ธรรมชาติบำบัด รักษามะเร็ง

         โดยปกติเมื่อเป็นโรคมะเร็ง ผู้ป่วยก็มักคิดว่าคงใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อีกไม่นาน ความคิดเช่นนี้บั่นทอนกำลังใจทั้งต่อตนเองและคนรอบข้างเป็นอย่างมาก และจะยิ่งทำให้โรคร้ายทรุดหนักมากขึ้น ฉะนั้น ผู้ป่วยที่อยากรักษามะเร็งต้องระลึกอยู่เสมอว่ากำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ ห้ามท้อแท้สิ้นหวังเป็นเด็ดขาด
        ปัจจุบันมีวิธีการรักษามะเร็งมากมาย ทั้งการรักษามะเร็งแบบวิธีผสมผสานของศัลยกรรม (ผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกรวมทั้งต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้าง) การฉายแสงบริเวณที่มีเซลล์มะเร็ง การใช้เคมีบำบัด เป็นต้น แม้ผลที่ได้จะแตกต่างกันไปตามอาการของแต่ละคนก็อย่างที่บอกว่าผู้ป่วยห้ามหมดหวังเป็นอันขาด

        วันนี้เราจะนำท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับวิธีการรักษามะเร็งอีกทางหนึ่ง ที่เรียก “ธรรมชาติบำบัด” ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะเป็นวิธีที่บำบัดอาการโดยไม่เกิดผลเสียต่อร่างกาย ตรงกันข้ามกับวิธีรักษามะเร็งในปัจจุบัน เช่น การฉายแสง ที่เข้าไปทำลายเซลล์มะเร็ง ขณะเดียวกันก็เกิดผลกระทบต่อร่างกายตามมาด้วย

ธรรมชาติบำบัด คืออะไร
        ธรรมชาติบำบัด คือการดูแลรักษากายและใจ โดยขบวนการธรรมชาติ ตั้งอยู่บนหลักว่าโรคทุกชนิด ทั้งร่างกายและจิตใจของคนเรา สามารถเยียวยารักษาตัวเองได้ ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลปกติ โรคร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบตัน ภูมิแพ้ หืดหอบ ฯลฯ เกิดจากการดำเนินชีวิตที่ผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ
        ยิ่งเป็นเรื่องการรับประทานอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ยาปฏิชีวนะ หรือรับประทานยาหรือฉีดยาที่ทำจากสารเคมี สารเหล่านี้จะตกค้างอยู่ในร่างกายมาก หรือการใช้ชีวิตที่เครียดเกินไป หักโหมเกินไป กังวลเกินไป ออกกำลังกายไม่เพียงพอ พักผ่อนไม่เพียงพอ

        ดังนั้น การดูแลสุขภาพของคนเราจะเน้นเรื่องอาหาร การรับประทานอาหารที่ดีจะทำให้มีสุขภาพดี เพราะสุขภาพของคนขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เชื้อโรคอย่างแบคทีเรียไม่มีผลทำให้เกิดโรคต่อร่างกาย การเจ็บป่วยของคนล้วนเกิดจากอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนที่คนเรารับประทานเข้า ไป

ธรรมชาติบำบัดกับรักษามะเร็ง
        1.อาหารรักษามะเร็ง อาหารที่ใช้รักษามะเร็งจะแตกต่างจากอาหารในชีวิตประจำวัน เนื่องจากอาหารที่ใช้ส่วนใหญ่ต้องเป็นอาหารที่มีลักษณะใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด เพื่อร่างกายจะได้วิตามิน เกลือแร่ และเอนไชม์ จากธรรมชาติเข้าไปเสริมภูมิต้านทาน หากรับประทานอาหารดัดแปลง อาหารแห้ง อาหารสำเร็จรูป ตามกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม จะไม่หลงเหลือคุณค่าทางอาหารอยู่เลย
        อาหาร 3 อย่างที่ต้องงด ได้แก่ 1) งดเนื้อสัตว์รวมทั้งปลา ไข่ ซุปไก่ รังนก แม้กระทั้ง เต้าหู้ โปรตีนเกษตร และเมล็ดถั่วในระยะแรก 2) งดใช้น้ำมันหรือไขมันไม่ว่าจะเป็นไขมันสัตว์หรือน้ำมันพืช และ 3) งดเค็ม งดทั้งเกลือแกง น้ำปลา แต่ให้ร่างกายได้รับโพแทสเซียมจากผักมาก การงดเนื้อสัตว์และไขมัน เพื่อจะไม่ป้อนวัตถุดิบให้กับเซลล์มะเร็งใช้ในการเติบโต งดเค็มเพราะเกลือโซเดียมนี้มีมากเกินไปจะบั่นทอนภูมิต้านทาน
        อาหาร 3 อย่างที่ต้องรับประทาน ได้แก่ 1) ข้าวกล้องเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวัน ทุกครั้งให้โรยรำอ่อนควบอีก 1 ช้อนโต๊ะ ควรกินข้าวกล้องให้ได้ 5 ทัพพีต่อวัน 2) ผักสดและผลไม้สดปริมาณมากทุกมื้อ และคั้นน้ำผักและผลไม้ดื่มสดๆด้วย และ 3) รับประทานข้าวโพดด้วยในระหว่างมื้อ ด้วยอาหารที่รับประทานตามหลักนี้ ร่างกายจะได้โปรตีนในปริมาณพอดี สำหรับซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งหายได้ใน 7 ปี และมีสุขภาพแข็งแรงโดยไม่เคยมีสภาพขาดอาหาร
        2.สวนล้างลำไส้ด้วยกาแฟ เป็นวิธีกระตุ้นตับให้ขจัดสารพิษออกจากร่างกายให้ได้มากที่สุด เมื่อเราใส่กาแฟเข้าทางทวารหนักการดูดซึมของกาแฟจะเข้าทางเส้นเลือดดำของลำไส้ใหญ่ที่เรียกว่า เส้นเลือดดำของทวารหนัก (Hemorrhoidal vein) และ Colonic rein เข้าสู่ตับทาง Porfal nepaซึ่งจะเข้าสู่ตับอ่อนก่อนที่จะทันกระจายไปยังอวัยวะอื่นโดยเส้นเลือดดำตับ (Hepatic portal vein) เมื่อคาเฟอีนเข้าสู่ตับ เชลล์ตับจะจับมันเอาไว้ แล้วคาเฟอีนก็จะทำให้ตับทำงานขยันขึ้น

