นิ้วล็อคเกิดจากอะไร รักษายังไง ให้หายเร็ว

         นิ้วล็อค เป็นอาการที่เราได้ยินกันมาเนิ่นนานตั้งแต่เด็กๆ โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นกับบรรดาแม่บ้านทั้งหลายที่ไปจับจ่ายซื้อของในตลาด แล้วเดินกลับบ้านพร้อมกับถุงหิ้วพลาสติกที่บรรจุของหนักๆไว้เต็มอัตรา โดยใช้นิ้วมือเกี่ยวถุงเหล่านั้นไว้ พอเวลาผ่านไปไม่นานนิ้วของเธอก็เริ่มบวมเปล่งจนกลายเป็นอาการนิ้วล็อคในที่สุด อย่างไรก็ตาม คุณเคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมแม่บ้านเหล่านั้นถึงเป็นนิ้วล็อคกัน


นิ้วล็อค เกิดจากอะไร

         ส่วนใหญ่มักจะเป็นนิ้วล็อคกันที่นิ้วหัวแม่มือทั้ง 2 ข้าง สาเหตุมาจากพังผืดยึดหุ้มบริเวณข้อนิ้ว เมื่อเป็นแล้วจะมีอาการปวดมาก นิ้วหัวแม่มืองอไม่ได้ ทำให้จับปากกาเขียนหนังสือหรือทำอะไรไม่ถนัด ที่สำคัญคือจะมีอาการปวดตลอดเวลา บางคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดว่าเส้นยึดธรรมดาเลยเอาน้ำมันทาถูนวด จึงทำให้มีอาการปวดมากขึ้นและไม่หาย สุดท้ายต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางที่โรงพยาบาล
         การชอบเราหิ้วของหนักๆด้วยนิ้วแล้วต่อมาเป็นนิ้วล็อก ก็เพราะว่าโรคนี้เกิดจากการเสียดสีและถูไถของเอ็นในช่องเอ็นทำให้เกิดการอักเสบขึ้นที่ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณข้อโคนนิ้ว ปลอกหุ้มเอ็นมักหนาขึ้น และรัดเอ็นจนทำให้เอ็นบวมและคลำเป็นปมขึ้นมา ผู้ที่มีการใช้นิ้วมากๆ หรือใช้นิ้วมือในการเกี่ยวยกของหนักบ่อยๆ จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้นั่นเอง ซึ่งอาการของโรคนี้แบ่งเป็น 4 ระยะ คือ 
         1.ระยะแรก มีอาการปวดเป็นอาการหลัก โดยจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ และจะมีอาการปวดมากขึ้น ถ้าเอานิ้วกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า แต่ยังไม่มีอาการติดสะดุด
         2.ระยะที่สอง มีอาการสะดุด (triggering) เป็นอาการหลัก และอาการปวดก็มักจะเพิ่มมากขึ้นด้วย เวลาขยับนิ้ว งอ และเหยียดนิ้ว จะมีการสะดุดจนรู้สึกได้
         3.ระยะที่สาม มีอาการติดล็อคเป็นอาการหลัก โดยเมื่องอนิ้วลงไปแล้ว จะติดล็อคจนไม่สามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยแกะ หรืออาจมีอาการมากขึ้นจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง
         4.ระยะที่สี่ มีการอักเสบบวมมาก จนนิ้วบวมติดอยู่ในท่างอเล็กน้อย ไม่สามารถเหยียดให้ตรงได้ ถ้าใช้มือมาช่วยเหยียดจะปวดมาก

 

นิ้วล็อค รักษาอย่างไร
         การรักษาโรคนิ้วล็อคมีด้วยกันหลายวิธี แต่ส่วนใหญ่แล้วแพทย์จะแนะนำให้คนไข้ใช้มือให้น้อยลง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้มือเสียใหม่ หลีกเลี่ยงการนวดหรือดัดนิ้วแรงๆ และอาจมีการรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย ไปจนถึงการรักษาด้วยการใช้ยาจำพวกสเตียรอยด์ฉีดเข้าตรงเอ็นบริเวณนั้น
         ทั้งนี้ หากอาการยังไม่ดีขึ้นแพทย์อาจจะพิจารณารักษาด้วยวิธีการผ่าตัดนิ้วล็อค โดยกรีดโพรงเอ็นที่หุ้มอยู่ให้เปิดออก ใช้เวลาไม่นาน ไม่กี่วันอาการนิ้วล็อกจะหายเป็นปกติ กระนั้นก็ดี การรักษาด้วยการผ่าตัดอาจก่อให้เกิดพังผืดขึ้นในภายหลังและมีโอกาสกลับมาเป็นโรคนิ้วล็อคได้อีกครั้ง นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว ยังสามารถรักษาโดยแพทย์ทางเลือกด้วย อย่างเช่น วิธีการฝังเข็ม เป็นต้น


ไม่อยากนิ้วล็อค ต้องปฏิบัติอย่างไร

         1.ไม่หิ้วของหนัก เช่น ถุงพลาสติก ตะกร้า ถังน้ำ โดยเฉพาะบรรดาแม่บ้านทั้งหลาย ถ้าจำเป็นต้องหิ้ว ควรใช้ผ้าขนหนูรองและหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ แทนที่จะให้น้ำหนักตกที่ข้อนิ้วมือ หรือใช้วิธีการอุ้มประคองช่วยลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือได้
         2.ไม่ควรบิดหรือซักผ้าด้วยมือเปล่าจำนวนมากๆ และไม่ควรบิดผ้าให้แห้งสนิท เพราะจะยึดปลอกหุ้มเอ็นจนคราก และเป็นจุดเริ่มต้นของโรคนิ้วล็อค
         3.ระวังการกำหรือบดเครื่องมือทุ่นแรง เวลาทำงานที่ต้องอาศัยอุปกรณ์ช่าง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ ควรใส่ถุงมือหรือห่อหุ้มด้ามจับให้ใหญ่และนุ่มขึ้น

         4.ชาวสวนควรระวังเรื่องการตัดกิ่งไม้ด้วยกรรไกร หรืออื่นๆที่ใช้แรงมือควรใส่ถุงมือเพื่อลดการบาดเจ็บของปลอกเอ็นกับเส้นเอ็น และควรใช้สายยางรดน้ำต้นไม้แทนการหิ้วถังน้ำ
         5.คนที่ยกของหนักๆเป็นประจำ เช่นคนส่งน้ำขวด ถังแก๊ส แม่ครัวพ่อครัว ควรหลีกเลี่ยงการยกมือเปล่า ควรมีผ้านุ่มๆ มารองจับขณะยก และใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น รถเข็น รถลาก
         6.ควรใช้เครื่องทุ่นแรง หากจำเป็นต้องทำงานที่ต้องใช้มือกำ หยิบ บีบ เครื่องมือเป็นเวลานานๆ เช่น ใช้ผ้าห่อที่จับให้หนานุ่ม เช่น ใช้ผ้าห่อด้ามจับตะหลิวในอาชีพแม่ครัวพ่อครัว
         7.รู้จักพักมือบ้าง หากทำงานบางอย่างต้องใช้เวลานานต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้มือเมื่อยล้าหรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ เช่น ทำ 45 นาที และพักมือสัก 10 นาที เป็นต้น

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ปวดไหล่ อันตรายที่อาจเรื้อรัง มาดูวิธีรักษาให้หาย

         เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีอาการปวดไหล่ ซึ่งในบางรายอาจหายไปเองเนื่องจากเป็นเพียงการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ จากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การออกกำลังกาย เป็นต้น ทั้งนี้ หากอาการปวดไหล่ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และส่อแววมาจะทวีความรุนแรงมากขึ้น กรณีนี้คุณอาจกำลังเผชิญกับโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังอยู่ก็เป็นได้ ดังนั้น การปวดไหล่จึงเป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม


ปวดไหล่ เรื้อรัง เกิดจากอะไร

         อาการปวดไหล่ที่เรื้อรัง ปวดๆหายๆมาเป็นเวลานาน หรือในบางคนเวลากดที่ไหล่จะรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา แสดงว่าคุณอาจเป็นโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง ซึ่งเกิดจาก
         1.กล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น การออกกำลังที่หักโหมจนอาจเกิดกล้ามเนื้อฉีก การใช้งานกล้ามเนื้อหนัก หรือยกของหนักจนเกินไป
         2.การขาดการออกกำลังกาย ถ้าคุณไม่ได้ออกกำลังกล้ามเนื้อเลย เช่น อาจเกิดหลังผ่าตัดทำให้ต้องนอนติดเตียงนาน เมื่อฟื้นก็ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรังได้
         3.ความเครียดชื่อกันว่าผู้ที่ปวดไหล่จากโรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง เมื่อเกิดความเครียด มีโอกาสที่จะบีบนวดแบบเค้นกล้ามเนื้อตัวเองแรงๆ ทำให้กล้ามเนื้อสร้างจุดกดเจ็บมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักอยู่ในวัยทำงาน ต้องมีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับความเครียด ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ จึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอย่างอาการปวดไหล่ได้ ซึ่งพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย


ท่าบริหารลดอาการปวดไหล่ เรื้อรัง

         การรักษาอาการปวดไหล่เรื้อรังให้หายขาด ควรรักษาตามความรุนแรงและสาเหตุ ซึ่งถ้าจะให้ดีควรได้รับการวินิจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะในบางกรณีอาจเกิดจากภาวะกระดูกทับเส้นประสาท ต้องได้รับการผ่าตัดจึงจะหายขาด อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่มักเกิดอาการปวดไหล่เป็นประจำ โดยเฉพาะหลังจากทำงาน แนะนำให้บริหารกล้ามเนื้อไหล่และคอ ดังนี้
         ท่าที่ 1 ฝึกเกร็งกล้ามเนื้อคอด้านหน้าและหลัง เอาฝ่ามือมาวางตั้งไว้ที่หน้าผาก ออกแรงเกร็งคอ ไม่ต้องแรงมาก ต้านกับแรงดันของฝ่ามือ ทำค้างไว้ 10– 5 วินาที กล้ามเนื้อคอจะเกร็ง ระยะยาวช่วยให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงขึ้น
         ท่าที่ 2 ฝึกเกร็งกล้ามเนื้อคอด้านข้าง เอาฝ่ามือมาวางตั้งไว้ที่ข้างศีรษะ ออกแรงเกร็งคอ ไม่ต้องแรงมาก ต้านกับแรงดันของฝ่ามือ ทำค้างไว้ 10–15 วินาที กล้ามเนื้อคอจะเกร็ง ระยะยาวช่วยให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงขึ้น

         ท่าที่ 3 ฝึกเกร็งกล้ามเนื้อที่ใช้สำหรับหันคอ เอาฝ่ามือมาวางแนบแก้ม ออกแรงหันคอ ต้านกับแรงดันของฝ่ามือ ทำสลับซ้าย–ขวา ค้างไว้ข้างละ 10–15 วินาที กล้ามเนื้อคอจะเกร็ง ระยะยาวช่วยให้กล้ามเนื้อคอแข็งแรงขึ้น
         ท่าที่ 4 ยืดกล้ามเนื้อคอด้านข้างและไหล่ เอาฝ่ามือวางบนศีรษะ เอียงคอไปด้านข้างจนเกิดแรงตึงที่ลำคอและไหล่ ทำสลับซ้าย–ขวา ค้างไว้ข้างละ 10–15 วินาที ท่านี้ช่วยยืดกล้ามเนื้อคอด้านข้างและไหล่ ทำให้บรรเทาปวดและสบายขึ้น
         ท่าที่ 5 ยืดกล้ามเนื้อไหล่และสะบักส่วนบน ยื่นแขนข้างหนึ่งออกไปด้านหน้าตรงๆ แล้วใช้หลังมือของแขนอีกข้างวางทาบที่ข้อศอก ใช้หลังมือดันโน้มแขนข้างที่ยื่นออกไปเข้ามาจนตึง ถ้าทำถูกจะตึงที่ไหล่และสะบักส่วนบน ทำสลับซ้าย–ขวา ค้างไว้ข้างละ 10–15 วินาที ท่านี้ช่วยยืดกล้ามเนื้อหัวไหล่และสะบักส่วนบน ทำให้บรรเทาปวดและสบายขึ้น

 

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ปวดคอ บ่า ไหล่ เรื้อรัง ทำไงให้หาย

         อาการปวดคอ บ่า ไหล่ เกิดขึ้นได้ง่ายกับคนยุคนี้ ด้วยชีวิตประจำวันที่ต้องจ้องมองคอมเป็นเวลานานๆ โดยไม่ได้พักหรือลุกเดินเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย จึงส่งผลต่อกล้ามเนื้อและกระดูกภายใน อย่างไรก็ตาม หากยังคงปล่อยไม่ไว้ ไม่รีบแก้ไข ก็อาจทำให้อาการปวดคอ บ่า ไหล่ เรื้อรังได้ ฉะนั้น วันนี้เรามาดูกันว่าจะรักษาอาการปวดคอ บ่า และไหล่ได้อย่างไร


สาเหตุที่ทำให้ปวดคอ บ่า ไหล่

         ก่อนจะไปกันที่วิธีรักษาอาการปวด ควรทราบก่อนว่าสาเหตุที่ทำให้ ปวดคอ บ่า ไหล่ เกิดจากอะไร จะได้หาทางหลีกเลี่ยงตั้งแต่แรก ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับอาการปวดที่เรื้อรัง โดยสาเหตุมาจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอก ปัจจัยภายในก็ได้แก่ ความผิดปกติทางพยาธิสภาพของกระดูกสันหลัง อาทิ หมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท กระดูกสันหลังเสื่อม กระดูกสันหลังเคลื่อน กระดูกสันหลังคดงอผิดปกติ หรือมีเนื้องอกที่กระดูกสันหลัง ซึ่งต้องรับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
         สำหรับปัจจัยภายนอก ได้แก่ กิจวัตต่างๆของผู้ป่วย อาจเกิดจากท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนั่งอยู่ในท่าเดิมนานๆ การนั่งหลังไม่พิงพนัก หลังงอ ก้มคอทำงานเป็นเวลานาน กิจกรรมเหล่านี้สร้างความเครียดให้กับกระดูกหลังและคอ เมื่อเกิดขึ้นซ้ำๆ นานๆเข้าก็ทำให้กระดูกเสื่อมลง จนมีอาการปวดหลัง ปวดคอ ร้าวไปยันบ่า ไหล่จนเรื้อรังในที่สุด
         นอกจากนี้ปัจจัยภายนอก ยังอาจเกิดจากอุบัติเหตุที่ส่งผลต่อกระดูก อย่างเช่น รถเบรคกระทันหัน เล่นกีฬาบิดแรงจนหมอนรองกระดูกฉีก ทั้งนี้ บางรายมาพบแพทย์เพราะเข้าใจว่าอาการปวดเป็นเพราะอุบัติเหตุ แต่เมื่อตรวจดูกลับพบว่าความเสื่อมของกระดูกนั้นมีอยู่แล้ว แต่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดตามมา


วิธีรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่

         วิธีรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่จะขึ้นอยู่กับว่าเกิดจากสาเหตุใด ซึ่งมักจะต้องรักษาตามความรุนแรงของอาการ เช่น หากเกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อาจต้องมีการผ่าตัดโดยแพทย์เฉพาะทาง แต่หากเป็นอาการปวดคอทั่วๆไป ก็สามารถใช้วิธีนวดกดเส้นได้ กระนั้นก็ตาม วิธีรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่ เรื้อรังมีหลายวิธี
         1.รักษาด้วยยา เป็นวิธีรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ที่ใครๆก็ใช้กัน เพราะสะดวก ไม่ต้องเสียเวลา แต่ก็ใช่ว่าจะได้ผลทุกราย เพราะขึ้นอยู่กับอาการด้วย ยารักษาก็เช่น ยาลดปวด คลายกล้ามเนื้อ ยาลดกล้ามเนื้อเกร็ง ยากลุ่มฃต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ รวมทั้งการมช้ยาทาเฉพาะที่แก้ปวด
         2.รักษาด้วยการฉีดยาที่บริเวณจุดเจ็บ ซึ่งโดยมากนิยมใช้กลุ่มประเภทยาชาเฉพาะที่ ทั้งนี้ ต้องให้คนที่มีความเชี่ยวชาญอย่าง เช่น แพทย์ฉีดรักษาให้

         3.รักษาโดยการฝังเข็มเฉพาะที่ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยม โดยจะใช้เข็มฝังประเภทเดียวกับการฝังเข็มแบบจีน เพื่อทำการคลายจุดเจ็บเฉพาะที่ โดยไม่มีการใช้ยาใดๆ
         4.รักษาโดยการฝังเข็มแบบจีน เพื่อลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ รวมถึงบริเวนหลัง ซึ่งการฝังเข็มแบบจีนนี้ จะช่วยปรับสมดุลในร่างกาย (Chinese acupuncture)
         5.รักษาโดยการฉีดยาโบทูลินั่มทอกซิน A โดยฉีดที่จุดปวดของกล้ามเนื้อ หรือกล้ามเนื้อบริเวณจุดปวดนั้นๆ ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่าลดอาการปวดเกร็งได้ค่อนข้างดีเป็นระยะเวลายาวนาน (3-6 เดือน) แต่อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากปริ มาณและเทคนิคการฉีดสารชนิดนี้มีความสำคัญมาก เพราะอาจเกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราวได้ ถ้าปริมาณยาได้การฉีดไม่เหมาะสม
         6.รักษาด้วยวิธีทางกายภาพบำบัด เช่น การใช้อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ อย่างการใช้ความร้อน ความเย็น ความร้อนลึก (ultrasound) การนวด การยืดกล้ามเนื้อ เป็นต้น
         อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญในการรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่ คือการหาสาเหตุที่แท้จริงว่าอาการปวดเกิดจากอะไร จึงจะสามารถรักษาได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ทราบว่าร่างกายไม่ค่อยแข็ง หรือสุขภาพไม่ค่อยดีเนื่องจากอาการเรื้อรังก็สามารถหาอาหารเสริมบำรุงสุขภาพมารับประทานได้ เพราะจะช่วยฟื้นฟูบำร่างกายจากภายใน ทำให้กระปรี้กระเปร่าไม่เจ็บป่วยได้ง่าย

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีลดอาการปวดข้อเท้า หายได้เร็ว

         เท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญ ช่วยให้เราเดินเหิน ไปไหนมาไหนได้สะดวกสบาย ทั้งนี้ เนื่องจากเท้าเป็นสิ่งรับน้ำหนักทั้งหมดของน้ำหนักตัว ดังนั้น เมื่อเหตุสุดวิสัยเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดอาการปวดข้อเท้าได้ เนื่องจากข้อเท้าเป็นกลไกสำคัญสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างเท้ากับส่วนอื่นๆที่อยู่เหนือขึ้นมา จึงเปรียบเสมือนฟันเฟืองที่อาจมีการชำรุดเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น เราปวดข้อเท้า เราจึงจำเป็นต้องหาวิธีซ่อมบำรุงหรือลดอาการปวดให้หายไปโดยเร็ว ก่อนที่อาการจะรุนแรงหรือบริเวณอื่นๆได้รับผลกระทบตามไปด้วย


สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดข้อเท้า

         1.กิจกรรมที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ข้อเท้าและเท้า สาเหตุนี้เป็นอันดับต้นๆที่ทำให้เกิดอาการปวดข้อเท้า จะด้วยความประมาทหรือความผิดพลาดก็ตามแต่ ข้อเท้าก็มักจะได้รับบาดเจ็บจากกิจกรรมอย่างเช่น กีฬาที่ต้องกระโดด ได้แก่ บาสเกตบอล แบดมินตัน กีฬาที่ต้องวิ่งมาก รวมถึงกีฬาที่ต้องมีการกระทบกระแทก เช่น ฟุตบอล ฮอกกี้
         2.ปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดปัญหาที่เท้า ได้แก่ การสวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ใส่รองเท้าที่ไม่ถูกชนิดของกีฬา หรือการฝึกฝน ทำกิจกรรมที่ผิดหลักการ เช่น การวิ่งขึ้นเขา วิ่งบนถนนที่ขรุขระ จึงทำให้เกิดอาการอักเสบบริเวนเท้าที่ต้องใช้งานหนัก จนเกิดอาการปวดข้อเท้าได้
         3.ปัญหาที่มักจะเกิดที่ข้อเท้า เช่น ข้อเท้าพลิกหรือข้อเท้าแพลง มักเกิดกับกีฬาที่ต้องกระโดด เอ็นร้อยหวายอักเสบ มักจะเกิดกับกีฬาที่ต้องใช้กล้ามเนื้อน่องมาก เช่น บาสเกตบอล เพราะการกระโดดสูงๆจะมีโอกาสได้รับบาดเจ็บบริเวณเอ็นร้อยหวายได้มาก นอกจากนี้ยังอาจกเกิดจากเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ เนื่องจากการออกกำลังที่ไม่ถูกต้อ งผู้ป่วยจะมีอาการปวดฝ่าเท้าในตอนเช้ารามไปถึงข้อเท้าทั้งหมด
         นอกจากเหนือจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว อาการปวดข้อเท้าอาจเกิดขึ้นกับคนที่มีอายุมากๆหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการเสื่อมสภาพของกระดูก โดยเฉพาะคนที่ขาดแคลเซียมมาตั้งแต่วัยเด็กและวัยรุ่น เมื่อแก่ตัวจะมีปัญหาเกี่ยวกับโรคกระดูกได้ง่าย อย่างไรก็ตาม ในคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเกณฑ์ก็มีอโอกาสสูงมากที่จะเกิดอาการปวดข้อเท้า


