ยารักษาสิวดีจนต้องบอกต่อ ใช้แล้วสิวหาย หน้าไม่เป็นหลุม เนียนใสกว่าเดิม


สิวเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับวัยรุ่นทั้งชายและหญิง การกำจัดสิวถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ใครหลายคนเฝ้าค้นหา นั่นเป็นเพราะว่าสิวนอกจากจะทำให้ใบหน้าของสาวๆและชายหนุ่มดูหม่นหมองเป็นรอยแดงจุดๆแล้ว ยังทำให้เกิดอาการเจ็บตามเม็ดสิว หรือที่เรียกง่ายๆว่า สิวอักเสบ จากสาเหตุเพียงไม่กี่ข้อ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมสิวถึงเป็นปัญหาโลกแตก
การรักษาสิวนั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน ทั้งใช้วิธีทายา กินยา ฉีดสิวและยิงเลเซอร์ ซึ่งแต่ละวิธีนั้นก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นก็คือการรักษาและขจัดสิวให้หมดไป และแต่ละวิธีนั้นก็มีราคาแตกต่างกันไป โดยในส่วนของบทความนี้จะมาชี้แนะในส่วนของยารักษาสิวว่ามีกี่ประเภท และมีอะไรบ้าง

 

ยาประเภททาน
1. ยาปฏิชีวนะ แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดคือ

  • Tetracycline เป็นยารักษาสิวที่นิยมใช้รักษาสิวมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยจะใช้ในกลุ่มคนที่มีสิวมากและเป็นหนอง โดยเริ่มต้นที่ 500 – 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน เมื่อมีอาการดีขึ้นก็จะลดปริมาณของยาลง โดยตัวยานี้ไม่เหมาะกับเด็กและสตรีมีครรภ์
  • Erythromycin โดยยาตัวนี้ถูกคิดค้นมาเพื่อนคนที่แพ้ Tetracycline ซึ่งมีคุณสมบัติการรักษาสิวคล้ายๆกัน
  • Minocycline Doxycycline เป็นยาสังเคราะห์กลุ่ม Tetracycline ห้ามใช้กับสตีมีครรภ์เช่นกัน 


2. ฮอร์โมน แบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ

  • Estrogen เป็นฮอร์โมนที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมแอนโดรเจน ทำให้มีการสร้างไขมันลดลง แต่ต้องระวังการใช้เพราะอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมได้
  • ยาคุมกำเนิด หลายคนมักจะใช้ยาตัวนี้เป็นยารักษาสิวแทน เป็นวิธีที่นิยมใช้มากกว่า Estrogen เพราะมีความเสี่ยงต่อผลค้างเคียงน้อยกว่าและค่อนข้างต่ำ แต่บางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนคัดหน้าอก 

3. Steroid จะนิยมใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นสิวมาก ควรใช้ในระยะเวลาสั้น หากใช้เยอะจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้
4. Isotretinoin เป็นยาที่ใช้ต่อสิวที่ออกอาการดื้อยา เหมาะสำหรับใช้รักษาสิวหัวช้าง โดยยาตัวนี้จะทำให้ไขมันและเชื้อแบคทีเรียลดลง จึงทำให้ไม่เกิดสิว แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ว่ายาตัวนี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาเช่น ทำให้ปากแห้งผิวแตกแห้ง ผมร่วงปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ และถ้าใช้ในสตรีมีครรภ์ก็อาจจะทำให้แท้งได้ ยานี้จึงไม่แนะนำให้ซื้อใช้ด้วยตัวเองโดยปราศจากการแนะนำของแพทย์ อีกทั้งยาตัวนี้ยังต้องอาศัยการคุมกำเนิด หากต้องการตั้งท้องให้หยุดทานยานี้ เป็นเวลา 1 เดือน

 

ยาประเภททาภายนอก
1. ยาทาปฏิชีวนะ

  • Azelic acid ยานี้จะอยู่ในรูปแบบครีม ซึ่งต้องใช้หลายสัปดาห์จนบางครั้งอาจจะกินเวลาร่วมเดือนกว่าจะเห็นผล
  • Erythromycin solution 1-4% ออกฤทธิ์โดยการต้านแบคทีเรียและมามารถลดอาการอักเสบได้ เมื่อใช้ร่วมกับ Benzoyl peroxide จะยิ่งทำให้เห็นผลดียิ่งขึ้น
  • Sulfonamide เป็นยาที่อยู่ในรูปของสารละลาย
  • Benzoyl peroxide เป็นยาที่จะช่วยละลายไขมัน และเซลที่อุดตัน ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งบางคนอาจจะแพ้ตัวยานี้ 

2. อนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ Tretinoin เป็นยารักษาสิวแบบทาค่อยข้างดี โดยตัวยานี้เป็นยาละลายขุยซึ่งอยู่ในรูปแบบของครีมหรือเจลที่มีความเข้มข้น 0.01 – 0.1% ซึ่งบางครั้งอาจจะก่อให้เกิดอาดารระคายเคืองผิวหนังทำให้เป็นรอยแดง แห้ง และลอกเป็นขุย ดังนั้นจึงต้องทาในขนาดที่มีความเข้มข้นต่ำ
    นี่คือกลุ่มยารักษาสิวที่นิยมใช้กัน มีทั้งแบบทาและแบบรับประทาน ซึ่งต้องไปศึกษาข้อมูลดีๆก่อนจะนำใช้ยาเหล่านี้ เพราะแต่ละคนก็แพ้ตัวยาไม่เหมือนกัน ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยารักษาสิว เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่ไม่น่าพึงประสงค์ที่จะตามมา เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้รักษาสิว อาจจะได้ความระคายเคืองใบหน้ามาแทนก็เป็นได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ฉีดสิวดีจริงหรือ?

                การฉีดสิว เป็นวิธีการรักษาสิวยอดนิยมสำหรับคนที่ต้องการให้ขจัดให้สิวหายไปอย่างเร่งด่วน โดยส่วนมากจะนิยมฉีดที่สิวเม็ดใหญ่ๆ หรือที่เรียกกันว่า “สิวหัวช้าง” หากปรากฏบนใบหน้าของใครแล้ว คนๆนั้นก็จะมีจุดสีแดงชัดเจนเห็นได้แต่ไกล ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าดีใจเท่าไหร่ หากจะบีบก็เจ็บจี๊ดสุดทน อีกทั้งยังต้องเสี่ยงกับแผลเป็นที่จะเกิดขึ้นหลังบีบสิวเสร็จ ดังนั้นการฉีดสิวจึงเป็นตัวเลือกที่แก้ไขปัญหาเหล่านี้ เพราะฉีดปุ๊บยุบปั๊บ ไม่เจ็บและไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
ด้วยคุณสมบัติข้างต้น และราคาค่ารักษาไม่แพง การฉีดสิวดูเหมือนจะเป็นวิธีการรักษาสิวหัวช้างที่ดีไร้ที่ติ แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือ? แล้วความจริงเป็นอย่างไรกันแน่?

                เมื่อพูดถึงการฉีดสิวแล้ว ก็ต้องนึกถึงสารเคมีที่ใช้รักษาโดยคลินิกส่วนมาจะใช้สารประเภท สเตอรอยด์ (Steriod) ในการฉีด ซึ่งบางครั้งอาจจะมีการผสมยาชาเพื่อลดอาการบาดเจ็บจากการฉีดสิว โดยสารประเภทนี้จะไปยับยั้งการทำงานของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว เมื่อเชื้อแบคทีเรียไม่ทำงาน สิวจึงไม่บวมขึ้นและยุบไปเองในที่สุด แต่อย่าลืมว่าเป็นแค่การยับยั้งเท่านั้น ดังนั้นจึงมีโอกาสที่สิวจะโตขึ้นที่เดิม หรือเกิดสิวในบริเวณใกล้เคียงตรงจุดที่มีการฉีดสิว อันเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียได้กระจายตัวไปพื้นที่ข้างๆโดยจะขอสรุปข้อดีและข้อเสียของการฉัดสิวดังนี้

ข้อดี

              1. ช่วยทำให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็ว ฉีดปุ๊บหายปั๊บทันใจเหมือนเล่นมายากล
              2. ไม่เจ็บระบม เนื่องจากการบีบสิวหัวช้างนั้นเป็นการสร้างแผลบนใบหน้าที่มีขนาดใหญ่ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องรู้สึกเจ็บมากๆ แต่ถ้าเทียบกับรอยแผลที่เกิดจากการฉีดสิวโดยเข็มเล็กๆนั้น ความเจ็บปวดย่อน้อยกว่าการบีบอยู่แล้ว ยิ่งบางคลินิกผสมยาชาลงไป ความเจ็บปวดจึงเป็นเรื่องเล็กไปเลย
              3. ไม่ต้องเสี่ยงกับรอบแผลเป็นที่เป็นหลุม เนื่องจากการบีบสิวเป็นการสร้างแผล จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีแผลเป็นบนใบหน้าซึ่งทิ้งรอยแดงเอาไว้ ไม่ต่างอะไรกับตอนที่มีสิว ดังนั้นการฉีดสิวจึงเป็นการป้องกันปัญหานี้ได้

 