        3.ทำสมาธิ เป็นวิธีการแบบตะวันออกที่มีผลต่อความเครียด ทำให้ใจสงบได้อย่างดีที่สุด และมีผลในการเพิ่มภูมิต้านทาน เวลาทำสมาธิสมองส่วนไฮโปทาลามัสจะสั่งให้เชลล์เม็ดเลือดขาวแข็งแรงขึ้น เมื่อภูมิต้านทานกระเตื้องขึ้น การกำจัดเชลล์มะเร็งก็จะเป็นไปตามที่เจ้าตัวต้องการ  
        4.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง หากยังไม่ค่อยแข็งแรงก็ออกกำลังแต่เพียงเบาๆ เช่น เดิน หรือทำกายบริหารในน้ำ แต่ถ้าแข็งแร็งขึ้นเป้าหมายการออกกำลังกายอยู่ที่ต้องทำให้ได้ถึงขั้นแอโรบิก นั่นคือต้องเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก อะไรก็ได้ที่ต้องทำต่อเนื่องนานเกินกว่า 15 นาที เพื่อให้ชีพจรเต้นเร็วตามที่กำหนดไว้ ซึ่งแล้วแต่ว่าแต่ละคนอายุมากน้อยและเคยออกกำลังมาบ้างแค่ไหน
        5.การฝึกชี่กง เป็นการออกกำลังกายที่ประสานกายและจิตไปด้วยกัน การฝึกชี่กงนอกจากลดความเครียดแล้ว ยังมีงานวิจัยที่พบว่าสามารถเพิ่มเม็ดเลือดขาวที่เซลล์ช่วยต้านมะเร็งได้อีกด้วย
        6.อาบแสงตะวัน เป็นวิธีการของโยคะมาแต่โบราณ ความอบอุ่นจากแสงตะวัน ยามเช้าจะทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดดีขึ้นทั่วร่างกาย ซึ่งเหมาะสำหรับโรคเรื้อรังทั้งหลาย เหมาะสำหรับคนฟื้นไข้ แต่การอาบแสงตะวันไม่ใช่การอาบแดดที่ใช้แสงตรงเผาจนผิวเกรียม หากเราใช้ใบตองสดมาคลุมกาย ความเขียวของใบตองจะกรองเอาเฉพาะสีเขียวมาตกต้องร่างกาย ทำให้อบอุ่นและเย็นในเวลาเดียวกันเพราะแสงสีเขียวเป็นแสงเย็น
        วิธีการนี้ทำให้ภูมิต้านทานดีขึ้น ร่างกายถูกกระตุ้นด้วยความร้อนจากตะวัน และขณะเดียวกันเป็นการกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วร่างกายเหมือนกับการส่งเม็ดเลือดขาวที่ถูกกระตุ้นให้กระปรี้กระเปร่า แล้วลาดตระเวณออกไปทั่วร่างเพื่อจับเชลล์มะเร็ง
        8.วารีบำบัด การใช้น้ำ หรือความร้อนความเย็นกระตุ้นร่างกายเป็นการเพิ่มภูมิต้านทาน และระบบไหลเวียนของเลือด เช่น การอบซาวน่า การอาบน้ำร้อนและเย็นสลับกัน
        ธรรมชาติบำบัดมีหลักการอยู่ที่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อผู้ป่วยสามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว เป็นการดูแลรักษาทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆกัน จึงทำให้การรักษามะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดได้ผลดี เมื่อหายจากอาการป่วยแล้วสุขภาพก็จะแข็งแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

พุทราจีน ยาสมุนไพรอายุวัฒนะ กับความลับที่คุณรู้แล้วต้องทึ่ง

         ในโลกใบนี้มียาสมุนไพรมากมาย ที่มีสรรพคุณบำรุงกำลัง และให้ประโยชน์ต่อร่างกายที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบันเองบรรดาเหล่านักวิจัยที่มีชื่อเสียงชั้นนำเอง ก็ได้มีการศึกษา และยอมรับถึงประสิทธิภาพของยาสมุนไพรหลายชนิดแล้วว่า มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างดีเยี่ยมกันมากมายเลยทีเดียว ซึ่งในวันนี้ บทความชิ้นนี้จะขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ หนึ่งในยาสมุนไพรของประเทศจีน ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานนับพันปี แต่หลายๆคนกลับมองข้ามความสำคัญไป ซึ่งเจ้ายาสมุนไพร ที่กำลังจะกล่าวถึงนั้นก็คือ “พทุทราจีน” นั่นเอง

ประวัติศาสตร์ของพุทราจีน
 พุทราจีน เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนเหนือ และได้รับความนิยมบริโภคในประเทศจีนมานานกว่า 4,000 ปี พุทราจีนอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้มีสุขภาพดีเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับผิว และช่วยในการรักษาและป้องกันโรคที่เกี่ยวกับผิวพรรณต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าของจีนที่เกี่ยวข้องกับพุทราจีนว่า เป็นเสมือน “ยาอายุวัฒนะ” ที่ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผู้ที่รับประทาน
ในตำนานเรื่อง “การเดินทางสู่ทิศตะวันตก”  กษัตริย์นักเดินทางได้เกิดเจ็บป่วยหนักในระหว่างการเดินทางสู่ประเทศทางทิศตะวันตกเพื่อตามหาความลับแห่งชีวิต ในวันหนึ่งในขณะที่อาการป่วยของกษัตริย์กำเริบหนักมากจนเจียนตาย ซ้ำร้ายม้าที่ใช้เดินทางยังวิ่งเตลิดหายไป กษัตริย์ได้บังเอิญพบกับเทพเจ้าแห่งอายุวัฒนะในป่า แต่เทพไม่ได้นำยาที่จะสามารถช่วยรักษาอาการป่วยของกษัตริย์มาด้วย จึงได้มอบพุทราจีนให้กับกษัตริย์เป็นจำนวน 3 เม็ด  เมื่อกษัตริย์ทานเข้าไปกลับรู้สึกสดชื่น และมีกำลังวังชามากขึ้นในทันที
 แพทย์ในประเทศจีน และประเทศเกาหลีในสมัยโบราณ มักนำพุทราจีนมาใช้เป็นผลไม้ในทางการแพทย์ในฐานะของโภชนาการบำบัด โดยถือว่าเป็นพลังงานที่อบอุ่น หรือ “พลังหยาง” และยังเชื่อว่าพุทราจีนเป็นยาอายุวัฒนะ ที่สามารถช่วยชะลอกระบวนการชราของเซลล์ต่างๆในร่างกาย จนกระทั่งกลายมาเป็นผลไม้ที่ยึดถือกันมาอย่างยาวนานว่า จะต้องรับประทานเป็นอาหารในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้พุทราจีน ยังนิยมถูกนำมาใช้ในการบำรุงคงความงามของสตรี ด้วยสรรพคุณในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียอาการอักเสบของผิว เพิ่มความแข็งแรงของผิว กระตุ้นการเซลล์ผิวให้มีการซ่อมแซมตัวเอง บำรุงผิวให้ขาวเนียนกระชับ และยังช่วยแก้ปัญหาผิวพรรณด้านอื่นๆ อาทิเช่น สิว กระ ฝ้า จุดด่างดำ พร้อมกับต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอริ้วรอยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้พุทราจีนยังช่วยบรรเทาความเครียด ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สำคัญต่อความงามอีกด้วย

การศึกษาและการนำพุทราจีนไปใช้ประโยชน์ในฐานะยาสมุนไพร
  ในปัจจุบันประเทศไทยได้นำเข้าสารสกัดจากพุทราจีน ในฐานะสินค้าเกรดทางการแพทย์เป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการค้นคว้าวิจัยด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่พบว่าสารสกัดจากพุทราจีนมีคุณสมบัติในการ ช่วยเร่งให้เกิดระบวนการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่เสื่อมสภาพ ทำให้ฝ้า รอยด่างดำ กระ หลุดออกไปอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เผยให้เห็นผิวใหม่ที่ขาวเนียนสดใสอย่างเป็นธรรมชาติ พุทรายังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ควบคุมความมัน ลดสาเหตุของการเกิดสิว รวมไปถึงการสะสมตัวของเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนัง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาด้านผิวพรรณอื่นๆ ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนัง ลดรอยแผลเป็น โอกาสเกิดรอยแตกลายให้น้อยลง นอกจากนี้จากข้อมูลของสำนักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข พุทรายังถูกจัดให้เป็น 1 ในผลไม้ 10 ชนิดแรก ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงที่สุดในบรรดาผลไม้ทั้งหมด ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าวิตามินซีนั้น มีคุณสมบัติสุดมหัศจรรย์ที่ช่วยทำให้ผิวสวย ชุ่มชื้น ไม่แห้งเสีย เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ลดอาการอักเสบของผิว และยังสามารถช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