วิธีลดอาการปวดข้อเท้า ด้วยตัวเอง

         1.ลดน้ำหนัก ใครที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนอ้วน และเริ่มมีอาการปวดข้อเท้า สันนิฐานได้เลยว่าเกิดจากการที่น้ำหนักตัวมาก จึงต้องลงน้ำหนักไปที่บริเวณเท้า ข้อเท้าจึงมีอาการปวดขึ้น ดังนั้น จึงควรลดน้ำหนักให้ได้ ไม่เช่นนั้น อาการปวดจะทวีความรุนแรง มีความเรื้อรัง ยากต่อการรักษาให้หายขาด ซึ่งในบางรายหลังจากลดน้ำหนักได้แล้ว อาการปวดข้อเท้าก็จะหายไปเองโดยไม่ต้องใช้วิธีอื่นๆ เช่น รับประทานยาแก้ปวด
         2.การประคบร้อน วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ปวดข้อเท้าอันเนื่องมากจากอาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะนักกีฬาที่เกิดอุบัติเหตุระหว่างฝึกซ้อม เพราะการประคบร้อนจะช่วยลดอาการปวดข้อเท้าได้อย่างเป็นอย่างดี โดยให้ประคบกระเป๋าน้ำร้อน 10-15 นาที วันละ 2 ครั้ง

         3.บริหารข้อเท้า เหมาะสำหรับคนที่ปวดข้อเท้าเรื้อรัง รวมถึงคนที่ต้องการทำให้ข้อเท้าของตัวเองมีความแข็งแรงขึ้น โดยท่าที่ 1 ให้นั่งห้อยขาข้างเตียง กระดกข้อเท้าขึ้น–ลง 10-20 ครั้ง ทำซ้ำ 2-3 เซ็ต ท่าที่ 2 ให้บิดเท้าออกด้านนอก วนไปเรื่อยๆ 10-20 ครั้ง แล้ววนกลับ 10-20 ครั้ง ทำ 2-3 เซ็ตต่อวัน
         4.พบแพทย์หากปวดข้อเท้ามาก หากลองมากหลายวิธีแล้วอาการปวดข้อเท้ายังไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริง เนื่องจากอาการบาดเจ็บมีหลายระดับ ได้แก่ 1) การบาดเจ็บภายในเส้นเอ็น แบบไม่มีการฉีกขาดให้เห็น 2) มีการฉีกขาดบางส่วนของเส้นเอ็น และ 3) มีการฉีกขาดแบบสมบูรณ์ ทั้งนี้ แพทย์จะวินิจฉัยและรักษาตามอาการ
         กระนั้นก็ตาม สิ่งสำคัญคือมีอาการปวดข้อเท้าคือ ควรหลีกเลี่ยงการใส่รองเท้ามีส้น เนื่องจากทำให้เกิดการแพลงซ้ำได้ง่ายกว่า เลือกรองเท้าที่มีความกว้างของส้น จะช่วยทำให้ข้อเท้ามั่นคงมากขึ้น หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาที่ใช้กล้ามเนื้อข้อเท้า เพื่อลดความเสี่ยงการบาดเจ็บ รอให้กล้ามเนื้อข้อเท้าหายดีก่อนที่จะกลับไปเล่นกีฬาซ้ำอีก และหากไปพบแพทย์ก็ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งคัด เพียงแค่นี้อาการปวดข้อเท้าก็จะหายไปในเร็ววัน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

กล้ามเนื้ออ่อนแรง รักษายังไง

         หลายคนอาจยังสงสัยว่ากล้ามเนื้ออ่อนแรงคืออะไร อธิบายง่ายๆคือ กล้ามเนื้ออ่อนแรงเป็นโรคชนิดหนึ่ง ภาษาอังกฤษเรียกว่า Amyotrophic Lateral Sclerosis (ALS) หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาทซึ่งอยู่ในสมองและไขสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อต่างๆตายหรือเสื่อมสภาพ โดยการเสื่อมสภาพของเซลล์ประสาทเหล่านี้มักจะค่อยๆเกิดขึ้นแบบไม่รู้ตัว กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวจริงๆก็เมื่อเกิดผลกระทบที่ชัดเจนแล้ว เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรง ขยับแขนขาไม่ได้ ขาแขนลีบ พูดไม่ได้ เป็นต้น

         ทั้งนี้ จากสถิติทั่วโลกพบว่า มีผู้ป่วยโรคนี้ไม่มากนัก โดยในประชากร 100,000 คน จะพบคนป่วยโรคนี้เพียง 4-6 คนเท่านั้น ขณะที่ในประชากร 100,000 คน จะมีโอกาสพบผู้ป่วยรายใหม่ เพียง 1.5-2.5 คนต่อปี โดยพบในผู้ที่มีอายุมากๆ เพราะอายุเฉลี่ยของผู้ป่วยโรคนี้อยู่ระหว่าง 60-65 ปี และพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 1.5 เท่า สำหรับข้อมูลในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ราว 3,000 คน ซึ่งถือว่าจำนวนผู้ป่วยยังไม่มากนัก แต่นับได้ว่าเป็นโรคที่น่ากลัว เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดนั่นเอง
         อย่างไรก็ตาม จากประวัติผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงร้อยละ 90 ยังไม่พบข้อมูลที่แน่ชัดว่าโรคนี้เกี่ยวข้องกับทางพันธุกรรม แต่ที่ผ่านมามักพบนักกีฬาที่ต้องมีการปะทะป่วยเป็นโรคนี้กันมาก เช่น นักเบสบอล นักฟุตบอล แม้กระทั่งนักมวย อย่าง “พเยาว์ พูลธรัตน์” วีรบุรุษผู้คว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขันโอลิมปิกเป็นคนแรกให้กับประเทศไทย ก็ต้องจบชีวิตลงด้วยโรคนี้ กระนั้นก็ตาม คนมีชื่อเสียงอย่าง Stephen Hawking นักฟิสิกส์ชื่อก้องโลก ก็ป่วยเป็นโรคนี้เช่นกัน

 

โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง รักษายังไง
         อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง รักษาให้หายได้หรือไม่ และด้วยวิธีการใด คำตอบที่น่ากลัวก็คือในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ โดยร้อยละ 50 ของผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยเฉลี่ยจะเสียชีวิตหลังจากมีอาการในระยะเวลาประมาณ 2 ปี มีประมาณร้อยละ 50 ที่จะมีชีวิตอยู่ได้ราว ๆ 5 ปี และมีแค่ร้อยละ 10 เท่านั้นที่อาจมีชีวิตอยู่ได้ 8-10 ปี
         อย่างไรก็ดี ยังมียาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ โดยองค์การอาหารและยาแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า ไรลูโซล (Riluzole) ให้สามารถใช้กับผู้ป่วยโรคนี้ได้ เพราะยาจะไปออกฤทธิ์ต่อต้านสารกลูตาเมต ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทชนิดหนึ่งที่ถ้ามีมากเกินไปจะทำให้เกิดการตายของเซลล์ ยาตัวนี้จึงจะไปช่วยลดการทำลายเซลล์ประสาทในไขสันหลังและสมองได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่สามารถช่วยทำให้อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงดีขึ้น ทำได้เพียงช่วยยืดอายุของผู้ป่วยออกไปได้อีกราว ๆ 3-6 เดือน
         เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แพทย์จึงต้องรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาลดน้ำลาย ยาแก้อาการท้องผูก ทำกายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด การฝึกพูด ฝึกกลืน หากผู้ป่วยกลืนอาหารไม่ได้ก็ต้องใส่สายยางให้อาหาร และถ้าเหนื่อยหอบ หายใจเองไม่ได้ แพทย์ก็จะใช้เครื่องช่วยหายใจอีกทาง