ข้อเสีย
              1. ไม่ได้รักษาสิวให้หายขาด จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าสารจำพวกสเตอรอยด์ ทำได้เพียงแค่ยับยั้งการทำงานของแบคทีเรียสาเหตุของสิว ไม่ได้ฆ่าหรือทำลายแบคทีเรียตัวนั้น จึงมีโอกาสสูงที่สิงจะบวมขึ้นอีกครั้ง
              2. อาจจะก่อให้เกิดไตแข็งๆใต้ผิวหนัง หลังจากที่สิวยุบตัวไป แล้วเกิดสิวขึ้นในตำแหน่งเดิมอีกรอบหากเป็นๆยๆอยู่เรื่อบไปเช่นนี้ ผิวหนังบริเวณนั้นอาจจะสร้างพังผืดขึ้นมา เกิดเป็นไตแข็งๆใต้ผิวหนังซ อาจจะส่งผลทำการรักษาสิวยากขึ้นไปอีก
              3. อาจจะทำให้สิวหัวช้างอักเสบมากกว่าเดิม บางคลินิกนั้นอาจจะใช้เข็มที่ไม่สะอาดฉีดสิว ดังนั้นจึงมีความเป็นได้ที่จะติดเชื้อเพิ่ม ซึ่งนอกจากจะทำให้สิวไม่ยุบ ยังเพิ่มความใหญ่ให้กับสิวที่เป็นอยู่อีกต่างหาก
              4. อาจจะทำให้เป็นสิวง่ายกว่าเดิม เมื่อฉีดสิวด้วยสารจำพวกสเตอรอยด์นานๆเข้า อาจจะทำให้แบคทีเรียเกิดอาการดื้อยา ทำให้การรักษาทำได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ในอีกมุมหนึ่งก็คือแบคทีเรียแข็งแกร่งมากขึ้น และอาจจะส่งผลทำให้เราแพ้ง่ายขึ้น และเป็นสิวเยอะขึ้นกว่าเดิม
เมื่อทำการชั่งข้อดีข้อเสียของการฉีดสิวแล้วหลายคนอาจจะต้องคิดหนักๆก่อนจะรักษาสิวดีๆ เพราะมันอาจจะส่งผลข้างเขียงบางประการได้ หากไม่มีความจำเป็นที่ต้องรักษาสิวอย่างเร่งด่วนจริงๆ การฉีดสิวจึงไม่น่ามีความจำเป็นมากนัก อย่าลืมว่ายังมีการรักษาสิวด้วยวิธีอื่นๆอีก ถ้าหากหมั่นศึกษาวิธีรักษาก็อาจจะพบวิธีที่เหมาะกับตนและรักษาสิวที่หายขาดก็เป็นได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

หน้าร้อน รักษาสิวผดอย่างไรให้ได้ผลสิวผด

สิวผด เป็นหนึ่งในปัญหาเรื่องสิวๆ ที่คุณสาวๆส่วนใหญ่ต่างต้องเคยสัมผัสกับความน่ารำคาญของมันกันมานักต่อนักแล้ว ซึ่งเจ้าสิวผดนี่จะออกมาวาดลวดลายทวีจำนวนแผลงฤทธิ์มากขึ้นเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อนที่มีแสงแดดแรงกล้า

ดังนั้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวคุณสาวๆ พร้อมในการดูแล และรักษาผิวหน้าให้ห่างไกลจากสิวผด จึงอยากให้คุณสาวๆอ่านทำความเข้าใจบทความชิ้นนี้ ซึ่งกำลังจะสอนทุกสิ่งทุกอย่างในการรับมือเจ้าสิวผดให้กับตัวคุณ

ลักษณะของสิวผด

สิวผด หรือ สิวเทียม (Acne Aestivale) มักจะมีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆ  ซึ่งมักชอบขึ้นอยู่ใกล้ๆกันเป็นจำนวนมากๆ หากมองดูเผินๆจะคล้ายกับผื่น มักจะขึ้นบริเวณหน้าผาก ถ้าหากเกิดการอักเสบขึ้น สิวผดจะกลายเป็นสีแดง และในบางครั้งอาจจะกลายเป็นหนองอีกด้วย

สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผด

สิวผด สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักที่จะเกิดขึ้น จากสาเหตุดังต่อไปนี้

  1. การล้างหน้าบ่อยจนเกินไป
  2. การล้างหน้าแรงจนเกินไป
  3. การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน
  4. แสงแดด และความร้อน เป็นสาเหตุสำคัญอันดับ 1 ที่ทำให้เกิดสิวผดขึ้นบนใบหน้า
  5. อาการแพ้ เช่น แพ้เหงื่อ แพ้น้ำ หรือการใช้ครีม โฟมล้างหน้า ยาสระผม ที่แรงจนเกินไป ไม่เหมาะกับผิวของตัวเอง เป็นต้น
  6. ร่างกายไม่แข็งแรง
  7. พักผ่อนไม่เพียงพอ
  8. อุปกรณ์ที่ใช้ในการแต่งหน้าไม่สะอาด เช่น พัฟแป้งไม่สะอาด เป็นต้น

วิธีการดูแลรักษาตัวเองให้ห่างไกลจากสิวผด

เนื่องจากสิวผด เป็นสิวที่สามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่หลากหลายมากๆ ดังนั้นการดู และการรักษาสิวผด จึงจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจกับสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวผดขึ้น พร้อมกับแยกวิธีการรักษาออกไปให้เหาะสมกับคุณสาวๆ แต่ละคน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการรักษาที่ดีสุด

การรักษา สามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะของสาเหตุการเกิด ดังต่อไปนี้

1. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการล้างหน้าบ่อยจนเกินไป ควรเริ่มการรักษาจากการไม่พยายามรบกวนผิวหน้ามากจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการล้าง ขัด หรือพอกหน้า เกินกว่าความจำเป็น

2. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการล้างหน้าแรงจนเกินไป สำหรับคุณสาวๆบางคนมักจะคิดว่า การล้างหน้ายิ่งออกแรงมากเท่าไหร่ ใบหน้าก็จะยิ่งมีความสะอาดมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะยิ่งล้างหน้าแรงๆ ก็จะยิ่งทำให้ใบหน้าเกิดการเสียดสี ซึ่งเป็นการรบกวนผิวหน้าอย่างรุนแรง ทำให้สิวผดมีโอกาสเกิดขึ้นสูง ดังนั้นคุณสาวๆ ควรจะทำการล้างหน้าอย่างเบามือ และนุ่มนวลจะดีกว่า

3. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการใช้น้ำร้อนล้างหน้า ถึงแม้จะเป็นเพียงการใช้น้ำอุ่นในการล้างหน้าก็ตาม ก็ยังมีโอกาสที่จะทำให้เกิดสิวผดขึ้นได้เช่นกัน ดังนั้นขอแนะนำให้คุณสาวๆ หันไปทำการล้างหน้าด้วยน้ำเย็นจะดีกว่า

4. สิวผดที่เกิดขึ้นจากแสงแดด และความร้อน การรักษาต้องเริ่มต้นจากการพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อนเป็นอันดับแรก แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องทำงานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อแสงแดด ให้ทำการทาครีมกันแดดทุกครั้ง เพื่อเป็นการปกป้องผิว โดยเลือกครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง และเลือกครีมกันแดดที่ปราศจากส่วนผสมของน้ำมัน นอกจากนี้เพื่อเป็นการปกป้องผิวที่ดีมากขึ้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+++ ขึ้นไป

5. สิวผดที่เกิดขึ้นจากอาการแพ้ ควรเริ่มจากการศึกษาสภาพผิวของตัวเองว่ามีอาการแพ้อะไรบ้าง ถ้าหากแพ้เหงื่อก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่จะทำให้เกิดเหงื่อขึ้น แต่หากเป็นการแพ้ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายต่างๆ ก็ควรที่จะทำการทดสอบก่อนใช้ว่ามีอาการแพ้หรือไม่ หรือหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีความอ่อนโยนกับผิว เป็นต้น

6. สิวผดที่เกิดขึ้นจากร่างกายไม่แข็งแรง สาเหตุที่ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นจากความเครียด ซึ่งทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุลจนร่างกายอ่อนแอลง การคลายความเครียดเองก็มีหลายวิธีขึ้นอยู่กับว่าคุณสาวๆแต่ละคนมีการกำจัดความเครียดแบบไหน แต่หากร่างกายอ่อนแอจากการเจ็บป่วย หรือกรรมพันธุ์แล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้คุณสาวๆไปทำการพบแพทย์ เพื่อปรึกษาหาวิธีรักษาที่ถูกต้องที่สุดจะดีกว่า

7. สิวผดที่เกิดขึ้นจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ สำหรับสิวผดประเภทนี้สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายๆ โดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น

8. สิวผดที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์แต่งหน้าที่ไม่สะอาด ถ้าหากคุณสาวๆเป็นคนที่ชื่นชอบการแต่งหน้า ก็ขอแนะนำให้ทำการเปลี่ยนอุปกรณ์สำหรับใช้ในการแต่งหน้าบ่อยๆ เพราะยิ่งใช้อุปกรณ์เหล่านี้นานมากเพียงใด ก็จะมีการสะสมตัวของเชื้อโรคมากขึ้นเท่านั้น

ถ้าจะให้ดี หากคุณสาวๆสามารถหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ก็จะช่วยให้ใบหน้าห่างไกลจากสิวผดได้มากยิ่งขึ้น

