุโรป ก็ยังคงมีผลข้างเคียงบ้าง เช่น อาการปวดท้อง หรือผื่นบนผิวหนัง เป็นต้น 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

10 สุดยอดกลยุทธ์ ธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็ง

         มะเร็ง เป็นหนึ่งในโรคภัยที่อยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์เราอย่างคาดไม่ถึง ที่สำคัญคือ นับวันมันก็จะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับชนชาติตะวันตก ที่มีอัตราของผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งถีบตัวสูงมากขึ้นทุกปี ซึ่งในปัจจุบันโรคมะเร็งได้เติบโตจนแทบจะเรียกได้ว่ากลายเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก
 ในช่วงต้นทศวรรษ 1900 1 ใน 20 คน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ในปี 1940 1 ใน 16 คน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง
 ในปี 1970 1 ใน 10 คน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง
ณ ปัจจุบัน 1 ใน 3 คน ป่วยเป็นโรคมะเร็ง..!!

         จากการประมาณการณ์ของ CDC คาดว่า ในปี 2013 จะมีผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งรายใหม่มากขึ้นถึง 1,660,190 คน ถึงแม้เทคโนโลยีในการรักษาพยาบาลจะทันสมัยมากขึ้น จนอัตราการตายของประชากรโลกลดลง แต่จำนวนของผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งกลับมากขึ้นเรื่อยๆ และมะเร็งก็ยังถือว่าโรคที่รักษาหายได้ยากมากอีกด้วย ดังนั้นวิธีที่ดีสุดในการรักษาโรคมะเร็งก็คือ การพยายาม “ป้องกัน” ไม่ให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นกับตัวเอง ซึ่งบทความในวันนี้จะขอพาทุกท่านที่อยากมีสุขภาพดี ห่างไกลจากโรคมะเร็ง ไปทำความรู้จักกับสุดยอดกลยุทธ์ ธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็ง ที่จะช่วยให้คุรสามารถใช้เทคนิคธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็งอย่างง่ายๆในชีวิตประจำวันด้วยตัวเอง

ธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็ง ป้องกันอย่างไรในชีวิตประจำวันไม่ให้มะเร็งถามหา
มีวิธีธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็งมากมายหลายอย่างที่คุณสามารถทำได้ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แต่โปรดอย่ารีรอจนกว่าแพทย์จะวินิจฉัยให้คุณทำตามขั้นตอนเหล่านั้น เพราะมันจะสายจนเกินไป คุณสามารถที่จะป้องกันโรคมะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติก่อนที่มันจะสายจนเกินไป หรือหากคุณกำลังมีอาการป่วยจากโรคมะเร็ง ธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็งที่บทความชิ้นนี้กำลังจะแนะนำ ก็สามารถที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคมะเร็ง และเพิ่มโอกาสฟื้นตัวจากโรคมะเร็งของคุณให้มากยิ่งขึ้น
 1.การเตรียมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารทอด และเพิ่มอาหารที่ช่วยต้านโรคมะเร็ง อาทิเช่น สมุนไพร เครื่องเทษ และอาหารเสริมอื่นๆ อย่าง บล็อกโคลี่ ขมิ้นชัน ซึ่งอาหารเหล่านี้นอกจากจะช่วยต่อสู้โรคมะเร็งแล้ว และโรคอ้วน
2.คาร์โบไฮเดรตและน้ำตาล ลดหรือจำกัดอาหารแปรรูปจากน้ำตาล ฟรุกโตส เนื่องจากอาหารเหล่านี้ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ซึ่งคุณควรทำการตรวจสอบให้แน่ใจอยู่เสอว่า ปริมาณฟลุกโตสโดยรวมในแต่ละวัน จะอยู่ที่ประมาณ 25 กรัม ต่อวัน รวมทั้งในผลไม้อีกด้วย
 3.โปรตีนและไขมัน ระดับโปรตีนที่เหมาะสมสำหรับธรรมชาติบําบัดรักษามะเร็ง คือ 1 กรัม ต่อ 1 กก กรัม น้ำหนักตัวจริงของคุณ ผู้ใหญ่โดยทั่วไปต้องการโปรตีนประมาณ 100 กรัม ซึ่งคุณสามารถทานโปรตีน และไขมันส่วนเกินที่มีคุณภาพสูงได้จากไก่ตอน โวคาโด และน้ำมันมะพร้าว
4.GMOs หลีกเลี่ยงอาหารดัดแปลงพันธุ์กรรม เพราะส่วนใหญ่มักได้รับการรักษาคุณภาพจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง คุณควรเลือกพืชอินทรีย์ที่ปลุกในท้องถิ่น
5.น้ำมันพืช ควรลดปริมาณของน้ำมันพืชทั่วไป แล้วเปลี่ยนไปใช้น้ำมันที่มีคุณภาพสูงจาก โอเมก้า 3 หรือ 6 แทน
 6.โปรไบโอติกธรรมชาติ พืชผักผลไม้บางประเภท สามารถช่วยประสิทธิภาพของลำไว้ ลดการอักเสบ และเสริมสร้างการตอบสนองภูมิคุ้มกันให้มากยิ่งขึ้น นักวิจัยได้พบว่ากลไกลของจุลินทรีย์ที่ตอบสนองต่อเซลล์มะเร็งบางชนิด ใช้อาการอักเสบเป็นพลังงานในการเจริยเติบโต ดังนั้นการชะลออาการอักเสบ จึงเป็นการช่วยชะลออาการของโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี

         7.เพิ่มอาหารหมักตามธรรมชาติในชีวิตประจำวัน เป็นการช่วยเพิ่มไบรไปโอติกที่ดีที่สุดแบบหนึ่ง ซึ่งอาหารหมักดองตามธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด
 8.ออกกำลังกาย ช่วยลดระดับอินซูลิน ระดับน้ำตาลที่ต่ำจะช่วยลดการเจริญเติบโต และแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง และยังช่วยเพิ่มภูมิกัน รวมไปถึงอัตรารอดชีวิตที่มากขึ้นของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาด้วยวิธีการเคมีบำบัดอีกด้วย
 9.วิตามิน D มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากมายว่าสามารถช่วยลดความเสี่นงของโรคมะเร็ง คุณสามารถเพิ่มวิตามิน D ให้กับตัวเองได้อย่างง่ายๆ ด้วยการสัมผัสกับแสงแดดในปรมิมาณที่เหมาะสม
10.นอน ให้แน่ใจอยู่เสมอว่าคุรได้ทำการนอนกลับพักผ่อนอย่างเพียงพอในแต่ละวัน เพื่อการผลิตเมลาโทนิล ที่จะช่วยเพิ่มการต้านทานอินซูลินในร่างกายให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีกินว่านชักมดลูกให้ดี ถูกตำรายาแผนโบราณ

         กระแสทางด้านยาสมุนไพรโบราณ กำลังกลับมาเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งหนึ่งในยาแผนโบราณเหล่านั้น ชื่อที่เรามักได้ยินผ่านหูกันบ่อยครั้งก็ได้แก่ “ว่านชักมดลูก” ที่ได้ถูกแปรรูปนำมาวางจำหน่ายให้เห็นในท้องตลาดกันบ่อยครั้ง แต่เชื่อว่าหลายๆคนอาจจะยังสงสัยในสรรพคุณของว่านชักมดลูกว่าเป็นอย่างไร และวิธีกินว่านชักมดลูกที่ถูกต้อง ต้องทำอย่างไรจึงจะให้ผลลัพธ์ที่เยี่ยมในการบำรุงร่างกายอย่างสูงสุดนั้น เรื่องราวน่าสนใตเกี่ยวกับสมุนไพรว่านชักมดลูกเหล่านี้ สามารถติดตามอ่านได้จากบทความชิ้นนี้กันเลย

