เคล็ดลับ บำรุงร่างกายให้สมดุล ด้วยการสร้างค่า PH ในตัวเอง

         ท่ามกลางวิธีบำรุงร่างกาย และดูแลรักษาสุขภาพมากมาย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพเชื่อว่า หนึ่งในกุญแจความลับที่ไขสู่ความแข็งแรงของสุขภาพนั้น ขึ้นอยู่กับการสร้างสมดุลค่า PH ในร่างกาย มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการบำรุงร่างกายของตัวเอง เนื่องจาก “กรด” เป็นศูนย์กลางของสุขภาพ ที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งบทความในวันนี้ จะขอพาคุณผู้อ่านทุกท่าน ไปทำความรู้จักกับการสร้างสมดุลกรด PH ในร่างกาย พร้อมกับไขความลับว่า กรด PH สามารถช่วยในการบำรุงร่างกายได้จริงๆหรือ?

ค่า PH คืออะไร?
 ค่า PH ย่อมาจาก พลังงานของไฮโดรเจน เป็นมาตราวัดค่าความเข้มข้นของไฮโดรเจนที่อยู่ภายในร่างกาย โดยการอ่านช่วงของค่า PH จะอยู่ระหว่าง 1-14 ถ้าหากร่างกายมีค่า PH เท่ากับ 7 ถือว่าเป็นกลาง ถ้าหากค่า PH น้อยกว่า 17 ก็จะมีฤทธิ์เป็นกรดและด่าง แต่ค่า PH ที่เหมาะสมสำหรับร่างกายของมนุษย์จริงๆจะอยู่ที่ 7.30-7.45 ซึ่งคุณสามารถที่จะทดสอบระดับค่า PH ของตัวเองได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเพียงแค่ใช้กระดาษลิปมัน กับน้ำลาย หรือปัสสาวะแรกในตอนเช้า ก่อนที่จะรัปประทานอาหาร หรือดื่มอะไร

ค่า PH ที่สมดุล ดีต่อสุขภาพอย่างไร?
 สมดุลของค่า PH นั้น ดีต่อสุขภาพ และการบำรุงร่างกาย โดยร่างกายที่อยู่เหนือความเป็นกรดนั้น จะช่วยทำให้ร่างกายกลับไปมีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยสร้างสมดุลให้กับระบบอื่นๆภายในร่างกายอีกด้วย ซึ่งสมดุลค่า PH ช่วยบำรุงร่างกาย ดังต่อไปนี้
1.ระบบย่อยอาหาร โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารส่วนใหญ่ เช่น อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด กรพในกระเพาะ รวมไปถึงแร่ธาตุต่างๆไม่เพียงพอในลำไส้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากกาที่ร่างกายขาดสมดุลของค่า PH ทั้งสิ้น
 2.ระบบไหลเวียนโลหิต ความเป็นกรดเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ เนื่องจากไขมันดีที่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของหัวใจ อาจถูกทำลายไปด้วยสภาพของความเป็นกรด ซึ่งอาจนำไปสู่อาการหัวใจวายขึ้นในที่สุด
   3.ระบบภูมิคุ้มกัน สภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เหมาะเป็นอย่างยิ่งในการผสมพันธุ์เชื้อโรคชนิดที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจน ในขณะที่ระดับของไฮโดรเจนที่สูง และอุดมสมบูรณ์ ก็เป็นการช่วยเพาะกันธุ์แบคทีเรียที่ไม่ดี ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านำไปสู่การเกิดอาการป่วยที่มากขึ้น

         4.ระบบทางเดินหายใจ ร่างกายของคนเราต้องการกาซออกซิเจนใหม่ และล้างก็ษซคาร์บอนไดออกไปจากร่างกาย แต่ในสภาพของกรดที่มากจนเกินไป จะทำให้การทำงานของเมือกผิดปกติ ในบางครั้งปอดก็จะติดเชื้อไวรัส หรือสร้างเชื้อโรคขึ้นในปอด จนนำไปสู่การเกิดโรคหวัด โรคหลอดลมอักเสบ และโรคหอบหืด เป็นต้น
 5.ระบบไขข้อ โรคไขข้ออักเสบ และโรคข้อเข่าเสื่อม เกี่ยวพันกับความไม่สมดุบของกรด และด่างภายในร่างกาย กรดจะสร้างความเสียหายให้กับกระดูกอ่อน ทำให้เกิดความแห้งกร้าน อาการระคายเคือง ส่งผลต่อการฟื้นฟูข้อต่อ
 6.ระบบประสาท กรดจะส่งผลต่อระบบประสาท โดยการทำลายพลังงานที่จำเป็น ส่งผลให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ อ่อนแอลง
 7.ระบบกล้ามเนื้อ เมื่อความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้นในเซลล์กล้ามเนื้อ มันก็จะเข้าไปขัดขวางการสลายการเผาผลาญกลูโคสและออกซิจเนให้กลายเป็นพลังงาน ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการยากที่จะส่งออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ ส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หลังจากออกกำลังกายหนัก
จากข้อมูลในเบื้องต้นที่ได้กล่าวถึงไปแล้วจะเห็นได้ว่า การบำรุงร่างกายอย่างถูกต้องนั้น จำเป็นที่จะต้องควบคุมสมดุลความเป็นกรด PH ภายในร่างกาย คุณจึงจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในสุขภาพของคุณอย่างแท้จริง