การรักษาใช้ยาเพื่อรักษาสิวผด

โดยปกติแล้ว แพทย์จะไม่ให้ยารักษาอาการสิวผด หากไม่มีอาการอักเสบ หรือเป็นสิวผดเห่อมากทั้งใบหน้า เช่น ในกรณีที่แพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น แพทย์จะให้ทำการทายาสเตียรอยด์ในปริมาณน้อยๆ ในระยะเวลาอันสั้นที่สุด

เนื่องจากยาดังกล่าวมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น ทำให้หลอดเลือดขยาย หน้าแดง แพ้ง่าย และผิวจะบอบบางลงมากกว่าเดิม นอกจากนี้การรักษาสิวผด ยังสามารถทำได้โดยการใช้ยาทา 2 ชนิด คือ

1. ยาในกลุ่ม Benzoyl Peroxide โดยควรเริ่มจากการทาความเข้มข้นที่ต่ำที่สุดก่อน คือ 2.5% ทำการทาลงไปบนบริเวณที่มีสิวผด ทิ้งเอาไว้ประมาณ 5-20 นาที แล้วล้างออก สามารถทำการทาได้วันละ 1-2 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของของแต่ละคน เมื่อทำการทดสอบแล้วว่าไม่มีอาการแพ้ จึงค่อยเพิ่มความเข้มข้นของยาไปที่ 5%

2. ยาทากรดวิตามินเอ ควรเริ่มจากการทายาที่มีความเข้มข้นต่ำที่สุดก่อนเช่นกัน คือ 0.0125% หรือ 0.025% เมื่อไม่มีอาการแพ้ใดๆ แล้วจึงค่อยๆทำการเพิ่มความเข้มข้นไปเป็น 0.05% และควรทำการทาก่อนนอนเท่านั้น ไม่ควรทำการทางในช่วงเวลากลางวัน เพราะอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้แดดขึ้นได้

ข้อควรระวังในการใช้ยาทั้ง 2 ประเภทนี้ ในการรักษาสิวผด คือ ในกรณีของคนที่แพ้ อาจจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้ง่าย ซึ่งอาจจะทำให้ใบหน้าเกิดอาการเห่อแดงขึ้นได้

สำหรับคนที่ไม่สามารถใช้ยาทั้ง 2 ชนิด ในการรักษาสิวผดได้นั้น ขอแนะนำให้ใช้ยาตัวอื่นที่ไม่ส่งผลให้เกิด ความระคายเคือง ที่มีส่วนผสมของ Resorcinol

ในปัจจุบันมีครีม หรือแป้งน้ำรักษาสิว ที่มีส่วนผสมดังกล่าวอยู่มากมายหลายยี่ห้อให้คุณสาวๆ เลือกใช้ได้ตามความพอใจของตัวเอง

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รวมสูตรพอกหน้าจากธรรมชาติสำหรับกำจัดสิว ลดรอยแดง

สำหรับคุณสาวๆ ที่มีปัญหาในเรื่องของสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวเสี้ยน สิวอักเสบ สิวหัวหนอง สิวหัวช้าง ฯลฯ เชื่อว่าคุณสาวๆทุกคนคงอยากที่จะทำการกำจัดเจ้าสิวที่เป็นปัญหากวนใจให้ออกไปจากใบหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

สำหรับคุณสาวๆ ที่เคยทดลองวิธีการรักษาสิวมาหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาแต้มสิว ทานยา หรือแม้แต่ไปพบแพทย์ตามสถาบันเสริมความงามมาแล้วยังไม่เห็นผลลัพธ์ในการกำจัดสิวที่น่าพอใจนั้น

สำหรับในวันนี้ อยากจะให้คุณสาวๆได้ทดลองกับอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยกำจัดสิว ไปพร้อมกับช่วยคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวของคุณสาวๆ วิธีที่การดังกล่าวที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ “การพอกหน้า” นั่นเอง

รวมสูตรพอกหน้าสำหรับคนที่เป็นสิวโดยเฉพาะ

เมื่อกล่าวถึง “การพอกหน้า” คุณสาวๆ คงจะคิดไปถึงวิธีการบำรุงผิวพรรณให้ขาวใส หรือการคืนความเยาว์วัย ความชุ่มชื้นให้กับผิว แต่ที่จริงแล้วการพอกหน้ามีประโยชน์มากกว่านั้นมากนัก

การพอกหน้าบางสูตรที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติมีคุณสมบัติในการช่วยรักษาสารพัดปัญหาสิวบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งในวันนี้จะขอพาไปรู้จักกับสูตรพอกหน้า สำหรับคนที่เป็นสิวโดยเฉพาะ ดังต่อไปนี้

1. สูตรกล้วยหอม+น้ำมะนาว เป็นสูตรที่ช่วยลดความมันของผิว ไม่เหมาะกับคนที่ผิวแห้ง เพราะจะยิ่งทำให้ผิวแห้งมากยิ่งขึ้น นำกล้วยหอม 1 ลูก น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ปั่นผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            2. สูตรแตงกว่า+ไข่ขาว ช่วยลดความมันส่วนเกินและกระชับรูขุมขน นำแตงกว่า 1 ผล ไข่ขาว 1 ฟอง และนาว 1 เสี้ยว ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 20นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            3. สูตรดินสอพอง+ขมิ้นชัน ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของสิวและบำรุงผิว นำดินสอพอง 2-3 เม็ด ขมิ้นผง 2 ช้อนชา และน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            4. สูตรมะขามเปียก+นมสด ช่วยลดสิวอักเสบ สิวอุดตัน และสิวเสี้ยน นำเนื้อมะขามเปียกที่แยกเมล็ด เปลือก และกากออกแล้วประมาณ ½ ถ้วย ผสมกับนมสด 1/3 ถ้วย ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            5. สูตรมะเขือเทศ+น้ำมะนาว ช่วยป้องกันสิวและกระชับรูขุมขน นำมะเขือเทศไปปั่นหรือสับให้ละเอียดประมาณ ¾ ถ้วย ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หรืออาจเติมน้ำเปล่าลงไปอีกเล็กน้อยเพื่อให้น้ำมะนาวเจือจางลง ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            6. สูตรข้าวโอ๊ต ช่วยในการป้องกันสิวและสมานแผล นำข้าวโอ๊ตประมาณ 1 กำมือ ผสมกับน้ำดื่มจนนิ่ม แล้วนำมาขัดวนเบาๆให้ทั่วใบหน้าเป็นประจำทุกเช้าเย็น

            7. สูตรไข่แดง ช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรกอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้า นำไข่แดงตีให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            8. สูตรโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ช่วยในการต่อต้านสิวผด นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาทาลงบนใบหน้า ทำการนวดเบาๆให้ทั่วใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            9. สูตรหอมแดง ช่วยในการรักษาสิวอักเสบให้ยุบตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ นำหอมแดงประมาณ 1 หัว มาสับให้ละเอียด หรือฝานเป็นแว่นบางๆ แล้วนำไปวางลงบนหัวสิว หรือบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ

            10. สูตรถั่วเขียวต้มสุก เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องสิวเสี้ยน กระ ฝ้า จุดด่างดำ และริ้วรอยต่างๆ นำถั่วเขียวไปต้มให้สุกประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ สตอเบอรี่ผลโต 2 ผล หรือถ้าเป็นผลเล็ก ให้ใช้จำนวน 4 ผล นมเปรี้ยว ½ ช้อนโต๊ะ ปั่นหรือบดขยี้ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด  

11. สูตรไข่ขาว เหมาะสำหรับการรักษา และลอกสิวเสี้ยนออกจากใบหน้า นำไข่ขาวมาทาลงบนใบหน้า เพื่อประสิทธิภาพที่มากขึ้นก่อนทำการทาไข่ขาว ควรนำหน้าไปอังกับไอน้ำหรือล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อให้รูขุมขนเปิดกว้างขึ้นก่อน หลังจากทาไข่ขาวลงไปแล้วให้นำกระดาษเช็ดหน้าแปะลงไปให้ทั่วใบหน้า ปล่อยทิ้งเอาไว้สักพักให้กระดาษเช็ดหน้าแห้ง แล้วลอกออกอย่างเบามือ

            12. สูตรทานาคาผง ช่วยในการรักษารอยดำจากสิว กำจัดสิวผด ลดสิว นำทานาคาผง (แป้งพม่า) 2 ช้อนชา น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนชา และนมสดรสธรรมชาติ 2 ช้อนชา ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 15-30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            13. สูตรแอปเปิ้ล ช่วยในการรักษาสิว นำแอปเปิ้ลเขียวหรือแดงก็ได้ประมาณ ½ ลูก มาบดเอาน้ำ แล้วนำน้ำที่ได้ไปผสมกับน้ำผึ้ง หรือโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            14. สูตรสับปะรด เหมาะสำหรับผู้ที่มีใบหน้ามัน ช่วยลดความมันบนใบหน้า กำจัดสิ่งอุดตัน พร้อมกับช่วยผลัดเซลล์ผิวให้ขาวเนียนมากขึ้น นำสับปะรด ¼ ลูกปั่นผสมเข้ากับแตงกว่า 1 ลูก และวุ้นว่านหางจระเข้ ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ไปทำการพอกหน้าประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            15. สูตรนมเปรี้ยว เหมาะกับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ช่วยในการกำจัดและควบคุมความมันบนใบหน้า นำนมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดมาทำการพอกหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