9 เคล็บลับ สู่การรับประทานอาหารต้านมะเร็ง

         มะเร็งเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยมากเป็นอันดับหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็มีรายงานการเสียชีวิตของคนทั่วโลกจากการป่วยเป็นมะเร็งปีละเกือบ 8 ล้านคน และล่าสุดองค์การอนามัยโลก คาดว่าอีก 21 ปีข้างหน้า โลกจะมีผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นปีละ 24 ล้านคน ที่ร้ายแรงมากที่สุดก็คือนอกจากมะเร็งทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างทุกข์ทรมาณแล้ว การแพร่กระจายของเชื้อมะเร็งยังส่งผลให้การทำงานของอวัยวะผิดปกติด้วย บางรายอาจต้องตัดแขนตัดขา ซึ่งแน่นอนว่ามันบั่นทอนความสุขทั้งต่อตัวผู้ป่วยและคนรอบข้าง
         อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่อยากให้โรคมะเร็งมาเล่นงาน สิ่งที่ต้องทำก็คือการสร้างเกราะคุ้มกันไม่ให้โรคร้ายนี้มาเยือน โดยบทความนี้ขอหยิบ 9 เคล็ดลับการรับประทานอาหารต้านมะเร็ง ซึ่งทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้แนะนำมาให้ท่านผู้อ่านมีภูมิคุ้มกัน ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งที่อาจเกิดขึ้นในร่างกายโดยเฉพาะ

เคล็ดลับการรับประทานอาหารต่อต้านมะเร็ง

         1.ผักหลากสี อาหารต้านมะเร็งอย่างแรกนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย โดยสีสันของผักนอกจากจะดูสวยงามสะดุดตาแล้ว ผักแต่ละสีแต่ละชนิดยังมีประโยชน์ต่อร่างกายและให้คุณค่าที่แตกต่างกันไปดังนั้นการรับประทานผักหลากหลายหรือรับประทานให้ครบทั้ง 5 สี จะเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพตัวอย่างของผักและสารสีต่าง ๆ ได้แก่
         – สารสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า ไลโคปีน (Lycopene) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งปอด
         – สารสีเหลือง/ส้ม ได้แก่ ฟักทอง แครอท มีสารแคโรทีนอยด์ และอุดมไปด้วยวิตามินเอ
         – สารสีเขียว ได้แก่ คะน้า บล็อคโคลี่ อุดมไปด้วยวิตามินซี รวมถึงผักบุ้ง กวางตุ้ง ตำ      ลึง ที่มีวิตามินเอและพิกเมนต์
         – สารสีม่วง ได้แก่ กะหล่ าสีม่วง ชมพู่มะเหมี่ยว มะเขือม่วง สีม่วงในดอกอัญชัน พืชผักเหล่านี้มีสาร Anthocyanin ที่สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
         – สารสีขาว ได้แก่ มะเขือขาวเปราะ ผักกาดขาว ดอกแค โดยเฉพาะยอดแคมีเบตาแคโรทีนสูง
         2.ผลไม้ ผลไม้ประกอบไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลากหลายชนิดที่เป็นประโยชน์รวมทั้งยังมีเส้นใยอาหารที่ช่วยให้ระบบย่อยอาหารและระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างปกติ ตัวอย่างเช่น ส้ม สับปะรด มะละกอ มะม่วง ที่มีทั้งวิตามินเอ ซี สารเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนี้ผลไม้ยังมีเส้นใยที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายท างานได้อย่างปกติ
         3.ธัญพืชและเส้นใย ธัญพืชเต็มเมล็ด คือธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือขัดสีน้อยที่สุดทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น ใยอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ ไฟโตนิวเตรียนท์ และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ตัวอย่างของธัญพืช ได้แก่ ข้าวกล้อง ข้าวสาลี ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ลูกเดือย นอกจากนี้ไฟเบอร์หรือใยอาหารในธัญพืชยังท าหน้าที่สำคัญในการพาสารต่าง ๆ ที่เป็นโทษต่อร่างกายซึ่งเกาะติดบริเวณลำไส้ให้ขับถ่ายออกไป จึงมีส่วนสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในทางเดินอาหารและมะเร็งในลำไส้ใหญ่
         4.เครื่องเทศ หมายถึง ส่วนต่างๆของพืชที่นำมาใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารหรือเพื่อให้อาหารมีกลิ่นหอม สารประกอบอินทรีย์ที่เป็นกลิ่นหอมของเครื่องเทศนั้นมาจากส่วนที่เป็นน้ ามัน (Fixed oil) และน้ำมันหอมระเหย (Volatile oil) ส่วนรสชาติที่เผ็ดร้อนนั้นมาจากส่วนที่เป็นยาง (Resins) นอกจากนี้ยังมีสารอื่น ๆ อีกเช่น แป้ง น้ าตาล แร่ธาตุ และวิตามินบางชนิด เป็นต้น นอกจากนี้เครื่องเทศยังประกอบไปด้วยสารหลายชนิดซึ่งมีสรรพคุณลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง รวมถึงการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันได้

         5.สารต้านอนุมูลอิสระ ได้แก่ ชาเขียว (Green Tea) ใบชาเขียวได้มาจากการนำยอดใบชาสดมาผ่านกระบวนการอบเพื่อลดความชื้นโดยไม่ผ่านการหมัก ชาเขียวมีสาร Catechins ที่ชื่อ epigallo-catechin-3-gallate (EGCG) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ สารดังกล่าวสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับ ทั้งนี้ ควรดื่มชาเขียวทันทีหลังจากชงชาเสร็จเนื่องจากหากทิ้งไว้ชาเขียวจะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศทำให้สูญเสียคุณค่าไป
         นอกจากนี้ น้ำเปล่าที่สะอาดและบริสุทธิ์ก็มีความสำคัญและจำเป็นสำหรับมนุษย์ การดื่มน้ าสะอาดในปริมาณที่เพียงพอในแต่ละวันจะทำให้ร่างกายได้รับการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้มีสุขภาพแข็งแรง น้ำเป็นสารตัวกลางสำคัญของร่างกายที่ใช้ในขบวนการต่างๆของเซลล์ เช่น ควบคุมสมดุลกรด-ด่าง และยังนำพาสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์ ตลอดจนนำของเสียหรือสารพิษออกจากเซลล์
         6.ปรุงอาหารถูกวิธี หนึ่งในเคล็บลับการรับประทานอาหารต้านมะเร็งก็คือการปรุงอาหารที่ถูกต้อง เพราะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ ได้แก่ การไม่ปิ้งย่างอาหารประเภทเนื้อสัตว์จนไหม้เกรียม ไม่รับประทานอาหารแบบสุกๆดิบๆ โดยเฉพาะปลาน้ าจืดที่มีเกล็ด และไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำหลายๆ ครั้ง
         7.หลีกเลี่ยงอาหารไขมัน ไขมันในอาหารมีทั้งไขมันดีและไขมันเลว หากร่างกายมีไขมันเลวปริมาณมากอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ ไขมันเลว ได้แก่ คลอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอร์ไรด์ LDL ส่วนไขมันดี ได้แก่ไขมันไม่อิ่มตัว เลซิติน HDL พบมากใน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันเมล็ดฝ้าย น้ำมันดอกทานตะวัน และในปลา เช่น ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาจาระเม็ด เป็นต้น