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ออฟฟิศ ซินโดรม เมื่ออาชีพพนักงานบริษัททำลายร่างกายของคุณ

         งานในออฟฟิส หลายคนอาจจะมองว่าเป็นอาชีพในฝัน เพราะเพียงแค่นั่งทำงานง่ายๆอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ภายในห้องแอร์เย็นๆ โดยมีเวลาการเข้าออกงานที่ชัดเจน สม่ำเสมอ ไม่ต้องตะลอนออกไปข้างนอกเหมือนกับงานใช้แรงงานกลางแจ้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำงานภายในสำนักงานอาจจะไม่ “ปลอดภัย” อีกต่อไป เพราะอาชีพนี้ ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆทั้งทางร่างกาย การสะสมความเครียดทางจิตใจ ที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพโดยรวมของคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
 การนั่งทุกวัน เป็นหนึ่งในบ่อเกิดสำคัญที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ การวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อคุณต้องนั่งทำงานเป็ยเวลายาวนานกว่า 8 ชั่วโมง ต่อวัน เป็นส่วนใหญ่ คุณมักที่จะต้องผจญกับความเสี่ยงที่สูงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต และความผิดปกติของมวลกล้ามเนื้อ หรือที่มักเรียกกันอย่างติดปากว่า โรคออฟฟิศ ซินโดรมนั่นเอง

         โดยพื้นฐานร่างกายของมนุษย์ การหมั่นยืดเส้นยืดสายเป็นระยะระหว่างวัน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และการเคลื่อนไหวโดยรวมของร่างกายให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากคุณมัวแต่คุ้นเคยกับการนั่งจมอยู่กับโต๊ะทำงานตลอดทั้งวัน ความหนาแน่นของมวลกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นมา ก็จะทำให้คุณเกิดอาการปวดตามส่วนต่างๆของร่ากาย ไม่ว่าจะเป็นต้นคอ หลัง ไหล่ สะโพก หรือแขน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญานแสดงให้เห็นว่า ร่างกายของคุณกำลังถูกคุกคามโดยโรคออฟฟิศ ซินโดรม ซึ่งเป็นโรคสมัยใหม่ที่กำลังเป็นปัญหาของคนที่จำเป็นจะต้องใช้เวลาทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานๆ ตลอดทั้งวัน แต่โรคออฟฟิศ ซินโดรม ก็สามารถบรรเทา และหลีกเลี่ยงได้ ขอเพียงแค่คุณปฎิบัติตัวตามขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้

วิธีการบรรเทา และหลีกเลี่ยงอาการออฟฟิศ ซินโดรมอย่างง่ายๆด้วยตัวเอง
สำหรับวิธีการบรรเทา และหลีกเลี่ยงอาการออฟฟิศ ซินโดรมนั้น มีอยู่หลายวิธีเลยทีเดียว แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว วิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั้น มีดังต่อไปนี้
1.ลดความหนาแน่นของกล้ามเนื้อคอและไหล่ เริ่มจากการค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองบนเพดาน จากนั้นยืดแขนทั้งสองออกไปข้างหน้า พร้อมกับการบีบหัวไหล่เข้าหาแขน จากนั้นเหวี่ยงแขนทั้งสองไปด้านข้าง สลับซ้าย-ขวา ให้มากที่สุด ทำซ้ำ 10 ครั้ง เป็นจำนวนหลายๆครั้งต่อวัน