 

กัน (กล้ามเนื้ออ่อนแรง) ไว้ดีกว่าแก้
         เนื่องจากไม่มีการรักษาให้หายขาดได้ วิธีการป้องกันจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงปฏิบัติ โดยมีคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับหรือสัมผัสกับยาฆ่าแมลง โลหะหนัก และรังสีที่รุนแรง ซึ่งเชื่อว่าเป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ประสาทเสื่อมสภาพและตายลง ที่สำคัญคือควรหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง รับประทานอาหารที่สะอาดและมีประโยชน์ต่อร่างกาย อันเป็นการเสริมสร้างเกราะป้องกันโรคแบบเบสิคที่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเอง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ปวดเข่า ด้านใน ด้านนอก มาดูวิธีแก้ หายและเห็นผลเร็ว

         อาการปวดเข่า เป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่พบได้ทุกเพศทุกวัย เพราะเกิดได้จากหลายปัจจัย สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอาการปวดเข่าส่วนใหญ่เกิดจากการเสื่อมสภาพของเนื้อเยื่อตามธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นเด็กหรือวัยหนุ่มสาวก็มักเกิดจากอุบัติเหตุหรือการได้รับบาดเจ็บนั่นเอง อย่างไรก็ดี อาการปวดเข่าอาจเป็นที่มาของโรคข้อเข่าเสื่อมก็เป็นได้ ซึ่งจะทำให้มีอาการอักเสบ เข่าบวม เหยียดหรืองอขาได้ไม่สุด ส่งผลต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนั้น อาการปวดเข่าจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม


สาเหตุหลักที่ทำให้ปวดเข่า

         อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าอาการปวดเข่า เป็นสิ่งที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงได้ ดังนั้น ควรสำรวจตัวเองอยู่เสมอว่า มีอาการปวดเข่า ยืนนานๆแล้วรู้สึกปวด ลงน้ำหนักไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่งได้หรือไม่ รูปร่างของเข่าผิดปกติ หรือมีอาการเข่าบวม แดงร้อน มีไข้มากน้อยเพียงใด หากเริ่มมีอาการเหล่านี้ควรหาทางรักษาทันที ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้ปวดเข่า ได้แก่
         1.ข้อเข่าเสื่อม ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเสื่อมตามวัย มีมวลกระดูกลดลง หมอนรองกระดูกบางลง ขาดความยืดหยุ่นเอ็นหลวม ทำให้ข้อเข่าหลวมและปวดเข่า หรือเสื่อมจากการใช้งานหนัก เช่น แบกของหนัก นั่งงอเข่านานๆ ผู้หญิงใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานานๆน้ำหนักตัวเกิน นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากอุบัติเหตุ เล่นกีฬาหนักๆ ล้มกระแทกกันบ่อยๆ กระโดดบ่อยๆก็ทำให้ปวดเข่าได้เช่นกัน ซึ่งวัยรุ่นมักเป็นกันบ่อยๆ
         2.การฉีกขาดของเอ็นเข่า พบบ่อยในนักกีฬาที่ต้องใช้แรงปะทะกระแทกล้มบ่อยๆ เช่น ฟุตบอล บาสเกตบอล เป็นต้น หรืออาจเกิดจากอุบัติเหตุอย่างเช่น ตกบันได สะดุดล้ม ลื่นล้ม ฯลฯ


ท่าบริหารแก้อาการปวดเข่า เห็นผลไว

         ท่าบริหารแก้อาการปวดเข่านี้ เป็นการบริหารกล้ามเนื้อเหนือเข่า หรือกล้ามเนื้อควอดไดรเซ็บส์ ซึ่งการบริหารจะทำให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง แก้อาการปวดทั้งด้านในและด้านนอก โดยเป็นท่าบริหารแสนง่าย ใครๆก็ทำได้ ยิ่งบริหารบ่อยๆ วันละ 4-6 รอบ ในช่วงเริ่มต้น และ 5-10 รอบ เมื่อกล้ามเนื้อแข็งแรง รับรองอาการปวดเข่าจะหายเป็นปริดทิ้ง
         การบริหารข้อเข่ามี 2 ท่า คือ ท่านั่งกับท่านอน ท่านั่งให้นั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง นั่งให้หลังส่วนล่างชิดพนักพิง ต้นขาทั้ง 2 ข้างวางบนที่นั่ง เท้าวางราบบนพื้น ถ้าไม่มีอาการปวดเข่า สะโพก หรือหลัง แต่ถ้ามีอาการปวดให้ใช้อุปกรณ์ช่วยคือ เก้าอี้เสริมที่มีความสูงใกล้เคียงกัน มารองบริเวณหัวเข่า เพื่อให้ขาเหยียดได้ตรงขึ้น และมีให้การเคลื่อนขาส่วนใต้เข่าน้อยที่สุด จากนั้นก็ให้เกร็งกล้ามเนื้อเหนือเข่าทีละข้าง อย่าเกร็งพร้อมกันทั้งสองข้างเพราะจะบริหารได้ไม่เต็มที่ เมื่อเกร็งข้างใดข้างหนึ่งแล้วให้พยายามเหยียดขาตรง แล้วเกร็งค้างไว้นับ 1-10 ช้าๆ แล้วจังสลับข้าง

         สำหรับท่านอนก็คล้ายๆกัน แต่ให้นอนหงายบนที่นอน ที่ไม่นิ่มจนเกินไป หนุนศีรษะด้วยหมอน และใช้อุปกรณ์อย่างผ้าขนหนูมารองใต้ข้อพับเข่าทั้ง 2 ข้างเพื่อไม่ให้ส้นเท้ายันกับที่นอนขณะบริหาร และจะได้เกร็งกล้ามเนื้อเหนือเข่าง่ายขึ้น จากนั้นก็บริหารทีละข้างเหมือนท่านั่ง เพียงแค่นี้ก็จะช่วยให้อาการปวดเข่าค่อยๆทุเลาลงจนหายไปในที่สุด ทั้งนี้ หากอาการรุนแรงจนเกินเยียวยาด้วยตัวเอง จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง อย่าปล่อยไว้จนอาการเรื้อรังเป็นอันขาด

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ปวดหลังช่วยได้ หาย เห็นผล

         อาการปวดหลัง ปวดเอว เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กๆหรือวัยรุ่นที่เราคิดว่าพวกกำยำแข็งแรง ทั้งนี้ เนื่องจากอาการปวดหลังเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ การเสื่อมสภาพตามอายุและการใช้งาน ความผิดปกติแต่กำเนิด มะเร็งและเนื้องอกต่างๆ การติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักที่ทำให้ปวดหลังมี 2 อย่าง ได้แก่