ว่านชักมดลูกคืออะไร?
 ว่านชักมดลูก เป็นสมุนไพรที่ถูกจัดอยู่ในตระกูลของ “ขิง” เป็นกลุ่มดียวกับขมิ้นชัน เป็นพืชที่มีลำต้น แต่มีหัวฝังตัวอยู่ใต้ดิน ซึ่งว่านชักมดลูกเองก็มีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่ที่มักพบมากในท้องตลาดหลักๆจะมีอยู่ 2 สายพันธุ์ ได้แก่
         1.ว่านชักมดลูกตัวเมีย (Curcuma comosa Roxb.) มีลัก๋ณะหัวหลมรีตามแนวตั้ง มีแขนงสั้น
         2.ว่านชักมดลูกตัวผู้ (Curcuma latifolia) หัวใต้ดินจะมีลักษณะกลมแป้นมากกว่าว่านชักมดลูกตัวเมีย
ด้วยลักษณะที่คล้ายคลึงกันของว่านชักมดลูกเหล่านี้ ทำให้ผู้ซื้อมักเกิดความสับสน ซึ่งแหล่งเพาะพันธุ์ว่านชักมดลูกที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยนั้น มักจะปลูกกันมากในบริเวณจังหวัดเลย และจังหวัดเพรชบูรณ์

สรรพคุณของว่านชักมดลูก
ในตำรายาสมุนไพรของไทยนั้น นิยมใช้ว่านชักมดลูกตัวเมียเข้ามาเป็นส่วนผสมหลัก โดยมีคุณสมบัติช่วยในการรักษาอาการต่างๆของสตรี ไม่ว่าจะเป็นอาการประจำเดือนมาไม่เป็นปกติ ปวดท้องประจำเดือน ตกข่าว เป็นต้น
 จากการศึกษาวิจัยของแทพย์แผนปัจจุบันค้นพบว่า ว่านชักมดลูกนั้น มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิง หรือฮอร์โมนเอาโตรเจน ที่ช่วยในการรักษาสุขภาพต่างๆของสตรีวัยทองได้เป็นอย่างดี
วิธีกินว่านชักมดลูกอย่างไรให้ถูกต้อง และได้ประโยชน์สูงสุด

         สำหรับวิธีกินว่านชักมดลูกให้ถูกต้องนั้น มีอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะของว่านชักมดลูกที่คุณซื้อมา โดยมีวิธีกินว่านชักมดลูกที่ถูกต้องอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้
  1.ว่านชักมดลูกสด วิธีกินว่านชักมดลูกหัวสดสามารถทำได้ด้วยการนำหัวว่านมาปลอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาดให้สะอาด จากนั้นนำมาต้มน้ำดื่ม หรือนำหัวว่านชักมดลูกไปฝนให้ละเอียด ผสมดองเข้ากับสุราใช้ดื่มเพื่อแก้ปวดมดลูก
 นอกจากนี้ ยังมีวิธีการทานว่านชักมดลูกแบบอื่นๆ เช่น การนำว่านชักมดลูกมาตำให้ละเอียดเป็นผง จากนั้นนำไปผสมกับน้ำผึ้ง แล้วปั่นให้กลายเป็นยาลูกกลอน หรือนำผงของว่านที่ผสมกับน้ำผึ้งไปชงดื่มกับน้ำร้อนก่อนอาหาร 3 มื้อ
 2.ว่านชักมดลูกแบบสำเร็จรูป ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับว่านชขักมดลูกออกมาวางขายในลักษณะแบบสำเร็จรูปกันอย่างมากมายเลยทีเดียว ซึ่งหากเป็นว่านชักมดลูกในลักษณะนี้ จะมีวิธีกินว่านชักมดลูกที่ถูกต้อง เหมาะสมสำหรับคุณแนะนำเอาไว้อยู่บริเวณข้างขวดอยู่แล้ว ซึ่งสามารถทานตามคำแนะนำได้เลย
 วิธีกินว่านชักมดลูกให้ดี ถูกตำรายาแผนโบราณ จากภูมิปัญญาของเหล่านคนในอดีตที่ได้ทดลองผิด ลองถูกกันมาอย่างยาวนาน เป็นการพิสูจน์ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมของสมุนไพรไทย ที่มีคุณสมบัติในการช่วยบรรเทา และรักษาโรคภัยไข้เจ็บกันมาอย่างยาวนาน

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.