         2.ลดความหนาแน่นของกล้ามเนื้อสะโพก เป็นวิธีการออกกำลังกายลดอาการออฟฟิศ ซินโดรม โดยเริ่มต้นจากท่ายืน ลดสะโพกลงขนกว่าเข่าขวาจะสัมผัสกับพื้น โดยให้ต้นขาซ้ายมีการขนานกับพื้น บิดตัวไปทางซ้ายเล็กน้อย ทำค้างเอาไว้ 15-30 วินาที แล้วทำสลับซ้ำกับขาด้านตรงกันข้าม โดยทำเป็นประจำ 3-4 ครั้ง ต่อวัน
 3.ลดความหนาแน่นของกล้ามเนื้อข้อมือ ทำการยืดแขนทั้งสองข้างของไปข้างหน้า ในลักษระประสานมือเอาไว้ด้วยกัน ยกแขนชี้ไปทางเพดาน แล้วใช้มือซ้ายทำการดึงผ่ามือ และนิ้วมิข้างขวาของคุณกลับไปยังหัวไหล่ ทำค้างเอาไว้ 10 วินาที จากนั้นให้ย้ายไปทำซ้ำในฝั่งตรงกันข้าม ควรทำเป็นประจำ ทุกๆหนึ่งชั่วโมง เมื่อคุณจำเป็นที่จะต้องใช้คอมในระยะเวลานานๆ
อย่างที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น โรคออฟฟิศ ซินโดรม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการไม่ค่อยได้ลุกขยับตัวยิดเส้นสายตามสมควร ดังนั้นในขณะที่ทำงานคุณจึงควรลุกออกจากเก้าอี้ไปคุยกับเพื่อนบ้าน หาน้ดื่ม เข้าห้องน้ำ หรือเดินไปติดต่อประสานงานกับฝ่ายอื่นๆภายในออฟฟิศ กิจกรรมง่ายๆเหล่านี้ ก็สามารถที่จะช่วยลดอาการออฟฟิศ ซินโดรม ที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณให้น้อยลงได้ตามธรรมชาติแล้ว

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รวมวิธีธรรมชาติ ที่จะช่วยให้คุณนอนหลับโดยไม่ต้องพึ่งพายานอนหลับ

         คนจำนวนมากมายเหลือคณานับในโลกใบนี้ ที่จำเป็นจะต้องใช้ใบสั่งยายานอนหลับจากแพทย์ เพื่อให้สามารถแน่ใจว่าตัวเองสามารถที่จะนอนหลับได้ครบตามระยะเวลาที่เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากได้ออกมาทำการเตือนว่า ยานอนหลับนั้น มีผลช้างเคียงอันไม่พึงประสงค์มากมาย ทำให้การใช้ยานอนหลับนั้น จำเป็นที่จะต้องจำกัดการใช้งานเอาไว้ไม่ให้มากจนเกินไป
 ถ้าหากคุณกำลังมีความผิดปกติในการนอนหลับ คุณอาจจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญสักคน แต่คนส่วนใหญากลับไม่ทราบว่า อาการนอนไม่หลับนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพายานอนหลับเสมอไป ยังมีทางเลือกอื่นๆที่สามารถช่วยทำให้คุฤณนอนหลับได้ โดยเฉพาะการใช้วิธี “พฤติกรรมบำบัด” ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากททั่วโลกในปัจจุบัน

พฤติกรรมบำบัด ศาสตร์สำหรับคนที่นอนไม่หลับโดยเฉพาะ
 สำหรับคนที่มีปัญหานอนไม่หลับ สามารถทำตามคำแนะนำที่อิงจากการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และสถิติจากการศึกษาผู้ที่นอนไม่หลับทั่วโลก ดังต่อไปนี้
 1.เมื่อรู้สึกว่านอนไม่หลับให้ลุกออกจากเตียง ถ้าหากคุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เป็นเวลา 20-40 นาที หลังจากการเข้านอน อย่าพึ่งทำการพึ่งพายานอนหลับ แต่ให้ลองลุกออกจากเตียง ไปทำอย่างอื่นเป็นเวลาประมาณ 30-60 นาที จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองง่วงจากความเหนื่อยจริงๆ แต่ให้ระวังรูปแบบกิจกรรมที่คุณลุกขึ้นไปทำ ไม่ให้มีความตื่นเต้นจนเกินไป เพราะมันจะยิ่งทำให้คุณตาสว่างมากยิ่งขึ้น
 2.ลองผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นเทคนิคที่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 โดยมีหัวใจสำคัญคือ การผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้นภายในกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ด้วยการออกกำลังกายที่เรียบง่าย ซึ่งวิธีนี้เกี่ยวพันเป็นอย่างมากกับการทำให้นอนหลับอย่างสินทดีมากยิ่งขึ้น
3.ทำสมาธิ จากการศึกษาเคล็ดลับการทำสมาธิในปี 2009 พบว่า การทำสมาธิมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อสู้กับโรคนอนไม่หลับ เพียงแค่การทำสมาธิขั้นพื้นฐานอย่างการกำหนดลมหายใจ ก็เพียงพอที่จะช่วยทำให้คุณสามารถนอนหลับได้ดีมากยิ่งขึ้น