สูตรพอกหน้าใสไร้สิว ลดริ้วรอย ด้วยวิธีธรรมชาติ ทำอย่างไร

ผิวขาวกระจ่างใสมีออร่า เปล่งประกายดุจไข่มุกสีน้ำนม คือ สุดยอดแห่งผิวหน้าที่คุณสาวๆ ใฝ่ฝันอยากที่จะครอบครอง เพราะสุขภาพผิวที่ดีและสวยงาม ช่วยให้คุณสาวๆ สามารถที่จะพิชิตใจหนุ่มๆ ที่ตัวเองปลื้มได้อย่างไม่ยาก อีกทั้งยังเป็นการช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับตัวคุณสาวๆ ให้รู้สึกมั่นใจเวลาที่ต้องไปเข้าสังคมอีกด้วย เรียกได้ว่าใบหน้าที่ขาวสวยใสนั้น ช่วยให้คุณสาวๆ มีชัยในการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ยากเย็น

แต่ก่อนที่จะได้มาซึ่งผิวที่ขาวดังไข่มุกนั้น คุณสาวๆ ก็ต้องหมั่นดูแลรักษา พร้อมกับบำรุงผิวพรรณของตัวเองให้ดี “การพอกหน้าใส” ก็เป็นอีกหนึ่งในวิธีการที่จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณสาวๆ ขาวใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ แถมยังเป็นวิธีการที่สามารถทำได้อย่างง่ายๆ ที่บ้านอีกต่างหาก

เมื่อรู้แบบนี้แล้วจะรอช้าอยู่ทำไม วันนี้เรารีบไปรู้จักกับวิธีการพอกหน้าใสจากสูตรธรรมชาติกันเลยดีกว่า ว่ามีสูตรอะไรกันบ้าง…!?

สูตรพอกหน้าใสจากวิธีธรรมชาติ

สูตรพอกหน้าใส ที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นส่วนผสมที่เรียบง่าย แต่การที่จะพอกหน้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด คุณสาวๆ ก็ควรที่จะทำตามเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง และอย่าพึ่งใจร้อน เพราะอยากสวยก็ต้องใช้เวลาและความอดทน เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง คุณสาวๆ จะสามารถสัมผัสได้ว่า ผิวของตัวเองใบหน้ามีความขาวเนียนใสมากขึ้น อีกทั้งส่วนผสมเหล่านี้ยังมาจากธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงหมดห่วงในเรื่องผลกระทบจากสารเคมี หรืออันตรายต่อร่างกายอย่างแน่นอน

สำหรับสูตรพอกหน้าใสที่ได้รับความนิยม ซึ่งได้ทำการรวบรวมมา มีดังต่อไปนี้

1. สูตรน้ำผึ้ง+โยเกิร์ต นำน้ำผึ้งและโยเกิร์ตมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาพอกลงบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
2. สูตรมะละกอสุก+นมสด นำมะละกอสุกและนมสดมาทำการผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
3. สูตรน้ำมะพร้าว นำน้ำมะพร้าวมาทาบนใบหน้า เนื่องจากน้ำมะพร้าวสามารถช่วยทำให้ผิวนุ่มเนียน และชุ่มชื่นมากยิ่งขึ้น
4. สูตรกล้วยหอม+นมสด นำกล้วยหอมและนมสดมาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            5. สูตรโยเกิร์ต นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติมาพอกหน้า แล้วทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
6. สูตรดินสอพอง เป็นสูตรที่เหมาะกับคนหน้ามัน นำดินสอพองมาผสมกับน้ำเปล่า แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
7. สูตรไข่ขาว นำไข่ขาวมาพอกที่หน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            8. สูตรขมิ้น นำขมิ้นมาบดให้ละเอียดผสมน้ำเล็กน้อย แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกลงบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
9. สูตรแอปเปิ้ล นำแอปเปิ้ลประมาณครึ่งผล ปั่นให้ละเอียดโดยที่ไม่ต้องปอกเปลือก แล้วนำมาพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            10. สูตรแอปเปิ้ล+น้ำมะนาว นำแอปเปิ้ลประมาณครึ่งผล ปั่นให้ละเอียดโดยที่ไม่ต้องปอกเปลือกแล้วนำแอปเปิ้ลที่ปั่นละเอียดแล้วผสมเข้ากับน้ำมะนาวประมาณ 2
ช้อนชาให้เข้ากัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

            11. สูตรมะเขือเทศ+โยเกิร์ต นำมะเขือเทศลูกเล็กๆ จำนวน 3 ลูก และโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้ละเอียดให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
12. สูตรโยเกิร์ต+เกลือป่น นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ถ้วย ผสมเข้ากับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า จากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางขัดไปทั่วหน้าในลักษณะวงกลมอย่างเบามือประมาณ 5 นาที แล้วปล่อยทิ้งเอาไว้ 5 นาที หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาด
13. สูตรแตงกวา+ไข่ขาว เหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาหน้าที่มีความมัน และปัญหาเรื่องสิวมากๆ นำแตงกวา 1 ลูก ไข่ขาว 1 ฟอง น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
             14. สูตรแตงโม นำแตงโมมาฝานให้เป็นชิ้นบางๆ จากส่วนที่แดงที่สุด จากนั้นให้นำชิ้นแตงโมเหล่านั้นมาแปะให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
15. สูตรมะเขือเทศสด นำมะเขือเทศมาฝานให้เป็นชิ้นหนาๆ แล้วนำมาถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอ เมื่อรู้สึกว่าน้ำในมะเขือเทศหมดแล้วให้เปลี่ยนชิ้นใหม่มาถูแทน ทิ้งเอาไว้สักครู่ แล้วใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดมะเขือเทศบนใบหน้าออกให้สะอาด

            16. สูตรนมเปรี้ยวแช่เย็น สูตรนี้เหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน เริ่มจากการล้างหน้าให้สะอาด แล้วนำนมเปรี้ยวที่แช่เย็นมาทาพอกให้ทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ เช็ดออก
17. สูตรมะขามเปียก+นมสด นำน้ำที่คั้นออกมาจากมะขามเปียกที่ผสมกับน้ำอุ่นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากับนมสด 2-3 ช้อนโต๊ะ แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
18. สูตรมะเขือเทศ+ข้าวโอ๊ต นำมะเขือเทศ 1 ผลมาบดให้ละเอียด แล้วผสมเข้ากับข้าวโอ๊ต 1 ช้อนชา ให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
19. สูตรวุ้นว่านหางจระเข้ นำวานหางจระเข้มาปอกเปลือกเอาแต่เนื้อวุ้นที่อยู่ภายใน ล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปปั่นหรือบดจนละเอียดกลายเป็นเนื้อเจล จากนั้นนำไปการพอกบนใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
20. สูตรใบบัวบก นำใบบัวบกสดมาคั้นเอาน้ำ ใช้ผ้าก็อตสะอาดจุ่มเอาน้ำใบบัวบก แล้วนำผ้าก็อตไปวางทั่วใบหน้า ทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออก

อย่างไรก็ตาม ในการพอกหน้า ควรทำการพอกโดยเว้นบริเวณรอบดวงตา และปากเอาไว้เพื่อป้องกันระคายเคือง สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ควรทำการทดสอบก่อนว่าผิวของตัวเองแพ้ส่วนผสมในสูตรพอกหน้าใดหรือไม่

โดยทำการทดสอบกับผิวหนังด้านในของส่วนพับแขน ทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น พร้อมกับสังเกตว่าภายใน 24 ชั่วโมง ว่ามีความผิดปกติของผิวหนังในบริเวณที่ทำการพอกเอาไว้หรือไม่ เช่น อาการแสบ คัน ระคายเคือง ตุ่มคัน เป็นต้น ถ้าหากไม่มีอาการผิดปกติ จึงค่อยทำการพอกหน้า เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพผิวของคุณสาวๆ เอง

 

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รักษาสิวหัวช้าง ด้วยวิธีการบีบสิว หรือทาครีมแต้มสิวดีกว่ากัน

สิวหัวช้าง  ขึ้นชื่อว่า “ช้าง” คุณสาวๆ ก็คงที่จะสามารถจินตนาการได้ถึงความใหญ่ของมันได้ โดยปกติแล้วเพียงแค่เรื่องสิวเสี้ยนเม็ดเล็กๆดำๆ บนใบหน้า ก็ทำให้คุณสาวๆ รู้สึกกังวลจนต้องสรรหาวิธีมากำจัด หรือปกปิดเอาไว้เวลาที่ต้องออกไปข้างนอก แล้วยิ่งถ้าเป็นสิวหัวช้างเม็ดใหญ่โดดเด่น ก็ยิ่งพาลให้เครียดหนักมากยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับในวันนี้เราจะมาดูกันว่า วิธีการรักษาสิวหัวช้าง ระหว่างวิธีการบีบสิวออก กับ วิธีการทาครีมแต้มสิว วิธีการไหนที่ได้ผลลัพธ์ดีต่อใบหน้าของคุณสาวๆ มากกว่ากัน

สิวหัวช้างคืออะไร?