         8.ลดบริโภคเนื้อแดง เนื้อแดงเป็นอีกอุปสรรคหนึ่งที่จะทำให้การรับประทานอาหารต้านมะเร็งไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะการรับประทานเนื้อแดงมากๆอาจทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ โดยผู้ที่บริโภคเนื้อแดงมากกว่า 160 กรัมต่อวัน อาจมีความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้น ดังนั้น เราควรจำกัดการรับประทานเนื้อแดงให้เหลือเพียงสัปดาห์ละ 500 กรัม
         9.ลดเกลือแกง และอาหารหมักให้น้อยลง เราควรบริโภคเกลือ (salt) ไม่เกิน วันละ 6 กรัม ซึ่งมีโซเดียม (sodium) อยู่ประมาณ 2,300 มิลลิกรัม การบริโภคเกลือในปริมาณสูงจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปหรืออาหารประเภทหมักดองโดยเฉพาะที่มีการถนอมอาหารหรือปรุงแต่งสีด้วยดินประสิว เช่น ปลาร้า ปลาส้ม แหนม ไส้กรอก กุนเชียง เนื้อเค็ม ปลาเค็ม เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจมีสารก่อมะเร็งไนโตรซามีน และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดงผิดจากธรรมชาต

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รู้ทันโรคมะเร็ง ลดความเสี่ยง เลี่ยงโรคภัย

         คุณทราบหรือไม่ว่าปัจจุบันโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงสุดติดอันดับ 1 ของคนไทยต่อเนื่องมานานนับสิบปี โดยคนไทยเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกว่า 60,000 คนต่อปี ขณะที่มีรายงานการเสียชีวิตปีละเฉียด 8 ล้านคนทั่วโลก และดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆในอนาคต นั่นแสดงให้เห็นว่าโรคมะเร็งเป็นโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตมนุษย์จำนวนมาก และยังเป็นโรคภัยที่คืบคานเข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที ทั้งนี้ทั้งนั้น คำถามคือเราจะป้องกันและรู้เท่าทันโรคมะเร็งได้หรือไม่ สามารถดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคร้ายนี้ได้อย่างไร วันนี้เรามาหาคำตอบกัน

เกี่ยวกับโรคมะเร็ง
         สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute) ระบุว่า โรคมะเร็งคือกลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ รวดเร็ว และมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะการเจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะ เรียกชื่อ มะเร็งตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น

         เท่าที่มีรายงานไว้ในขณะนี้ มะเร็งที่พบในร่างกายมนุษย์มีมากกว่า 100 ชนิด มะเร็งแต่ละชนิดจะมีการ ดำเนินของโรคไม่เหมือนกัน เช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง จะมีการดำเนินชนิดของโรคที่รุนแรง ผู้ป่วยจะมีชีวิตการอยู่รอดสั้นกว่าผู้ป่วยมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น
         ดังนั้น การรักษาโรคมะเร็งแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน มีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สภาพร่างกาย และความเหมาะสมของผู้ป่วยมะเร็ง การรักษาจะยากหรือง่ายนั้นก็ขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์มะเร็ง และการดำเนินโรคของมะเร็งด้วย เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งผิวหนัง รักษาง่ายกว่า มะเร็งปอด มะเร็งสมอง เป็นต้น

อาการแสดงของโรคมะเร็ง
         1.ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรก ขณะที่ร่างกายมีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนน้อย
         2.มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามสัญญาณอันตราย 7 ประการ ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็งหรือสาเหตุอื่นๆที่ทำให้มีสัญญาณเหล่านี้ เพื่อการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม
         3.มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่างกายทรุดโทรม ไม่สดชื่น และไม่แจ่มใส
         4.มีอาการที่บ่งบอกว่ามะเร็งอยู่ในระยะลุกลาม หรือเป็นมาก ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งชนิดใด และมีการกระจายของโรคอยู่ที่ส่วนใดของร่างกายที่สำคัญที่สุดของอาการในกลุ่มนี้ ได้แก่ อาการเจ็บปวดที่แสน ทุกข์ทรมาน

สัญญาณอันตราย 7 ประการ
         1.มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือปัสสาวะเป็นเลือด
         2.กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียด แน่นท้องเป็นเวลานาน
         3.มีอาการเสียงแหบ และไอเรื้อรัง

         4.มีเลือดออกผิดปกติ จากทวารต่างๆ
         5.แผลซึ่งรักษาแล้วไม่ยอมหาย
         
6.มีการเปลี่ยนแปลงของหูด หรือไฝตามร่างกาย
         7.มีก้อนตุ่ม ที่ส่วนต่างๆของร่างกาย
         สัญญาณอันตรายทั้ง 7 ประการนี้ เป็นสิ่งที่ทุกๆคนควรจดจำให้ขึ้นใจ โดยหากมันปรากฏกับตัวเองหรือคนรอบข้าง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็ง จะได้การรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็งหรือเป็นมะเร็งระยะลุกลามจนสายเกินแก้
         อย่างไรก็ดี เนื่องจากในระยะแรกของโรคมะเร็งมักไม่แสดงอาการใดๆ เพราะยังมีเซลล์ที่เป็นอันตรายจำนวนน้อยอาศัยอยู่ในร่างกาย ฉะนั้น เพื่อเป็นการป้องกัน ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำอย่างน้อยปีละครั้ง หรือถ้าสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง (อาจเกิดจากตัวเลขของอายุที่สูงขึ้น) ก็ควรตรวจสุขภาพให้บ่อยครั้งขึ้นสัก 2 ครั้งต่อปี จะได้ทราบถึงโรคภัยแล้วหาทางแก้ไข รับมือตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะทำให้ความรุนแรงของโรคลดน้อยลง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

วิธีป้องกันมะเร็ง ไม่ให้มาเยือนเราง่ายๆ

         เมื่อพูดถึงโรคมะเร็งบางคนคงจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไกลตัว หารู้ไม่ว่าปัจจุบันมะเร็งได้คืบคานเข้ามาหาเรามากขึ้นทุกที โดยทุกคนมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ทั้งนั้น เพราะสิ่งแวดล้อมโดยรอบมีพิษมาก รวมถึงอาหารการกิน ณ ตอนนี้ มีสารอนุมูลอิสระจำนวนมาก เช่น ของร้อน ของทอด ของปิ้งย่าง ไม่เว้นแม้กระทั่งผักก็ยังปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ขนาดคนที่ชอบรับประทานปลาเพราะคิดว่าดีต่อสุขภาพ แต่เอาเข้าจริงปลาในปัจจุบันมีสารปรอทอยู่เกือบทุกตัว ยิ่งถ้าคนใดมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งก็จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงขึ้นไปอีก
         เห็นหรือยังว่ามะเร็งเป็นเรื่องใกล้ตัวเราแค่ไหน หากยังไม่เชื่อ ก่อนหน้านี้ได้มีสถิติจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติที่บ่งบอกว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยรายใหม่ที่เป็นโรคมะเร็งกว่า 100,000 ราย และในจำนวนนั้นกว่า 60,000  รายที่เสียชีวิต ถ้าคิดเป็นรายวันก็มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งกว่า 152 ราย หรือ 6 คนต่อชั่วโมง ดังนั้น มะเร็งถือเป็นโรคร้ายแรงที่คนทุกคนไม่ควรมองข้าม

         “กันไว้ดีกว่าแก้” ประโยคนี้เองที่ทำให้ผู้เขียนได้รวบรวมวิธีป้องกันมะเร็งแสนง่าย มาให้ท่านผู้อ่านที่ใส่ใจสุขภาพได้นำไปใช้กัน จะได้มีสุขภาพดีปราศจากโรคภัยโดยเฉพาะเจ้ามะเร็งร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนมากขึ้นทุกวัน

วิธีป้องกันมะเร็งแบบง่ายๆ
         1.รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ เพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ลำไส้ส่วนปลาย กระเพาะอาหาร และอวัยวะระบบทางเดินหายใจ
         2.รับประทานอาหารที่มีกากมาก เช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่นๆ เพื่อป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่
         3.รับประทานอาหารที่มีเบต้าแคโรทีน และวิตามินเอสูง เช่น ผักผลไม้สีเขียว-เหลือง เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กล่องเสียง และปอด
         4.รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผักผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะฝรั่งและส้ม เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร และกระเพาะอาหาร