         1.ปวดหลังเพราะการปวดกล้ามเนื้อ เป็นสาเหตุการปวดหลังที่จัดว่าไม่น่ากังวลมากนัก เพราะเป็นอาการที่เกิดมาจากกล้ามเนื้อส่วนหลังส่วนล่าง ทำให้เกิดอาการเกร็งบริเวณหลังของเรา เมื่อเกร็งมากๆก็จะทำให้เกิดอาการปวดหลังตามมาได้ สาเหตุนี้เป็นอาการปวดหลังที่มักเกิดขึ้นกับบรรดาวัยรุ่นที่ออกกำลังกายหนักเกินไป หรือเกิดจากอุบัติเหตุ
         2.ปวดหลังเพราะเป็นโรคไต หรือมีปัญหาที่หมอนรองกระดูกสันหลัง สาเหตุการปวดหลังแบบนี้ จัดได้ว่าร้ายแรงที่สุดก็ว่าได้ เพราะมีผลไปถึงการทำงานของไต หรือหมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งถ้าไม่รีบรักษา อาจจะทำให้กระดูกสันหลังมาเคลื่อนทับเส้นประสาทได้ ซึ่งถ้าหนักๆเข้าก็อาจทำให้เป็นโรคอัมพาตได้เลยทีเดียว


วิธีหลีกเลี่ยงอาการปวดหลัง

         หลายคนโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาวอาจไม่ค่อยให้ความสำคัญ กับการดูแลตัวเองไม่ให้เกิดอาการปวดหลัง ปวดเอวได้ง่าย พูดง่ายๆคือมีความประมาทในการใช้ชีวิต คิดว่าร่างกายยังแข็งแรงคงไม่เกิดอาการปวดหลังได้ง่ายๆ ทว่าชีวิตประจำวันบางอย่างก็อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนหลังมีอาการบาดเจ็บได้ ดังนั้น การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้ปวดหลังจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เริ่มมีอายุมากๆ
         1.เวลาจะหยิบของจากที่ต่ำ ควรใช้วิธีย่อตัวงไปหยิบของ แทนที่จะโน้มตัวลงไป
         2.พยายามยืนตัวให้ตรงอยู่เสมอ หากต้องยืนนานๆ ให้เปลี่ยนน้ำหนักไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่งอยู่บ่อยๆ
         3.นอนลงกับพื้นเมื่อโอกาสอำนวย เช่น ในระหว่างหยุดพักหรือหลังเลิกงาน
         4.หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการเดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำหรือเดินในน้ำลึกระดับหน้าอก เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกล้ามเนื้อขา ทั้งนี้ ต้องไม่หักโหมจะเกินไป
         5.ฝึกการทรงตัวโดยหลังพิงฝาผนัง ขยับขาทั้งสองยื่นไปข้างหน้า ประมาณหนึ่งฟุตครึ่ง ย่อตัวขึ้นลง เป็นการออกกำลังกายที่ดีมาก โดยเฉพาะคนที่มีอาการปวดหลัง
         6.ถ้ามีอาการปวดหลังอย่างหนัก และต่อเนื่องนานหลายคน หรือปวดไม่หาย ควรรีบไปพบแพทย์ อย่าปล่อยไว้เป็นอันขาด เพราะอาการปวดหลังอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่อาจคาดไม่ถึง


วิธีรักษาอาการปวดหลัง

         หลังจากเริ่มมีอาการปวดหลังขึ้น สิ่งสำคัญคือคุณไม่ควรนิ่งเฉย เพราะหากปล่อยไว้ จากที่เป็นอาการปวดกล้ามเนื้อทั่วไปอาจทำให้มีอาการเรื้อรังจนยากต่อการรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น ควรสำรวจตัวเองอยู่เสมอๆว่ามีอาการผิดปกติอย่างไรบ้าง หากมีอาการปวดหลังก็ให้ใช้วิธีรักษาเบื้องต้นดังต่อไปนี้
         1.นวดกดจุด เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถแก้อาการปวดหลังได้ชะงัด ซึ่งการนวดกดจุดแก้ปวดหลัง รวมถึงแก้ปวดเมื่อยต่างๆนั้นมีให้เลือกหลายศาสตร์ เช่น นวดแผนไทย นวดแผนจีน เป็นต้น ซึ่งแต่ละอย่างก็ได้ผลแตกต่างกันไป ทั้งนี้ ต้องได้รับการนวดกดจุดจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น มิเช่นนั้นอาจทำให้อาการปวดหลังทรุดหนักกว่าเดิมได้

         2.ท่าบริหารแก้ปวดหลัง การบริหารก็มีหลายท่าอีกเช่นกัน หนึ่งในท่าบริหารแก้ปวดหลังที่ได้ผลคือ ให้นอนหงายลงกับพื้น (นอนบนเสื่อหรือที่นอน) โดยนอนเหยียดตรงให้หลังแนบสนิทกับพื้น ส่วนแขนทั้ง 2 ข้างเหยียดตรงขึ้นด้านบน จากนั้นให้ไขว้ขาขวามาทับขาซ้ายพร้อมกับเหยียดตัวให้ตรง จะรู้สึกตึงๆที่หลัง นับ 1-10 แล้วเปลี่ยนข้างให้ไขว้ขาซ้ายมาทับขาขวาบ้าง นับ 1-10 แบบนี้นับเป็น 1 เซ็ต ให้ทำวันละ 10 เซ็ต จะรู้สึกว่า อาการปวดหลังดีขึ้น
         3.เปลี่ยนท่านอน โดยให้นอนหงายหรือนอนตะแคงข้างเท่านั้น การนอนหงายช่วยให้กระดูกสันหลังของเราราบไปกับพื้น ไม่แอ่น ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการปวดหลังไปได้ในระดับหนึ่ง สำหรับการนอนตะแคง เป็นท่านอนที่ช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี โดยนอนตะแคงไปทางด้านขวา ให้ขาซ้ายงอเล็กน้อย ส่วนขาขวาเหยียดตรง งอหลังได้เล็กน้อย จะช่วยให้เรานอนสบาย และลดอาการปวดหลังได้
         นอกเหนือจากวิธีการรักษาเบื้องต้นเหล่านี้แล้ว ยังมีการรักษาอื่นๆอีกมากมาย แต่ต้องดูความเหมาะสมของแต่ละคน รวมถึงความรุนแรงของอาการปวดหลังด้วย บางคนไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะให้ยาแก้ปวดมารับประทานควบคู่กับการทายานวด แต่บางรายที่เป็นหนักอาจใช้วิธีผ่าตัด กระนั้นก็ตาม ขอย้ำอีกครั้งว่าหากมีอาการปวดหลังก็อย่าได้นิ่งนอนใจ ควรหาวิธีรักษาให้หายไปโดยพลัน 

     

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อาหารบำรุงปอด และวิธีปฏิบัติตนให้ปอดแข็งแรง

         ปอดเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย โดยมีหน้าที่หลักคือนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย และส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ออกไป ด้วยกระบวนการหายใจซึ่งเป็นส่วนสำคัญในระบบร่างกาย ดังนั้น หากปอดแข็งแรงส่วนอื่นๆของร่างกายก็จะดีไปด้วย การบำรุงปอดให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นจึงเป็นสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญ บทความนี้ได้นำสูตรอาหารบำรุงปอดที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้ลิ้มลอง รวมทั้งวิธีปฏิบัติตนแสนง่ายให้ปอดแข็งแรง ถ้าพร้อมแล้วก็มาเริ่มกันเลย