ก่อนจะเข้าสู่วิธีการรักษาสิวหัวช้าง ก่อนอื่นเราควรมารู้จักกับเจ้าสิวหัวช้างกันก่อน “สิวหัวช้าง”  หรือ สิวเม็ดใหญ่ เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ P.acne บริเวณผิวหนัง จนเกิดการอักเสบหนักขึ้นกลายเป็นสิวหัวช้าง ซึ่งมักจะเกิดอาการเจ็บปวดควบคู่กับการอักเสบ

สิวหัวช้างมีจุดสังเกตที่เด่นชัดคือ เม็ดสิวที่มีขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มีหลากหลายอาการทั้งชนิดอักเสบน้อยไปจนถึงอักเสบมาก ถ้าหากมีอาการอักเสบมากๆ สิวหัวช้างก็อาจจะกลายเป็นฝีอักเสบได้  โดยส่วนมากสิวหัวช้างจะไม่มีหัวสิว แต่ภายในนั้นจะมีน้ำหนองปนอยู่กับเลือดที่เสีย

ถ้าหากปล่อยเอาไว้จนสิวหัวช้างบวมเต็มที่ ก็จะเกิดการแตกออกมาเป็นน้ำหนองก่อนจะยุบตัวลงกลายเป็นรอยสีดำ เนื่องจากเซลล์ส่วนที่อักเสบเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งรอยสีดำจะค่อยๆ จางหายไป แต่บางครั้งอาจจะเกิดรอยแผลเป็นขึ้นเมื่อหัวสิวแตก  สิวหัวช้างมีโอกาสกลับมาเป็นอีกในบริเวณเดิม ถ้าหากไม่มีการฆ่าเชื้อ หรือการแก้ไขพฤติกรรมการรักษาความสะอาด

ที่นี้เรามาดูกันดีกว่าว่า วิธีการรักษาโดยการบีบสิวหัวช้างออก กับวิธีการรักษาด้วยการทาครีมแต้มสิว แบบไหนดีกว่ากัน?

การรักษาสิวหัวช้างด้วยการบีบออก

การรักษาสิวหัวช้าง โดยการรอเวลาให้เกิดการอักเสบจนกระทั่งมีหัวสิวแล้วค่อยบีบออกนั้น เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมานาน ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับสิวหัวช้างโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีหัวสิว มีเพียงอาการบวมแดงจนดำ เหมือนกับมีเลือกไปคั่งอยู่ในบริเวณนั้น หรืออาจจะมีหัวขึ้นในบริเวณที่เป็นสิวหัวช้าง แต่มีหัวสิวขนาดเล็กๆ อยู่ติดกัน 2-3 หัว สำหรับคนที่ใจร้อน พยายามที่จะบีบหัวสิวเล็กๆ เหล่านั้นออก  

โดยส่วนใหญ่สิ่งที่ออกมามักจะไม่ใช่หัวสิวแต่มักเป็นเลือดที่คั่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง การบีบออกในลักษณะดังกล่าว มักที่จะทำให้เกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้นไปอีก หรือต่อให้สามารถบีบเอาสิวหัวช้างออกมาได้แล้ว ก็มักที่จะเกิดหลุมสิวขึ้น ซึ่งเจ้าหลุมสิวนั้น เป็นสิ่งที่ทำการรักษาได้ยากยิ่งกว่าการกำจัดสิวหัวช้างหลายเท่าทีเดียว

การบีบสิวหัวช้างอย่างไม่ถูกวิธี จะทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อยู่ภายในสิวหัวช้างกระจายออกมาพร้อมกับน้ำหนองภายในสิว จนเกิดการลุกลามไปยังบริเวณโดยรอบมากยิ่งขึ้น

สำหรับการรักษาโดยการบีบสิวหัวช้างที่ถูกวิธี คือ การอดทนรอเวลาให้หัวสิวเกิดขึ้นมาจนสุกเต็มที่อย่างใจเย็น แล้วใช้เข็มที่ทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อแล้วสะกิดเบาๆ ที่หัวสิว แล้วกดออกด้วยที่กดสิว หรือใช้สำลีก้าน 2 อัน บีบเข้าหากัน ให้น้ำหนองและสิวที่อยู่ภายในสิวหัวช้างออกมาให้หมดในครั้งเดียว เพราะหากเอาสิวออกไม่หมดในครั้งเดียว โอกาสในการเกิดหลุมสิวขึ้นจากการบีบจะมีสูงมากทีเดียว

การรักษาสิวหัวช้างโดยการทาครีมแต้มสิว

การรักษาสิวหัวช้างโดยใช้ครีมแต้มสิวนั้น เป็นวิธีการที่อ่อนโยนกับผิวใบหน้ามากกว่าการบีบสิวออกโดยตรง เพราะเมื่อทำการเจาะลึกเข้าไปจนถึงปัญหาจริงๆ แล้ว สิวหัวช้าง เป็นสิวอักเสบประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นจากการทำปฏิกิริยาของเชื้อแบคทีเรีย P.acne ในบรรยากาศกับไขมันในรูขุมขนที่เกิดการอุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น  จนกระทั่งกลายมาเป็นสิวหัวช้างนั่นเอง

ดังนั้นเมื่อทำการทาครีมแต้มสิวลงบนสิวหัวช้าง ครีมแต้มสิวจะเข้าไปทำการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acne ซึ่งจะส่งผลให้สิวหัวช้างยุบลงอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ไม่เกิดหลุมสิวขึ้นบนใบหน้า เนื่องจากสิวหัวช้างนั้นเม็ดสิวมีขนาดที่ใหญ่ การอักเสบของผิวหนังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อสิวหัวช้างยุบตัวลง ผิวหนังในบริเวณนั้นจะเห็นร่องรอยแผลที่เกิดขึ้นจากการอักเสบบ้าง แต่รอยเหล่านั้นจะค่อยๆ จางหายไปเองเมื่อเวลาผ่านไปตามธรรมชาติ

อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาสิวที่ได้แนะนำมาแล้วในตอนต้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ วิธีการรักษาสิวหัวช้างที่ดีที่สุด ก็ยังคงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดสิวขึ้นมาตั้งแต่แรก

ดังนั้นก่อนที่จะปล่อยเลยตามเลยจนทำให้สิวหัวช้างเกิดขึ้น เราควรที่จะเริ่มต้นการรักษาตั้งแต่แรก โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ดีๆ สักตัว ที่จะช่วยป้องกันใบหน้าจากการเกิดสิวหัวช้างอย่างได้ผลตั้งแต่แรก หรือแม้แต่กับคนที่มีสิวหัวช้างเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ยังสามารถที่จะช่วยรักษาและทำให้สิวหัวช้างยุบลงอย่างเป็นธรรมชาติ ชนิดที่เรียกว่า 2 in  1 ในผลิตภัณฑ์เพียงตัวเดียว

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ลอกหน้า ทาครีม หรือ ดูดสิวเสี้ยน วิธีกำจัดสิวเสี้ยนแบบไหน ได้ผลที่สุด

สิวเสี้ยน เป็นหนึ่งในปัญหาเรื่องสิวที่ทำให้คุณสาวๆหลายคน ถึงกับต้องเสียความมั่นใจเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกไปนอกบ้าน เพราะถึงแม้สิวเสี้ยนจะมีขนาดเม็ดที่เล็กเมื่อเทียบกับสิวประเภทอื่น แต่หัวขาวๆ ดำๆ ที่รวมตัวกันอยู่เป็นกระจุก ก็สร้างความโดดเด่นที่ทำให้คุณสาวๆ ต้องรู้สึกอายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับในปัจจุบันมี วิธีการกำจัดเจ้าสิวเสี้ยน ให้ออกไปจากใบหน้าอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ยังคงเป็นวิธีคลาสสิค 3 วิธี ได้แก่ วิธีการลอกหน้า การดูดสิวเสี้ยน และการทาครีมรักษาสิว ซึ่งในวันนี้จะมาขอทำการเปรียบเทียบกันว่า วิธีกำจัดสิวเสี้ยนเหล่านี้ วิธีการใดที่ได้ผลดีมากที่สุด..? 

…ก่อนอื่น เราต้องมารู้จักกับเจ้าสิวเสี้ยนตัวแสบกันสักเล็กน้อย แล้วค่อยไปรู้จักกับวิธีกำจัดสิวเสี้ยนให้อยู่หมัดกัน…

สิวเสี้ยนคืออะไร?

สิวเสี้ยน เกิดขึ้นได้จากความผิดปกติของต่อมรูขุมขน ซึ่งผลิตน้ำมันออกมาหล่อเลี้ยงผิวหนังที่มากกว่าปกติ จนกระทั่งเกิดการอุดตันขึ้น หรือมีเส้นขนเล็กๆจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในรูขุมขนเดียวกัน สิวเสี้ยนมีลักษณะเป็นสิวเม็ดเล็กๆ หัวเปิดที่มักขึ้นรวมกันเป็นประจุก มีทั้งชนิดหัวสีดำ และหัวสีขาว

โดยส่วนใหญ่มักจะพบสิวเสี้ยนขึ้นอยู่ในบริเวณจมูก คาง แก้ม หน้าผาก หลังคอ หลัง เนิ่นไหล่ หรือต้นแขน ในบริเวณที่มีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่แล้วสิวเสี้ยวมักจะเกิดขึ้นมากในช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายมีมาก และไปทำการกระตุ้นต่อมไขมันจนทำงานมากจนผิดปกติ

…เมื่อได้รู้จักที่มาของเจ้าสิวเสี้ยนตัวแสบกันอย่างคร่าวๆ ไปแล้ว ทีนี้ก็ไปทำความรู้จักกับวิธีการกำจัดมันกันเลย….