         5.ควบคุมน้ำหนักตัว โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่ การออกกำลังกาย และลดรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูง จะช่วยป้องกันมะเร็งเหล่านี้ได้อีกทางหนึ่ง
         6.ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น อาหารที่มีราขึ้นโดยเฉพาะสีเขียว-เหลือง จะมีสารอัลฟาทอกซินปนเปื้อนซึ่งอาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งตับ
         7.ลดอาหารไขมัน อาหารไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ และต่อมลูกหมาก
         8.ลดอาหารดองเค็ม อาหารปิ้ง-ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท- ไนไตร์ท เนื่องจากอาหารเหล่านี้ จะทำให้เสี่ยงต่อมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งลำไส้ใหญ่
         9.ไม่รับประทานอาหารสุกๆดิบๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ เพราะจะทำให้เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับ และเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของท่อน้ำดีในตับ

         10.หยุดหรือลดการสูบบุหรี่ แน่นอนว่าข้อนี้ใครๆต่างก็ทราบกันถึงผลเสียของการสูบบุหรี่ โดยจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งปอด กล่องเสียง ถุงลมโป่งพอง และหลากหลายโรค นอกจากนี้ การเคี้ยวยาสูบจะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก และช่องคอ
         11.ลดการดื่มแอลกอฮอล์ หากดื่มแอลกอฮอล์จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ ถ้าทั้งดื่มและสูบบุหรี่จะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งช่องปาก ช่องคอ กล่องเสียง และหลอดอาหารได้มากขึ้นเป็นทวี
         12.อย่าตากแดด เนื่องจากการตากแดดจัดมากเกินไปและเป็นระยะเวลานานๆ จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง ซึ่งมะเร็งชนิดนี้มักเป็นกันมากโดยไม่รู้ตัว
         ทั้งหมดนี้คือแนวทางป้องกันมะเร็งง่ายๆ ที่ทุกคนควรนำไปใช้ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานไปกับอาการป่วยโรคมะเร็ง ซึ่งถ้าโรคร้ายนี้เกิดขึ้นกับใครแล้วจะทำให้เจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจ ที่สำคัญคือมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่แพงหูฉี่ ฉะนั้น อย่ามัวแต่ภาวนาให้ตัวเองรอดพ้นจากมะเร็ง การปฏิบัติตนให้ห่างไกลจากโรคร้ายนี้ต่างหากคือสิ่งที่ควรกระทำ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

โรคเบาหวาน รู้ให้ทันป้องกันได้

         โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ในปัจจุบันนั้นมีมากมายหลากหลายเหนือคณานับ บางโรคก็ไม่ค่อยเป็นอันตรายหรือสร้างความเจ็บปวดต่อร่างกายมากนัก ในขณะที่บางโรคสร้างความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยจนถึงขั้นล้มหายตายจากก็มี อย่างเช่น การเกิดเนื้องอกในสมอง หลอดเลือดในสมองแตก โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เป็นต้น
         อย่างไรก็ดี บทความนี้จะพูดถึงโรคภัยอย่างหนึ่งที่ถือเป็นโรคเรื้อรังและก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้มากมาย แต่ถ้าดูแลรักษาเป็นอย่างดี อาการต่างๆก็จะสามารถทุเลาลงได้ มันคือ “โรคเบาหวาน” นั่นเอง ซึ่งต้องบอกเลยว่าโรคนี้ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด เพราะโรคเบาหวาน ถ้ารู้ให้ทันก็สามารถป้องกันและยับยั้งอาการไม่ให้รุนแรงได้

         อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน ซึ่งเจ้าอินซูลินนี้เป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์เพื่อใช้เป็นพลังงาน ทั้งนี้ โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน และจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆได้ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
         เริ่มรู้จักกับโรคเบาหวานกันไปพอสมควรแล้วว่ามันเกิดจากอะไร ทีนี้มาดูกันว่าใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานได้ง่าย ซึ่งถ้าคุณเข้าข่ายกลุ่มคนดังต่อไป ก็ควรดูแลเอาใจสุขภาพเป็นพิเศษ จะไดป้องกันพิษภัยจากโรคเบาหวานที่อาจจะมาเยือนเมื่อไหร่ก็ได้
         1.คนที่มีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคเบาหวาน กลุ่มนี้มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนอื่นๆ เพราะได้รับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ จึงไม่แปลกที่หากพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นโรคเบาหวานแล้วตนจะเป็นด้วย
         2.คนอ้วนหรืออยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน มีโอกาสเป็นโณคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วน เนื่องจากร้อยละ 80 ของโรคเบาหวานพบได้ในคนอ้วน
         3.คนที่ร่างกายอ่อนแอ โรคเบาหวานมักเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือร่างกายอ่อนแอ เนื่องจากขาดภูมิคุ้มกันโรค ทั้งนี้ คนที่ไม่ออกกำลังยยังมีความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆอีกมากมาย
         4.คนที่เครียดเป็นประจำ ความเครียดจะมีผลไปกระตุ้นให้มีการหลั่งของฮอร์โมนหลายชนิดในร่างกายซึ่งขัดขวางการทำงานของอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ง่าย
         5.คนที่เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของตับอ่อน หรือมีการอักเสบที่ตับอ่อนจากเชื้อไวรัส หรือยาบางชนิด ก็ถือว่ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคเบาหวาน
         6.คนที่ดื่มสุราเป็นประจำ สุราจะทำให้ตับอ่อนเสื่อมสมรรถภาพได้ ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆตามมา โดยคนที่ชอบดื่มสุรามักเป็นโรคตับ และโรคอื่นๆมากมาย รวมทั้งเบาหวานด้วย

 

วิธีป้องกันโรคเบาหวาน
         1.ควบคุมอาหาร ประการแรกเลยคือต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณและสัดส่วนพอเหมาะวันละ 3 เวลา โดยควรลดอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลทุกชนิด เช่น ขนมหวาน น้ำอัดลม น้ำหวาน และผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ขนุน ลำไย น้อยหน่า ละมุด มะม่วงสุก ลูกเกด มะขามหวาน โดยเฉพาะผลไม้กระป๋อง เช่น เงาะ ลิ้นจี่ องุ่น ป็นต้น
         นอกจากนี้ยังควรลดเนื้อสัตว์ติดมันต่างๆ ลดอาหารประเภทไขมันที่ได้จากสัตว์ อาหารที่มีกะทิ และให้เพิ่มการรับประทานอาหารประเภทผักให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักประเภทใบอย่างผักกาด ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง บวบ ตำลึง ต้นหอม กะหล่ำปี ฯลฯ
         2.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ให้เหมาะสมกับเพศและวัย ซึ่งการออกกำลังกายนี้จะยิ่งทำให้การควบคุมอาหารมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อน้ำหนักตัว ทำให้ไม่อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
         3.หากเป็นโรคเบาหวานแล้วควรพบแพทย์ทันที เพื่อตรวจร่างกายตามนัดและปฏิบัติตาคำแนะนำของแพทย์โดยรับประทานยาหรือฉีดอินซูลินตามแพทย์สั่งอย่าหยุดยาหรือเพิ่มยาเอง
         กระนั้นก็ตาม โรคเบาหวานมีด้วยกันหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อยจะมี 2 ชนิด โดยชนิดที่ 1 มักจะพบในเด็กเป็นพวกขาดอินซูลิน ส่วนชนิดที่ 2 พบในคนสูงอายุและมีน้ำหนักเกิน การรักษาโรคเบาหวานทั้งสองชนิดไม่เหมือนกัน โรคแทรกซ้อนก็ต่างกัน การรักษาเบาหวานชนิดที่ 2 จะเน้นเรื่องการควบคุมน้ำหนัก การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย ส่วนเบาหวานชนิดที่ 1 จะเน้นการให้อินซูลินเข้าสู่ร่างกาย ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นชื่อว่าโรคภัยคงไม่มีใครอยากเจอกับมันเป็นแน่ ฉะนั้น เมื่อรู้แล้วก็ควรหาทางป้องกันเสียตั้งแต่ตอนนี้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