เมนูอาหารบำรุงปอด แบบโฮมเมด

         อาหารบำรุงปอดให้มีสุขภาพแข็งแรงนี้เป็นเครื่องดื่มที่จะช่วยเสริมการทำงานของปอด ม้าม จากผักและผลไม้เพียง 3 ชนิดเท่านั้น ได้แก่ แครอท แอปเปิล และหัวไชเท้า หาซื้อได้ง่าย ใครๆก็สามารถทำเองได้ที่บ้าน โดยผักผลไม้เหล่านี้มีประโยชน์ในการบำรุงปอดให้แข็งแรง โดยเฉพาะแครอทที่มีสารอาหารอย่างแคโรทีน ซึ่งนอกจากจะเป็นอาหารบำรุงปอดแล้ว เมนูนี้ยังช่วยเรื่องผิวพรรณให้สวยสุขภาพดีขึ้นอีกด้วย หากรับประทานเป็นประจำ
         ขั้นตอนการทำ ให้เตรียมส่วนผสมตามสัดส่วน ได้แก่ แครอท 1 ถ้วย หัวไชเท้า 1/4 ถ้วย แอปเปิล 1 ถ้วย และน้ำแข็งป่น 1 ถ้วย ได้ส่วนผสมครบแล้วก็ให้นำแครอทและหัวไชเท้ามาขูดเป็นเส้นเล็กๆ ส่วนแอปเปิลหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเล็กๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปผสมรวมกันด้วยเครื่องปั่น เสร็จก็เพิ่มความเย็นสดชื่นด้วยการเติมน้ำแข็ง แล้วก็นำมาดื่มได้ทันที


วิธีปฏิบัติตนให้ปอดแข็งแรง

         1.เลี่ยงการสูดควัน ไม่เพียงแต่ควันบุหรี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงควันทุกชนิดในชั้นบรรยากาศ ในกรณีของควันบุหรี่ คนที่อยู่รายล้อมหรือในสถานที่ที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ จะมีความเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายมากกว่าผู้สูบเสียอีก เพราะในบุหรี่ยังมีก้นกรองสารต่างๆ แต่ควันที่ปล่อยออกมาคือควันพิษล้วนๆ ถ้าใครสูดดมเข้าไปก็จะรับไปเต็มๆ ทำให้เสียส่งผลกระทบต่อปอดอย่างมาก
         2.ออกกำลังกายเป็นประจำ นอกจากอาหารบำรุงปอดแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ เพื่อระบบทางเดินหายใจโดยรวมจะได้แข็งแรง ส่งผลให้ปอดไม่ต้องทำงานหนักเกินจำเป็น ขณะออกกำลังกายจะมีการแลกเปลี่ยนออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์เต็มที่ซึ่งเป็นการบริหารปอด และเมื่อปอดแข็งแรงแล้ว อาการเหนื่อยง่ายก็จะไม่เกิดขึ้น

         3.หลีกเลี่ยงมลภาวะ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับปอดซึ่งจะอ่อนไหวต่อมลภาวะเป็นพิเศษ ควรหลีกเลี่ยงสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ ในบางพื้นที่อาจมีมลพิษจากฝุ่น ควันจากการเผาไหม้ หรือละอองเกสรดอกไม้ จนทำให้การออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือแม้แต่การทำกิจกรรมเล็กน้อยนอกบ้านเป็นอันตรายได้
         4.ป้องกันสารเคมีจากการทำงาน ผู้ที่มีอาชีพอย่างช่างก่อสร้างหรือช่างทำผมที่ต้องสูดดมฝุ่นละอองและสารเคมีตลอดเวลา ควรสวมถุงมือหรือหน้ากากระหว่างทำงาน เพราะงานวิจัยพบว่าโรคทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการสูดดมฝุ่นละออง สารเพิ่มรสเนยในอาหาร สารระเหยจากสี ไอเสียจากรถ มีสัดส่วนถึงร้อยละ 15
         5.อย่ามองข้ามการฉีดวัคซีน การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอันตรายมากเป็นพิเศษกับผู้ที่มีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรังหรือโรคปอดอื่นๆ โดยการติดเชื้อแต่ละครั้งนั้นมีการทำลายเซลล์ในร่างกายไปด้วย ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อในทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัดใหญ่ จึงเป็นสิ่งจำเป็นโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
         6.ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดบ้าน หรือซ่อมแซมตกแต่งบ้าน ทั้งหมดล้วนประกอบด้วยสารเคมี แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารอันตรายอย่างสารอินทรีย์ระเหยง่าย แอมโมเนีย สารฟอกขาว และหลีกเลี่ยงสีน้ำมันซึ่งจะปล่อยสารอินทรีย์ระเหยง่ายโดยเลือกใช้สูตรน้ำแทน

         7.ระวังสารกัมมันตรังสี เช่น ก๊าซเรดอนเป็นสารกัมมันตรังสีชนิดก๊าซเฉื่อย เกิดจากการแตกตัวของยูเรเนียมในพื้นดินตามธรรมชาติ โดยจะเดินทางตามพื้นดินเข้าไปในอาคารหรือบ้าน ผ่านรอยแตกของโครงสร้างฐานรากหรือผนัง ซึ่งหากสูดดมเป็นเวลานานจะเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งปอดในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และเป็นสาเหตุรองในผู้สูบบุหรี่ แม้ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ยาก แต่เราสามารถลดปริมาณก๊าซชนิดนี้ในบ้านได้ เช่น ออกแบบบ้านให้มีช่องระบายอากาศและไม่ปิดทึบเกินไป หมั่นเปิดประตูหน้าต่างและช่องระบายลม ตลอดจนอุดรอยร้าวและรอยแยกตามพื้นและผนังของบ้าน
         8.สังเกตอาการบอกเหตุ เช่น หายใจไม่สะดวก หายใจมีเสียงวี้ด ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ไอมีเสมหะ เจ็บหน้าอกโดยเฉพาะเวลาหายใจหรือไอ หากมีอาการเหล่านี้นานกว่าหนึ่งเดือนโดยไม่ทราบสาเหตุควรปรึกษาแพทย์ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืดหรือกลุ่มอาการโรคปอดอุดกั้น เป็นต้น
         

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อาหารบำรุงปอด หาซื้อได้ที่ไหน

         ร่างกายคนเราไม่ใช่หุ่นยนต์ อาหารการกินจึงเป็นสิ่งสำคัญต่อการมีชีวิต ทั้งนี้ โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ทุกคนควรรับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม นอกเหนือจากนั้นก็ยังควรได้รับสารอาหารอื่นๆที่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อให้เข้าไปบำรุงสุขภาพ เสริมสร้างกระบวนการต่างๆภายในร่างกายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น โดยประเด็นที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้ก็คือ “อาหารบำรุงปอด” แต่เพื่อให้เห็นภาพ คุณควรเข้าใจก่อนว่าปอดสำคัญกับเราอย่างไร


หน้าที่ของปอด

         ปอด เป็นอวัยวะหนึ่งในร่างกายที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อใช้ในการหายใจ หน้าที่หลักของปอดก็คือ การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนจากสิ่งแวดล้อมเข้าสู่ระบบเลือดในร่างกาย และแลกเปลี่ยนเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากระบบเลือดออกสู่สิ่งแวดล้อม ทำงานโดยการประกอบกันขึ้นของเซลล์เป็นจำนวนล้านเซลล์ ซึ่งเซลล์ที่ว่านี้มีลักษณะเล็กและบางเรียงตัวประกอบกันเป็นถุงเหมือนลูกโป่ง ซึ่งในถุงลูกโป่งนี้เองที่มีการแลกเปลี่ยนก๊าซต่างๆเกิดขึ้น นอกจากการทำงานแลกเปลี่ยนก๊าซแล้ว ปอดยังทำหน้าที่อื่นๆอีก ได้แก่
         – การควบคุมและขับสารต่างๆ เช่น ยา แอลกอฮอล์ ออกจากระบบเลือด
         – การควบคุมสมดุลของความเป็นกรด-ด่างในเลือด ซึ่งมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการทำงานของเอนไซม์ และอวัยวะต่าง ๆ
         – กรองลิ่มเลือดเล็กๆ ที่ตกตะกอนออกจากเส้นเลือดดำ
         – ปกป้องและรับแรงกระแทก ที่จะทำอันตรายต่อหัวใจซึ่งอยู่ตรงกลางช่องทรวงอก