การดูดสิวเสี้ยน

เป็นวิธีการรักษาสิวเสี้ยนได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในคลินิกเสริมความงาม โดยการใช้เครื่องดูดสิว ซึ่งจะทำการเปิดรูขุมขนของผู้ที่มาทำการรักษาให้กว้างขึ้นด้วยระบบไอน้ำ โอโซน แล้วใช้เครื่องทำการดูดสิวเสี้ยนเหล่านั้นออกจากใบหน้า

ซึ่งในปัจจุบันได้มีเครื่องดูดสิวแบบพกพาออกมาวางขาย ซึ่งคุณสาวๆสามารถหาซื้อมาเป็นเจ้าของได้ในราคาที่ไม่แพงนัก แต่อย่างไรก็ตามวิธีการดูดสิวนั้น ไม่ค่อยสามารถช่วยกำจัดสิวเสี้ยนออกจากใบหน้าได้มากนัก โดยเฉพาะสิวเสี้ยนที่เกิดขึ้นจากเส้นขนที่ขึ้นรวมกัน 5-50 เส้น ภายในรูขุมขนเดียว จนทำให้มองเห็นเป็นจุดดำๆ

การรักษาโดยการดูดดอกจึงเสมือนกับเป็นการถอนขนออก เหมือนกับเวลาที่มีการโกนหนวด หนวดก็จะมีการงอกขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ วิธีรักษาด้วยการดูดออก จึงไม่สามารถรักษาสิวเสี้ยนให้หายขาดได้ เป็นเพียงการกำจัดออกไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น

การลอกหน้า

เป็นวิธีการกำจัดสิวเสี้ยนด้วยการมาส์คหน้า ลงไปในบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยน เพื่อให้เนื้อมาส์คซึมเข้าไปในผิวหนัง และเมื่อแห้งก็จะทำการดูดเอาสิวเสี้ยนทั้งรากออกมา

ในปัจจุบันมีวิธีการมาส์คหน้าเพื่อกำจัดสิวเสี้ยนอยู่หลายวิธี ทั้งการใช้แผ่นมาร์สหน้าสำเร็จรูป กาว หรือแม้แต่การใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ เช่น การมาส์คหน้าด้วยไข่ขาว แล้วแปะด้วยกระดาษเช็ดหน้าทิ้งเอาไว้จนแห้ง แล้วจึงลอกออก เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีวิธีการกำจัดสิวเสี้ยน ด้วยการใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน โดยนำแผ่นลอกสิวเสี้ยนปิดทิ้งเอาไว้ในบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยน 15 นาที แล้วลอกออก โดยส่วนใหญ่วิธีดังกล่าวมักที่จะใช้ในการกำจัดสิวเสี้ยนที่ขึ้นอยู่บริเวณจมูก

อย่างไรก็ตาม การลอกหน้า และการกำจัดสิวเสี้ยนโดยการใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยน อาจส่งผลให้ใบหน้าของคุณสาวๆ เกิดเสี่ยงต่อการเกิดรูขุมขนกว้าง สิวเสี้ยนก็ยังมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก และในบางครั้งอาจทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้น

การทาครีมรักษาสิวเสี้ยน

สำหรับส่วนผสมของตัวยาในครีมที่ใช้ในการรักษาสิวเสี้ยนที่ไม่รุนแรงนัก ในปัจจุบันมักจะมีส่วนผสมของสารตัวใดตัวหนึ่งใน 4 ชนิด ได้แก่  Benzoyl Peroxide, Retinoic Acid, Tretinoin,Clindamycim, Erythromycin และ Saiicylic Acid โดยส่วนใหญ่แล้ว ส่วนผสมของยารักษาสิวเสี้ยนเหล่านี้ จะมีผลช่วยในการลดไขมันอุดตัน และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P.acne ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวเสี้ยนขึ้น

ดังนั้นการทาครีมรักษาสิวเสี้ยนจึงเป็นการช่วยรักษาสิวเสี้ยนจากต้นตอของปัญหา และอ่อนโยนกับผิวหน้ามากกว่าวิธีการกำจัดสิวแบบอื่นๆ ที่ได้ทำการกล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น

ในปัจจุบันมี ผลิตภัณฑ์ครีมรักษาสิวเสี้ยนที่มีส่วนผสมเหล่านี้อยู่หลายยี่ห้อ ซึ่งคุณสาวๆสามารถเลือกซื้อได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถดูได้จากส่วนผสมที่อยู่ในฉลากข้างผลิตภัณฑ์ แต่อย่างไรก็ตามคุณสาวๆ ควรที่จะพิจารณาเลือกสินค้าที่มีกระแสตอบรับที่ที่ดีจากผู้ที่เคยทดลองใช้แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาสิวเสี้ยนได้อย่างดีเยี่ยม

ในขณะนี้ก็ได้มีผลิตภัณฑ์รักษาสิวเสี้ยน ที่กำลังได้รับความนิยมจากประเทศเกาหลีเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มคุณสาวๆ ที่ต้องการกำจัดสิวเสี้ยน

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รักษาสิวอักเสบ ด้วยการทายาแต้มสิว สามารถลดสิวได้ผลจริงหรือไม่

สำหรับคุณสาวๆ ที่กำลังประสบปัญหาเรื่อง สิวอักเสบเม็ดแดงๆ ทั้งขนาดเล็กขนาดใหญ่ ที่พากันยกพวกมาบุกขึ้นเต็มใบหน้าเลย แถมว่า ถึงแม้จะรักษาจนหายแล้ว ก็ยังมักที่จะทิ้งปัญหากวนใจอย่างรอยด่างดำ ริ้วรอย รวมไปถึงหลุมสิว เอาไว้ให้ดูต่างหน้าอีกต่างหาก 

รู้มั้ยคะว่า ความจริงแล้ว เจ้าสิวอักเสบตัวร้ายเหล่านี้ คุณสาวๆ สามารถที่จะทำการป้องกันได้โดยตัวเอง โดยการหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดสิว เพียงแค่เริ่มต้นจากการรักษาใบหน้าของตัวให้สะอาดอยู่เป็นประจำ หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลภาวะและฝุ่นละอองเป็นจำนวนมาก ควบคุมอาหารการกินที่จะทำให้เกิดสิว อย่างของทอด ของมัน ของเผ็ด ฯลฯ

แต่สำหรับคุณสาวๆ ที่เกิดปัญหาเรื่องสิวอักเสบขึ้นมาบนใบหน้าแล้ว และอยากที่จะกำจัดมันออกไป โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งแพทย์ตามคลินิกนั้น การรักษาสิวอักเสบด้วยการทายาแต้มสิว ถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งที่ดีในการช่วยลด และรักษาอาการอักเสบ อีกทั้งยังมีราคาถูก สามารถหาซื้อได้ง่าย

อย่างไรก็ตามคงจะมีคุณสาวๆบางคนเกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า  เอ๊ะ… แล้วการทายาแต้มสิวนั้น มันจะสามารถช่วยในการลด หรือรักษาสิวอักเสบบนใบหน้าของเราได้จริงๆ หรือ…?

มารู้จักกับยาแต้มสิว รักษาสิวอักเสบ ก่อนดีกว่า

            ก่อนที่จะเริ่มซื้อครีมแต้มสิวมาใช้ ควรมาทำความรู้จักกับยาแต้มสิวกันก่อนสักเล็กน้อยกันก่อน โดยยาแต้มสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

    1. ยาแต้มรักษาสิวชนิดฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยทำการยังยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของสิว ยาทาชนิดดังกล่าวจะอยู่ในกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น Clindamycim, Erythromycin, Metronidazole

 

  1. ยาแต้มรักษาสิวชนิดผลัดผิวเซลล์ เป็นยาที่ช่วยลดการอุดตันของสิว ทำให้สิวมีขนาดที่เล็กลง พร้อมกับละลายไขมันอุดตัน เป็นยาทาที่อยู่ในกลุ่มวิตามิน A กลุ่ม AHA และ AHB กลุ่ม Azelaic Acid ซึ่งจะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคด้วย รวมไปถึงยาทารักษาสิวในกลุ่ม Benzoyl

 

    1. ยาแต้มชนิดลดการอักเสบของสิว ใช้เพื่อลดอาการอักเสบบวมแดงของสิว ได้แก่ ยาทารักษาสิวกลุ่ม Streroid ซึ่งควรใช้เพียงรักษาสิวให้หายแล้วหยุดทันที เพราะหากใช้นานจนเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวขึ้น

 

  1. ยาแต้มรักษาสิวกลุ่มอื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยทำให้หัวสิวแห้ง ลดรอยแดงของสิว และทำให้รอยดูจางลง อาทิ เช่น Resorcinol, Licorice Extract PU40, Vitamin B3, Sulfate, Zinc Oxide เป็นต้น