มาดูอาหารรักษาเบาหวาน ที่ผู้ป่วยควรรับประทาน

         เบาหวานถือเป็นอีกโรคยอดฮิตโรคหนึ่งที่คนมักเป็นกันมาก โดยเฉพาะในคนอ้วนและผู้สูงอายุ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีคนเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ก็เตรียมรับมือกับมันไว้ได้เลย เพราะเบาหวานเป็นโรคที่ได้มาจากพันธุกรรม ทั้งนี้ เบาหวานไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าประคับประคอง ดูแลรักษาเป็นอย่างดีก็จะแสดงอาการของโรคได้น้อยลง
         หากใครอยากรู้ว่าตนมีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวานหรือไม่ สังเกตได้จากอาการกินจุ น้ำหนักลด หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะมากและบ่อย คันตามผิวหนัง เป็นแผลรักษายาก หญิงที่แท้งบุตรง่าย ทารกตายในครรภ์ คลอดบุตรหัวโตน้ำหนักเกิน 4,000 กรัม หรือถ้าจะให้ชัวร์ก็ไปพบแพทย์วินิจฉัยด้วยวิธีตรวจเลือด (ควรงดอาหารทุกอย่างหลังเที่ยงคืน) เมื่อตรวจเลือดแล้วน้ำตาลสูงกว่า 115 มิลลิกรัม ในเลือด 100 มิลิเมตร ก็แสดงว่าท่านเข้าข่ายเป็นโรคเบาหวานแล้ว

         เมื่อเป็นโรคเบาหวาน หลายคนคงเกิดความกังวลระคนสงสัยว่า จะรักษาเบาหวานได้หรือไม่ คำตอบก็คือ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถทำให้อาการทุเลาลงเหมือนคนปกติได้ ด้วยวิธีการให้อินซูลินในร่างกาย ลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือรับประทานอาหารที่ไม่แสลงกับโรคเบาหวาน พูดง่ายๆก็คือต้องควบคุมอาหารเป็นอย่างดี และเน้นรับประทานอาหารที่เป็นโยชน์ต่อร่างกาย

อาหารรักษาเบาหวานที่ควรรับประทาน
         1.ข้าวกล้อง มีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนผ่านการขัดสีน้อย
         2.วุ้นเส้นทำจากถั่ว สามารถบริโภคได้ประจำตามปริมาณที่กำหนด ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยววุ้นเส้น แกงจืด ยำวุ้นเส้น เป็นต้น
         3.อาหารไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันมะกอก เป็นต้น
         4.ผัก ผลไม้ การรับประทานผักให้หลากหลายทุกวันอย่างน้อย 2 มื้อ จะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น และรักษาโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ควรรับประทานแบบต้มหรือนึ่งจะดีที่สุด หากเป็นผัดผักต้องใช้น้ำมันน้อยๆ

         สำหรับผักที่แนะนำ ได้แก่ มะระขี้นก หั่นชิ้นเล็กแล้วตากแดดให้แห้ง นำมาชงกับน้ำเหมือนชงชา ฟักทอง ให้ใช้เมล็ดฟักทองต้มน้ำดื่ม ครั้งละ 300 เมล็ด จะช่วยรักษาเบาหวานให้ดีขึ้น นอกจากนี้ผลฟักทองและน้ำฟักทอง ก็ช่วยลดอาหารเบาหวานได้ และผักอีกอย่างที่แนะนำคือแตงกวา การคั้นน้ำแตงกวาพร้อมเมล็ดจะดีต่อสุขภาพเมื่อดื่มขณะท้องว่าง
         5.น้ำนม ควรเลือกดื่มชนิดจืด ไม่เติมน้ำตาลหรือชนิดไม่ปรับปรุงแต่งรส หรือนมพร่องมันเนยที่มีไขมันประมาณ 1.9% สำหรับนมเปรี้ยว ควรเลือกชนิดที่ไม่ปรุงแต่งรส และนมที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรรับประทานคือนมข้นหวาน และนมถั่วเหลืองชนิดหวาน ทั้งนี้ น้ำเต้าหู้ ผู้ป่วยเบาหวานสามารถดื่มได้ แต่ต้องไม่เติมน้ำตาล

อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง
         ได้ทราบกันไปแล้วว่าอาหารรักษาเบาหวานที่ควรรับประทานมีอะไรบ้าง ทีนี้มาดูอาหาทีที่ผู้ป่วยโรคนี้ไม่ควรรับประทานกันบ้าง จะได้เป็นความรู้ในการหลีกเลี่ยงอาหารพวกนี้ ได้แก่ น้ำตาลทุกชนิดรวมทั้งน้ำผึ้ง น้ำตาลจากผลไม้ ขนมหวานและขนมเชื่อมต่างๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น สังขยา ลอดช่อง ฯลฯ ผลไม้กวน เช่น มะม่วงกวน ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ฯลฯ น้ำหวานต่าง ๆ น้ำผลไม้ ยกเว้น น้ำมะเขือเทศ นมรสหวานรวมทั้งน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น ชา กาแฟ ถ้าจะดื่มกาแฟควรดื่มกาแฟดำไม่ควรใส่น้ำตาล นมข้นหวาน หรือครีมเทียม

         นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ลำใย มะม่วงสุก ขนุน ละมุด น้อยหน่า ลิ้นจี่ อ้อย สับปะรด ผลไม้แช่อิ่ม หรือ เชื่อมน้ำตาล รวมถึงของขบเคี้ยวทอดกรอบ และอาหารชุบแป้งทอดต่างๆ เช่น ปาท่องโก๋ กล้วย แขก ข้าวเม่าทอด เป็นต้น
         จากการแนะนำของแพทย์ หลักการรักษาเบาหวานจะต้องทำให้ผู้ป่วยอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข และไม่มีโรคแทรกซ้อนซึ่งต้องประกอบไปด้วย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ได้แก่การออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร งดบุหรี่ การดูแลสุขภาพทั่วๆไป ควบคุมความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ และการใช้ยาเม็ดหรือยาฉีดตามคำสั่งของแพทย์ เพียงแค่นี้อาการเบาหวานก็จะดีขึ้น ไม่เกิดความรุนแรง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

4 สุดยอดสมุนไพรเบาหวาน ที่หาได้ใกล้ตัว

         โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) จัดเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้ป่วยจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากร่างกายมีกระบวนการเมตาบอลิซึม (ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน) ที่ผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลในเลือดที่ได้จากอาหารไปใช้ตามปกติได้
         โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากความบกพร่องของการหลั่งอินซูลินผิดปกติ ซึ่งอินซูลิน เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นโดยกลุ่มเซลล์ภายในตับอ่อน มีหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆทั่วร่างกายเพื่อสร้างพลังงาน เมื่อร่างกายของผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอินซูลินไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นนั่นเอง โดยสามารถเกิดโรคแทรกซ้อนต่อระบบต่างๆ ตามมาได้ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองอุดตัน ไตวาย และปลายประสาทเสื่อม ทำให้มีอาการชาซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดแผลบริเวณอวัยวะส่วนปลายได้ 