ทำไมถึงต้องบำรุงปอด

         ทราบถึงหน้าที่ของปอดกันไปแล้ว ทำให้เห็นว่าปอดนั้นสำคัญไฉน อย่างไรก็ตาม อวัยวะภายในนี้เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ที่ต้องการน้ำมันหล่อลื่นให้ทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังต้องให้การดูแลเอาใจใส่หรือบำรุงรักษาเป็นอย่างดี มันถึงจะอยู่กับเราไปนานๆ เพราะอย่าลืมว่าปอดเป็นอวัยวะที่เราต้องใช้งานอยู่ตลอดเวลา ไม่เว้นแม้กระทั่งขณะที่เรานอนหลับ
         จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราต้องมีการบำรุงปอดให้แข็งแรง ซึ่งนอกจากจะไม่ทำร้ายปอดด้วยการสูบบุหรี่แล้ว การรับประทานอาหารบำรุงปอดก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรใส่ใจ

 

อาหารบำรุงปอด หาได้จากที่ไหน
         สำหรับอาหารบำรุงปอดนั้นหาได้ไม่ยาก โดยส่วนใหญ่จะอยู่ในผักและผลไม้ที่เรามักไม่ชอบกัน ซึ่งผักผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อปอดมาก มักอยู่ในผักผลไม้สีแดงและส้ม เพราะมีสารเบต้าแคโรทีนจำนวนมาก เช่น แครอท มะเขือเทศ เป็นต้น นอกจากนี้อาหารบำรุงปอดยังได้แก่ อาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างผักตระกูล Cruciferous เช่น บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ กวางตุ้ง คะน้า
         อาหารบำรุงปอดเหล่านี้จะช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งปอดได้ถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่สูบบุหรี่ ส่วนผู้ที่ไม่ได้สูบ การรับประทานสารอาหารประเภทสังกะสีและวิตามินดี สามารถป้องกันและลดความรุนแรงจากหวัดได้ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเสื่อมของเซลล์ในระบบทางเดินหายใจ สร้างอันตรายต่อปอดได้ อาหารที่มีธาตุสังกะสี เช่น อาหารทะเล หอยนางรม ส่วนวิตามินดีพบได้ในอาหารประเภทนมต่างๆ และจากการสังเคราะห์ได้เองของร่างกายผ่านการรับแสงแดด
         อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่ค่อยชอบรับประทานอาหารบำรุงปอดข้างต้น โดยเฉพาะพวกผักผลไม้ ดังนั้น หากอยากให้ปอดแข็งแรง อยู่กับเราไปนานๆ คุณก็สามารถรับประทานสารอาหารอย่างเบต้าแคโรทีน สารต้านอนุมูลอิสระ สังกะสี และวิตามินดี ได้จากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ปัจจุบันหาซื้อง่ายตามร้านทั่วไป ทั้งนี้ ต้องใช้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับที่ร่างกายต้องการ


สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีป้องกัน ‘ข้อเข่าเสื่อม’ ด้วยตัวเอง

         จริงอยู่ที่ส่วนใหญ่โรคข้อเข่าเสื่อมจะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ จากสถิติระบุว่าในประเทศไทยพบผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมมากกว่า 6 ล้านคน โดยพบได้ถึงร้อยละ 50 ของผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ใช่ว่าคนหนุ่มสาวจะละเลยในการป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อมนี้ เพราะอย่าลืมว่าวันหนึ่งคุณก็ต้องเป็นผู้สูงอายุอยู่ดี ดังนั้น การสร้างเกราะป้องกันไม่ให้โรคข้อเข่าเสื่อมมาเยือนได้ง่ายๆจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

วิธีปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม
         1.ควบคุมน้ำหนักตัว สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมก็คือการมีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน ดังนั้น การควบคุมน้ำหนักจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด โดยผู้ที่มีน้ำหนักเกิน หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า “อ้วน” ควรลดน้ำหนักโดยเร็ว เนื่องจากน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มแรงกดหรือกระแทกบนข้อต่อในทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว เช่น ขณะยืนหรือเดิน ข้อเข่าจะต้องรับน้ำหนัก 2-3 เท่าของน้ำหนักตัว แม้การลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยก้าลังใจ วินัยในการควบคุมตัวเอง ความเข้าใจในเรื่องโภชนาการ และการออกกำลังกายที่ถูกต้อง แต่หากลดน้ำหนักได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้มากทีเดียว
         2.รับประทานอาหารที่ดี บำรุงสุขภาพ ส่งผลดีต่อข้อ โดยเบื้องต้นควรรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากหลายให้พออิ่มทุกมื้อ และบริโภคผักผลไม้ให้มาก นอกจากนี้ยังควรรับประทานปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ เต้าหู้ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ ที่สำคัญควรดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย รับประทานอาหารที่มีไขมันแต่พอดี หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัดและเค็มจัด งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ที่สำคัญควรดื่มน้ำมากๆ ประมาณ 8 แก้วต่อวัน เพราะกระดูกอ่อนตามข้อต่างๆ มีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึงร้อยละ 70 และมีหน้าที่สำคัญในการหล่อลื่นและรับแรงกระแทกให้กับข้อที่แข็งแรง

         3.หมั่นออกกำลังกาย บริหารกล้ามเนื้อและข้อ การบริหารกล้ามเนื้อต้นขามีความสำคัญมาก หากกล้ามเนื้อมัดนี้ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อใหญ่มีความแข็งแรง ก็จะมีส่วนเสริมสร้างความมั่นคงให้กับข้อเข่า ช่วยชะลอข้อเข่าเสื่อมได้โดยป้องกันแรงกดดันที่ข้อในขณะที่ใช้ข้อเข่าในการลุกขึ้นและยังป้องกันแรงกระแทกที่กระทำต่อข้อเข่าในขณะเดิน อย่างไรก็ดี ควรออกกำลังกายตามความเหมาะสมของสภาพร่างกาย เช่น หากอายุเริ่มเยอะก็ให้ออกกำลังกายโดยการเดินเร็ว ในขณะที่คนหนุ่มสาวควรวิ่ง ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น
         นี่คือ 3 ข้อควรปฏิบัติเบื้องต้นที่ทุกคนควรกระทำตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในอนาคตที่จะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมขึ้นได้ กระนั้นก็ตาม หากพบว่าข้อเข่าเริ่มมีอาการผิดปกติ เช่น มีอาการบวมแดงและร้อนบริเวณข้อเข่าโดยปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ปวดตลอดเวลา มีอาการกดเจ็บที่ข้อเข่าหรือข้อต่ออื่นๆ ร่วมด้วย กล้ามเนื้อต้นขาลีบ มีอาการชาหรือขาอ่อนแรง ที่สำคัญคือหากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นนานกว่า 2 สัปดาห์ ก็ควรไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะนี่คืออาการแสดงของโรคข้อเข่าเสื่อม

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.