            โดยส่วนใหญ่แล้ว การรักษาสิวอักเสบโดยการใช้ยาทาสิว ถึงแม้จะไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการรักษาเรื่องสิว มักที่จะแนะนำให้ทายารักษาสิวชนิดต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย เพราะใบหน้าของคุณสาวๆ ย่อมมีโอกาสที่จะได้เผชิญกับเชื้อแบคทีเรียจากมลภาวะในชีวิตประจำวันอยู่เป็นประจำ

เชื้อโรคหรือแบคทีเรียตัวหลักเลย ที่ทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้น คือ P.acnes ซึ่งมันจะเข้าไปย่อยไขมันจากต่อมไขมัน เมื่อไขมันที่สะสมอยู่ตามรูขุมขน เกิดการทำปฏิกิริยากับเชื้อแบคทีเรียก็จะทำให้เกิดการอักเสบของสิวขึ้น

จากข้อมูลการรักษาสิวอักเสบที่ได้กล่าวไปแล้ว จะทำให้เห็นว่าการใช้ยาทาแต้มสิว สามารถช่วยลดและรักษาอาการสิวอักเสบได้ แต่ควรที่จะพิจารณาเลือกใช้ยาแต้มสิวที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเกิดสิว

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

สิวหัวหนองเกิดจากอะไร มีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง

เมื่อคุณสาวๆ ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แล้วส่องกระจกพบว่าเจ้าสิวบนใบหน้า ได้แปลงร่างกลายไปเป็นสิวหัวหนองเม็ดโต ที่มีหัวสีขาวๆ เหลืองๆ อวดโฉมให้เห็นอย่างชัดเจน คุณสาวๆ บางรายก็คงแทบจะกรี๊ด…. สลบกันไปเลยทีเดียว เพียงแค่สิวธรรมดาก็คงไม่มีใครอยากที่จะอยากจะเห็นบนใบหน้าของตัวเองแล้ว ยิ่งเป็นเจ้าสิวหัวหนองยิ่งไม่ต้องพูดถึง

นอกจากจะยากต่อการปกปิดจนทำให้คุณสาวๆหมดสวย พร้อมทั้งรู้สึกอายแล้ว ในกรณีที่มีการอักเสบมากๆ ยังทำให้รู้สึกทั้งเจ็บทั้งปวดอีกต่างหาก

สิวหัวหนองเกิดขึ้นมาจากอะไร?

สิวหัวหนอง ถือว่าเป็นสิวอักเสบประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการอักเสบของเซลล์ผิว เนื่องจากมีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดตัน หรือเกิดขึ้นจากอุดตันของไขมันที่ร่างกายทำการขับออกมาจากรูขุมขน เมื่อแบคทีเรียในสภาพแวดล้อมรอบๆตัวเข้าไปทำปฏิกิริยาย่อยสลายไขมันเหล่านั้น แล้วเกิดการย่อยสลายที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้เกิดการอักเสบขึ้นจนกลายเป็นหนอง

สิวหัวหนอง จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูนและมีหนองอยู่ภายใน โดยจะมีทั้งขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ถ้าหากเป็นสิวหัวหนองชนิดที่อยู่ตื้นจะสามารถรักษาหายได้อย่างรวดเร็ว แต่หากเป็นสิวหัวหนองชนิดลึก ซึ่งมีความรุนแรงมักจะมีอาการเจ็บปวด ซึ่งเกิดขึ้นมาจากการทำปฏิกิริยาย่อยสลายไขมันของเชื้อแบคทีเรีย

สิวหัวหนอง เป็นสิ่งที่สามารถหายได้เองตามธรรมชาติ แต่หากปล่อยเอาไว้เฉยๆ โดยไม่ทำการรักษาให้ถูกวิธีก็อาจทำให้หลงเหลือเชื้อเอาไว้ หรือมีหัวสิวแข็งเป็นไตๆ รวมไปถึงการกลายเป็นสิวอุดตันเรื้อรัง ซึ่งนำไปสู่อาการอักเสบของสิวได้อีกในอนาคต

ถ้าหากเป็นสิวหัวหนองเรื้อรังในระยะเวลานานๆ อาจจะกลายไปเป็นฝีหนอง หรือกลายเป็นสิวหัวช้าง ซึ่งมีความอันตรายมากกว่าได้

วิธีรักษาสิวหัวหนอง

1. การรักษาโดยวิธีการทางธรรมชาติ เริ่มต้นจากวิธีการรักษาสิวหัวหนอง โดยวิธีการทางธรรมชาติกันก่อน โดยการนำสิ่งที่มีอยู่ในครัวเรือนมาใช้ในการรักษาสิวหัวหนองให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังต่อไปนี้

น้ำมันมะพร้าว หรือบัวหิมะ นำมาแต้มที่บริเวณที่เป็นสิวหัวหนองจะเป็นการช่วยทำให้สิวหัวหนองค่อยๆหลุดออกมาเองตามธรรมชาติ ซึ่งน้ำมันมะพร้าว และบัวหิมะสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำ หรือตามต่างจังหวัดอาจจะหาซื้อได้ตามร้านสมุนไพรทั่วไป

น้ำอุ่นผสมเกลือ นำน้ำอุ่นผสมกับเกลือ แล้วทิ้งเอาไว้ให้เย็นลงเล็กน้อย แล้วนำมาทาบริเวณที่เป็นสิวหัวหนอง ทิ้งเอาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง แล้วใช้คัลเติ้ลบัตเช็ดออก หนองที่อยู่บริเวณหัวสิวจะเยิ้มหลุดออกมา ทำการเช็ดออกแล้วทาด้วยยาแต้มสิว

ทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด เป็นวิธีการรักษาสิวหัวหนองแบบพื้นฐาน โดยการหมั่นทำความสะอาดบริเวณที่เป็นสิวหัวหนองด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ แล้วสิวหัวหนองจะค่อยๆ สลายตัวไปเอง

2. การบีบสิวหัวหนองอย่างถูกวิธี สำหรับวิธีนี้อาจจะเป็นที่ถูกอกถูกใจสำหรับคุณสาวๆที่มันเขี้ยว อยากจะกำจัดสิวหัวหนองให้ออกไปจากใบหน้าให้เร็วที่สุด การบีบสิวเป็นหนึ่งในการรักษาสิวหัวหนองที่ใช้กันมาช้านาน แม้แต่ในปัจจุบันเมื่อไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะทำการรักษาสิวหัวหนองโดยการกดบีบออก ซึ่งเป็นมาตรฐานในการรักษาแบบพื้นฐาน

การบีบสิวหัวหนองด้วยตนเองเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ แต่อย่างไรก็ตามควรจะทำการบีบสิวให้ถูกวิธี เพราะไม่เช่นนั้นนอกจากจะทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยด่างดำจากสิวมากขึ้น ยังอาจทำให้สิวหัวหนองเกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

การบีบสิวหัวหนองที่ถูกวิธี ควรเริ่มจากการสร้างทางออกให้กับหนอง โดยใช้เข็มสะอาด หรือไม้จิ้มฟันที่ผ่านการทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้อแล้ว จิ้มหัวหนองอย่างเบามือ แล้วค่อยๆใช้คัลเติ้ลบัต จำนวน 2 อันบีบหัวสิวเข้าหากันให้แรงและเร็วที่สุด เพราะยิ่งทำแบบช้าๆเบามือมากเท่าไหร่ ผิวหนังที่ถูกบีบโดยรอบก็จะยิ่งเกิดการอักเสบมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อสิวหนองหลุดออกจนหมดแล้วให้แต้มด้วยครีมลดรอยดำจากสิว เพราะหากปล่อยให้สิวหนองอักเสบอยู่เป็นเวลานานๆโดยไม่นำหนองออก เซลล์ในบริเวณนั้นจะตาย และทำให้เกิดหลุมสิวขนาดใหญ่ขึ้น

อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาที่ได้แนะนำมาแล้วในตอนต้นนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ วิธีการรักษาสิวที่ดีที่สุด ก็ยังคงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดสิวขึ้นมาตั้งแต่แรก

การควบคุมอาหารไม่ทานของมันมากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กำจัดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ รวมไปถึงการดูแลรักษาความสะอาดของใบหน้าอยู่เป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวหัวหนองขึ้นบนใบหน้าได้มากทีเดียว

สำหรับคุณสาวๆ ที่อยากปกป้องใบหน้าจากสิว พร้อมกับรักษาสิว และริ้วรอยด่างดำจากสิวควบคู่กันไปอย่างง่ายๆ สามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำดังต่อไปนี้ ซึ่งจะให้ผลเช่นเดียวกับการรักษาริ้วรอยจากสิวโดยวิธีการทางธรรมชาติ

การรักษาสิวหัวหนองให้หายอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยการใช้เวชสำอางเสริม
การดูแลรักษาใบหน้าให้ปราศจากสิวในยุคที่เต็มไปด้วยมลภาวะ และมลพิษมากมายรอบตัวตลอดทั้งวันเป็นสิ่งที่ยาก โดยเฉพาะกับคนที่เกิดปัญหาสิวหัวหนอง ที่จำเป็นจะต้องทำการรักษาอย่างใจเย็น เนื่องจากมีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งต่อการเกิดร่องรอยหลุมสิว แผลเป็นหลังจากที่ทำการรักษาแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลรักษาสิวหัวหนองคือ ยิ่งคุณชะล่าใจปล่อยสิวหัวหนองทิ้งเอาไว้นานเท่าไหร่ โอกาสในการเกิดแผลเป็นก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการใช้เวชสำอาง เข้ามาช่วยในการรักษาสิวหัวหนองเพื่อให้หายขาดรวดเร็วมากยิ่งขึ้นนั้น จึงยิ่งเป็นการลดโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาความงาม ไม่เรียบเนียนของใบหน้าได้ดีที่สุด ซึ่งในวันนี้ผู้เขียนก็อยากที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์เวชสำอางคนำเข้าจากประเทศเกาหลีชิ้นหนึ่ง ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาให้มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวหัวหนองอย่างอ่อนโยนโดยเฉพาะเลยทีเดียว

 

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รีวิว ครีมแต้มสิวตัวไหนดีที่สุด?