         รู้จักกับโรคเบาหวานกันพอสมควร หลายคนคงรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาทันที แต่ก็อย่าพึ่งตกอกตกใจไป เพราะโรคเบาหวานสามารถรักษาเยียวยาให้อาการดีขึ้นได้ โดยวันนี้เราได้นำสุดยอดสมุนไพรเบาหวานแบบไทยๆ สามารถหาได้ใกล้ตัวมาให้ท่านผู้อ่านได้ทำความรู้จัก จะได้นำไปบอกต่อคนรอบข้างที่กำลังป่วยเป็นเบาหวาน ช่วยให้มีอาการดีขึ้น

สุดยอดสมุนไพรเบาหวาน
         1.ตำลึง ไม่ว่าใบอ่อนหรือแก่ก็สามารถใช้รับประทานเพื่อรักษาเบาหวานได้ โดยตำลึงนั้นทั้งปลูกง่ายและให้สารอาหารที่มีคุณค่ายิ่งกับร่างกาย มีแบต้าแคโรทีน ป้องกันมะเร็ง แถมยังมีแคลเซียมในปริมาณสูง ธาตุเหล็กและฟอสฟอรัสอยู่อีกไม่น้อย และยังช่วยลดน้ำตาลในเลือด เร่งการหายของแผล เป็นสมุนไพรเบาหวานที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นผักหาง่าย ราคาย่อมเยา แต่ให้คุณค่ามหาศาล
         2.กะเพรา เรานิยมนำมาเป็นส่วนประกอบของอาหารไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่คุณทราบหรือไม่ว่ากะเพรานั้นมีสรรพคุณทางยาในหลายๆด้าน ทั้งแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง ขับเสมหะ ทำให้โล่งจมูก ช่วยลดความดันในเลือด ยั้บยั้งการเกาะกันของเกล็ดเลือด เพิ่มระยะเวลาแข็งตัวของเลือด ช่วยลดไขมันในเลือด และปริมาณคอเลสเตอรอล ปกป้องตับเนื่องจากการถูกทำลายของสารคาร์บอนเตตราคลอไรด์ หรือสารปรอท ที่สำคัญมีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด และรักษาโรคเบาหวาน ลดระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้

         3.ว่านหางจระเข้ สมุนไพรเบาหวานอย่างว่านหางจระเข้ แม้จะขึ้นชื่อเรื่องสรรพคุณในการใช้ภายนอก ช่วยสมานแผลให้หายเร็ว มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ แต่ว่านหางจระเข้ยังมีคุณสมบัติในการป้องกันโรคเบาหวานได้อีกด้วย วิธีใช้คือให้ตัดเนื้อว่านหางจระเข้ความยาวประมาณ 3-4 เซนติเมตร นำไปรับประทานทุกวัน หรือจะปั่นเป็นน้ำว่านหางจระเข้ เพื่อรับประทานก็ได้ โดยอาการเบาหวานจะทุเลาลงตามลำดับโดยเฉพาะในผู้ที่เป็นเบาหวานในระยะแรก
         4.กระเจี๊ยบมอญ คนส่วนใหญ่อาจรู้จักกระเจี๊ยบแดงมากกว่า เนื่องจากนิยมรับประทานน้ำกระเจี๊ยบแดงมากในปัจจุบัน แต่กระเจี๊ยบมอญที่ว่านี้สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้ โดยการต้มแล้วจิ้มกับน้ำพริก มีสรรพคุณทางยามากมาย โดยในสมุนไพรเบาหวานนี้มีสาร mucilage และ peetin ในผลอ่อน จะเป็นส่วนสำคัญที่ลดน้ำตาลในเลือด โดยสารเมือก (mucilage) จะไม่ถูกย่อย ไม่ถูกดูดซึมเข้าร่างกาย ช่วยลดการดูดซึมน้ำตาล ผ่านผนังลำไส้ ดูดซึมน้ำตาลเข้ากระแสเลือดได้ช้าลง ทำให้น้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยไม่สูงขึ้น จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานได้
         สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน นอกจากจะใช้สมุนไพรใกล้ตัวดังกล่าวแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรออกกำลังนานเกินกว่า 30 นาที โดยแบ่งเป็นอบอุ่นร่างกาย 10 นาที และช่วงของการออกกำลังแบบเบาๆอีก 10 นาทีด้วย ทั้งนี้ ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลที่บริเวณเท้า การออกกำลังกายควรเลือกประเภทที่ไม่มีผลต่อการบาดเจ็บที่เท้า ที่แนะนำสำหรับคนป่วยเบาหวานก็อย่างเช่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน การเดินเร็ว การว่ายน้ำ เป็นต้น เพียงแค่นี้สุขภาพร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ได้ไม่ยาก

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

11 คุณประโยชน์จากโยเกิร์ต แคลอรี่ต่ำ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

         คุณทราบหรือไม่ ว่าโยเกิร์ต แคลอรี่น้อยแค่ไหน โดยโยเกิร์ตแบบรสธรรมชาติ 1 กล่อง มีพลังงานแค่ประมาณ 95 กิโลแคลอรี่เท่านั้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เมนูรับประทานเล่น (แต่อิ่มท้อง) อย่างโยเกิร์ตกลายเป็นอาหารยอดฮิตของคนรักสุขภาพที่ใช้ในการควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญคือโยเกิร์ต แคลอรี่ต่ำไม่ได้มีดีแค่เรื่องการลดความอ้วนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมายที่คุณอาจไม่เคยรู้ วันนี้เรามาดูกันว่าประโยชน์ของโยเกิร์ตมีอะไรบ้าง

11 ประโยชน์จากโยเกิร์ต แคลอรี่ต่ำ
         โยเกิร์ต (Yogurt) เป็นผลิตภัณฑ์จากนมที่เกิดจากการหมักระหว่างนมและโปรไบโอติกส์ หรือแบคทีเรียชนิดดีที่ยังมีชีวิต เมื่อรับประทานเข้าไป แบคทีเรียเหล่านี้จะไปสร้างความสมดุลให้จุลินทรีย์ในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นเป็นปกติ ทั้งยังเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกมากมาย

         1.ในโยเกิร์ตนั้นเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเลิศ เพราะในโยเกิร์ตนั้นจะมีโปรตีนมากกว่าในนมถึง 20 เปอร์เซ็นต์ และยังเป็นโปรตีนที่สามารถย่อยง่ายไม่ทำให้ท้องอืดเหมือนโปรตีนที่ได้จากนม
         2.ป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อลำไส้ไม่ว่าจะเป็นซัลโมเนลลา อีโคไล โคลิฟอร์มแบคทีเรีย พูดง่ายๆก็คือโยเกิร์ตสามารถยังยั้งอาการปวดท้องหรือท้องเสียที่เกิดจากเจ้าเชื้อโรคดังกล่าวได้นั่นเอง
         3.รักษาอาการท้องเสีย โดยมีการวิจัยออกมาว่าการรับประทานโยเกิร์ต แคลอรี่ต่ำเป็นประจำนั้นสามารถรักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน หรือโรคแผลในกระเพาะอาหารได้อย่างดี
         4.โยเกิร์ตช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม จากนมได้ดีขึ้น โดยในโยเกิร์ตมีกรดแลคติกที่ช่วยย่อยแคลเซียมได้ง่ายนั่นเอง
         5.ในโยเกิร์ตมีแลคโตบาซิลลัส ซึ่งสามารถช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ นอกจากนั้นยังสามารถควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ที่อยู่ในเลือดได้ ดังนั้น จึงมักเห็นผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน มีส่วนผสมของโยเกิร์ตอยู่
         6.ยับยั้งการเกิดมะเร็ง แลคโตบาซิลลัสยังสามารถช่วยตรวจจับสารโลหะหนัก สารก่อมะเร็งและกรดน้ำดีซึ่งเป็นพิษต่อร่างกายได้ ฉะนั้น โยเกิร์ตมีสารที่ยับยั้งและป้องกันการเกิดมะเร็งได้ นอกจากนั้นแลคโตบาซิลลัสยังสามารถยับยั้งไม่ให้แบคทีเรียในลำไส้สร้างสารไนเตรทที่เป็นอันตรายอีกชนิดหนึ่งกับร่างกายได้อีกด้วย
         7.ป้องกันโรคกระเพาะอาหาร จุลินทรีย์ทั่วไปอาจทำร้ายร่างกายแต่แลคโตบาสิลัสในโยเกิร์ตเป็นจุลินทรีย์ชนิดดีที่ร่างกายต้องการ มันจะไปหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ “เฮลิโคแบคเตอร์ เอชไพโลไร” ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ ลดการอักเสบของลำไส้และไขข้อ แถมยังทำตัวเป็นนักปราบปรามจุลินทรีย์ที่จะทำให้คุณเป็นมะเร็งปากมดลูก ช่วงที่มีรอบเดือนผู้หญิงจึงควรทานโยเกิร์ตเป็นประจำ