ครีมแต้มสิว คือ ผลิตภัณฑ์รักษาสิวในรูปแบบของเนื้อครีม โดยมีส่วนผสมของยารวมไปถึงสารสกัดต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพช่วยในการรักษาสิว หรือรักษารอยด่างดำจากสิว ซึ่งครีมแต้มสิวเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับคุณสาวๆ ที่ต้องการจะกำจัดปัญหาเรื่องสิวออกไปจากใบหน้า ด้วยราคาที่ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย และยังเป็นการจัดการกับปัญหาเรื่องสิวได้อย่างง่ายๆด้วยตัวเอง

ซึ่งในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ครีมแต้มสิวขายอยู่ในท้องตลาดมากกมายหลายยี่ห้อ โดยมีตั้งแต่ราคาไม่เกิน 100 บาท ไปจนถึงราคาหลายร้อยบาท แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกซื้อครีมแต้มสิว ควรจะพิจารณาในเรื่องของประสิทธิภาพในการรักษาสิวมากกว่าเรื่องราคา

สำหรับคุณสาวๆ ที่ยังเกิดความลังเลว่าควรจะเลือกซื้อครีมแต้มสิวยี่ห้อไหนดีอยู่นั้น สำหรับในวันนี้จะขอพาไปแนะนำครีมแต้มเพื่อรักษาสิวที่ได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน ว่ามีอะไรกันบ้าง?

มารู้จักกับยาแต้มสิวกันก่อนดีกว่า

ก่อนจะเริ่มที่จะซื้อครีมแต้มสิวมาใช้ ควรมาทำความรู้จักกับยาแต้มสิวกันก่อนสักเล็กน้อย โดยยาแต้มสิวสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังต่อไปนี้

1.ยาทารักษาสิวชนิดฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยทำการยังยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของสิว ยาทาชนิดดังกล่าวจะอยู่ในกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น Clindamycim, Erythromycin, Metronidazole

2.ยาทารักษาสิวชนิดผลัดผิวเซลล์ เป็นยาที่ช่วยลดการอุดตันของสิว ทำให้สิวมีขนาดที่เล็กลง พร้อมกับละลายไขมันอุดตัน เป็นยาทาที่อยู่ในกลุ่มวิตามิน A กลุ่ม AHA และ AHB กลุ่ม Azelaic Acid ซึ่งจะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคด้วย รวมไปถึงยาทารักษาสิวในกลุ่ม Benzoyl

3. ยาทาชนิดลดการอักเสบของสิว ใช้เพื่อลดอาการอักเสบบวมแดงของสิว ได้แก่ ยาทารักษาสิวกลุ่ม Steroids ซึ่งควรใช้เพียงรักษาสิวให้หายแล้วหยุดทันที เพราะหากใช้นานจนเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อผิวขึ้น

4. ยาทารักษาสิวกลุ่มอื่นๆ ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยทำให้หัวสิวแห้ง ลดรอยแดงของสิว และทำให้รอยดูจางลง อาทิ เช่น Resorcinol, Licorice Extract PU40, Vitamin B3, Sulfate, Zinc Oxide เป็นต้น

ยาทาสิว และครีมแต้มสิวที่ได้รับความนิยมใน Pantip

สำหรับยาหรือครีมแต้มสิวที่ได้รับความนิยม และได้รับการแนะนำให้ใช้จากทั้งกูรูด้านความงาม รวมไปถึงสมาชิกภายในเว็บบอร์ดของ Pantip ว่าสามารถใช้ได้ผลในการรักษาสิวอย่างดีเยี่ยม ซึ่งได้ทำการรวบรวมมา มีดังต่อไปนี้

1. Clinda M ตัวยาจะอยู่ในรูปแบบของน้ำใสๆ ใช้แต้มบริเวณที่เป็นสิวหนอง หรือสิวอักเสบจะช่วยในการฆ่าเชื้อสิว และทำให้สิวแห้งหายไวมากขึ้น ควรล้างหน้าให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนทา

2. Benzac AC เป็นยา Benaoyl Peroxide มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรค P.acne :ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวอักเสบอย่างได้ผล มีความเข้มข้นของยาตั้งแต่ 2.5% ,5 % และ 10% แนะนำให้ใช้ความเข้มข้นเพียง 2.5% ก็เพียงพอแล้ว ถ้าหากใช้ไม่ได้ผลค่อยเพิ่มระดับความเข้มข้นให้มากขึ้น ใช้สำหรับแต้มสิวก่อนนอน สำหรับสิวเม็ดเล็กๆ ในตอนเช้าก็จะยุบ แต่ถ้าหากเป็นสิวเม็ดใหญ่ๆ หรือสิวหัวช้าง อาจต้องใช้เวลาในการรักษาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

3. Smooth E Acne Hydro Gel มีลักษณะเป็นเนื้อเจลสีขาวขุ่น มีฤทธิ์ในการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ใช้ได้กับสิวอักเสบ และสิวอุดตัน เมื่อใช้แล้วสิวจะแห้งลอกหลุดออกเหมือนกับสะเก็ดแผล

4. Clindalin Gel เป็นเจลเนื้อใส เมื่อแต้มหัวสิว หรือสิวอักเสบเป็นประจำ สิวจะยุบตัวลงได้เป็นอย่างดี

5. Acnevir Adult Formula Acne & Redness Relief Gel ช่วยลดรอยแดงจากสิว รักษาสิวอุดตันสิวอักเสบ โดยมีส่วนผสมของ salicylic acid สำหรับยาแต้มสิวตัวนี้ค่อนข้างจะหาซื้อยากสักหน่อย เนื่องจากเป็นสินค้านำเข้าจากอเมริกา

6. Mint julep Masque เป็นมินส์มาร์คหน้า ที่มีสรรพคุณในการช่วยเรื่องสิวอักเสบ และเมื่อพอกบ่อยๆสิวจะลดลง ยังสามารถนำไปใช้แต้มหัวสิว ทำให้สิวอักเสบยุบลงและแห้งไวมากขึ้น สิวเสี้ยนลดลง รูขุมขนกระชับมากขึ้น

7. Joa cream pack สามารถช่วยในการรักษาสิวที่อักเสบ โดยทาทิ้งเอาไว้ 5-10 นาที ในตอนเช้าหรือจะแต้มหัวสิวเอาไว้ก่อนนอนก็ได้

8. Rentin-A เป็นกรดวิตามินเอ มีลักษณะเป็นครีม สามารถรักษาสิวได้ดี แต่จะทำให้ผิวหนังมีความไวต่อแสงมากขึ้น ดังนั้นควรที่จะทาก่อนนอน และไม่ควรทาบนหัวสิวอักเสบ เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น ไม่เหมาะกับคนที่มีสภาพผิวที่แพ้ง่าย ควรใช้ระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น

9. Fucidin เหมาะสำหรับการใช้แต้มเพื่อรักษาสิวอักเสบเท่านั้น เนื่องจากเป็นยาปฏิชีวะนะที่มีฤทธิ์ในการต้อต้านเชื้อแบคทีเรีย

10. Differin เป็นกรดวิตามินเอ ในรูปแบบของเจล ใช้ทาปริมาณเล็กน้อยเฉพาะหัวสิว สามารถรักษาสิวอุดตันได้เป็นอย่างดี ไม่ควรทาในบริเวณที่เป็นสิวอักเสบ และเป็นครีมที่มีความไวต่อแสง ดังนั้นควรทาหลังจากการอาบน้ำในช่วงเย็นเท่านั้น

11. ผงวิเศษ เป็นยาแต้มสิวแบบพื้นบ้าน โดยการผสมผงวิเศษเข้ากับมะนาว หรือไพลกับน้ำสะอาด แล้วนำไปพอกลงบนหัวสิว

 นอกจากครีมแต้มสิว ที่ได้ทำการแนะไปแล้วในข้างต้น การรักษาสิวแบบเฉพาะจุดอย่างรวดเร็วนั้น ยังสามารถทำได้ด้วยการใช้เวชสำอาง ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในการรักษาสิวบนใบหน้าที่ต้องการความ่อ่อนโยนสูงโดยเฉพาะ สำหรับในวันนี้ ผู้เขียนก็มีผลิตภัณฑ์เวฃสำอางที่มีประสิทธิภาพดีเยี่ยมในการดูแล รักษาสิวโดยเฉพาะนำเข้าจากประเทศเกาหลี  ซึ่งเป็นหนึ่งในเคล็ดลับในการรักษาสิวอย่างรวดเร็วของสาวๆชาวเกาหลี มาแนะนำให้กับผู้อ่านได้รู้จักกัน

 

        สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.