         8.เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยมีการค้นคว้าวิจัยพบว่า หากรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 2 ถ้วย แบคทีเรียในโยเกิร์ตจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ร่างกายป่วยไข้ได้ง่าย
         9.ช่วยฆ่าเชื้อราต่างๆได้ โดยเฉพาะเชื้อราบริเวณช่องคลอดของสาวๆ ซึ่งมักจะทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ โดยหากรับประทานโยเกิร์ตเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดเชื้อราชนิดนี้ลงไป
         10.ช่วยลดกลิ่นปาก เนื่องจากเจ้าแลคโตบาซิลลัส และสเตรปโตคอคคัสจะช่วยกำจัดแบคทีเรียในช่องปากที่เป็นสาเหตุของกลิ่นปากนั่นเอง ทำให้มีความมั่นใจในลมหายใจหอมสดชื่นมากขึ้น
         11.ประโยชน์ด้านความสวยความงาม โยเกิร์ต แคลอรี่ต่ำนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ในการเสริมความงามได้อีกด้วย โดยใช้ได้ทั้งแบบรับประทานและบำรุงผิวพรรณให้สวยใสจากภายนอก เช่น การใช้มาร์คหน้า พอกหน้า พอกตัว เป็นต้น โดยส่วนมากจะนำโยเกิร์ตร่วมกับส่วนผสมอื่นๆ อย่างขมิ้น น้ำผึ้ง แล้วนำมาคนให้เข้ากัน จากนั้นทาบางๆทั่วใบหน้าและลำคอทิ้งไว้ 10-20 นาทีจึงล้างออก ผิวหน้าจะขาวผุดผ่องอย่างที่สาวๆทุกคนปราถนา

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากสาเหตุอะไร มีอาการเหนื่อยง่ายด้วยจะอันตรายไหม

         การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ไม่ว่าใครก็คงจะเห็นด้วยกับคำกล่าวภาษิตโบราณนี้ เพราะหากร่างกายแข็งแรง จิตใจสมบูรณ์ คุณก็ย่อมที่จะสามารถปฎิบัติภารกิจทั้งประจำวัน หน้าที่การงาน และการเอาใจใส่ดูแลครอบครัวของตัวเองได้อย่างเมที่ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ไม่มีใครที่ต้องการจะให้เกิดโรคภัยกับตัวเองก็ตาม แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลรักษาตัวเอง ให้หาย หรือบรรเทาควบคุมอาการของตัวเองเอาไว้ให้ปรากฏออกมาน้อยที่สุด สำหรับในวันนี้ จะขอพาคุณผู้อ่านทุกท่านไปทำความรู้จักกับหนึ่งในอาการที่บ่งบอกถึงสัญญาณของโรคที่มีความรุนแรงอย่าง หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากอะไร และหัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย มีอันตรายต่อร่างกายอย่างไรกันบ้าง เพื่อเป็นข้อมูลให้คุณผู้อ่านทุกท่านได้เตรียมพร้อมในการดูแล รักษาตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ

หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากอะไร?
         หัวใจเต้นเร็ว เกิดจาก การที่อัตราการเต้นของหัวใจมีมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที (BPM) ในผู้ใหญ่ การเต้นที่รวดเร็วมากจนเกินค่ามาตรฐานเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “หัวใจเต้นเร็ว” หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากสาเหตุที่หลากหลาย โดยอาจขึ้นอยู่กับอายุ และสภาพร่างกายของคุณ ในปัจจุบันอาการหัวใจเต้นเร็ว มีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่
         1.Fibrillation หรือ supraventricular (SVT) รูปแบบของหัวใจเต้นเร็ว เกิดจากการก่อตัวอย่างรวดเร็วจนผิดปกติที่มักเริ่มต้นในห้องชั้นบนของหัวใจ
         2. atrial paroxysmal (PAT)
         3. paroxysmal ภาวะหัวใจเต้นเร็ว (PSVT)

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจเต้นเร็ว
         หัวใจเต้นเร็ว เกิดจากการที่สัญญาณไฟฟ้าในห้องชั้นบนของหัวใจเกิดความผิดปกติขึ้น จนไปรบกวนสัญญาณไฟฟ้าที่มาจาก sinoatrial (SA) ที่ทำหน้าที่คล้ายกับเครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจตามธรรมชาติ การเต้นของหัวใจอย่างรวดเร็วทำให้สัญญานการไหลเวียนของเลือดที่ไหลไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายไม่ได้รับการเติมเต็มออกซิเจนอย่างเหมาะสม ซึ่งทำให้ผู้ทีมีภาวะหัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่ายกว่าปกตินั่นเอง

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเป็นภาวะหัวใจเต้นเร็ว
         1.เด็ก มักจะพบภาวะหัวใจเต้นเร็ว ประเภท SVT ได้บ่อยมากที่สุด
         2.หัวใจเต้นเร็ว มักพบได้มากในเพศหญิง แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งสองเพศเช่นกัน
         3.คนหนุ่มสาวที่มักสะสมความเครียด วิตกกังวล
         4.คนที่มีความเหนื่อยล้าทางร่างกายมากๆ
         5.คนที่ดื่มกาแฟเป็นจำนวนมาก
         6.คนที่ดื่มแอลกฮออล์อย่างหนัก
         7.คนที่สูบบุหรี่อย่างหนัก

สภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ ที่มักเกิดขึ้นเมื่อหัวใจเต้นเร็ว
         1.หัวใจวาย
         2.เวียนศรีษะ วิงเวียน
         3.อาการใจสั่น
         4.เจ็บหน้าอก อันเป็นสัญญาณของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
         5.หายใจถี่ หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย
         6.หมดสติ
         7.หัวใจหยุดเต้น

การรักษาอาการหัวใจเต้นเร็ว
         หลายคนที่มีอาการหัวใจเต้นเร็วไม่จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์ โดยแพทย์จะพิจารณาการรักษาว่าอาการเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานาน หรือบ่อยครั้งเพียงใด ซึ่งแพทย์อาจจะแนะนำวิธีรักษาตัวเองอย่างง่ายๆ ดังต่อไปนี้
         1.ผ่อนคลายความเครียดให้น้อยลง
         2.ละ เลิก กาแฟ เครื่องดื่มแอลกฮอลล์ และบุหรี่
         3.พักผ่อนในแต่ละวันให้มากขึ้น
         4.ออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงมากขึ้น
         หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย ยังเป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญ ที่สร้างอุปสรรคให้กับการใช้ชีวิตประจำวัน และการทำกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นเมื่อได้ทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคดังที่ได้กล่าวถึงไปในข้างต้นแล้ว ขอแนะนำให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่จะทำให้เกิดหัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย เพื่อความสุขในชีวิตของตัวคุณเองอย่างยาวนาน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.