         4.อาบน้ำอุ่น ช่วยเพิ่มอุณภูมิให้กับร่างกายของคุณเล็กน้อย ซึ่งนั่นเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยทำให้การนอนหลับของคุณเป็นไปได้อย่างดีมากยิ่งขึ้น ในการศึกษาขนาดเล็กเมื่อปี 1985 พบว่า คนที่ใช้เวลาอาบน้ำอุ่นก่อนเข้านอน นอกจากจะสามารถตื่นได้อย่างรวดเร็วขึ้นแล้ว ยังนอนหลับได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย
 5.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงแรงให้ผลในการนอนหลับที่ดี มากกว่าเพียงการออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ โดยเฉพาะการฝึกโยคะ ที่นับเป็นยานอนหลับชั้นดี
 6.เปลี่ยนห้องนอนให้ปลอดโปร่ง ห้องนอนของคุณจำเป็นที่จะต้องปลอดโปร่งและสะดวกสบายที่สุด ความเงียบสงบ เครื่องเรือนสีขาว อากาศที่ค่อนข้างเย็นสบาย และความสะอาดโดยรวม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สามารถช่วยทำให้คุณนอนหลับได้อย่างสนิทมากยิ่งขึ้น
 7.น้ำมันหอมระเหย จากการศึกษาในปี 2005 พบว่า กลิ่นลาเวนเดอร์ ส่งผลช่วยทำให้คุณหลับลึกมากยิ่งขึ้น และจากการศึกษาอื่นๆก็ยังสนับสนุนผลการวิจัยเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
ข่าวดีสำหรับคนที่เลือกการบำบัดอาการนอนไม่หลับด้วยวิธีเหล่านี้คือ พวกมันมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการช่วยทำให้นอนหลับ และยังเป็นการช่วยปรับนาฬิกาภายในร่างกายให้มีความปกติมากยิ่งขึ้น แต่ข่าวร้ายคือ วิธีการเหล่านี้โดยส่วนใหญ่ยังไม่ได้ถูกรับรองด้วยองค์การอาหารและยา ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิธีทางธรรมชาติ ให้ผลดีมากกว่ายานอนหลับ ที่มักส่งผลร้ายต่อร่างกาย และเวลาในร่างกายโดยรวม

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รวมมิตร สมุนไพรโรคเก๊าท์ บรรเทาอาการปวดและอักเสบ

         กระบวนการรักษาสุขภาพจากธรรมชาติ สร้างความน่าประทับใจแก่มนุษย์ได้เสมอ โดยเฉพาะบรรดาสมุนไพรโรคเก๊าท์ ที่มีคุณสมบัติช่วยลดบรรเทาอาการปวด และอาการบวม ที่เกิดขึ้นจากโรคเก๊าได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิธีการรักษาในลักษณะนี้ ได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนเลยทีเดียว ซึ่งบทความในวันนี้จะขอพาคุณผู้อ่านที่รักในสุขภาพทุกท่าน ไปทำความรู้จักกับสมุนไพรโรคเก๊าท์ ที่มีประโยชน์ดปฌนอย่างมากในการบรรเทาอาการโรคเก๊าที่แสนน่ารำคาญของคุณ

สมุนไพรสำหรับบรรเทาอาการโรคเก๊า
 สมุนไพรโรคเก๊าท์ มีอยู่มากมายหลายประเภท และส่วนใหญ่แล้วสมุนไพรโรคเก๊าท์ มักที่จะสามารถหาได้อย่างง่ายๆ จนหลายคนมองข้ามประสิทธิภาพของมัน ซึ่งสมุนไพรโรคเก๊าท์ ที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้
1.น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ มีคุณสมบัติในการช่วยสร้างความเป็นด่างในร่างกาย ด้วยกรดมาลิ ที่จะช่วยละลายกาฝากที่สร้างความเจ็บปวดตามข้อกระดูก พร้อมกับกรดยูริคที่ช่วยกำจัดพวกมันออกจากร่างกาย
2.รากขมิ้นผง ผงรากขมิ้นเป็นสมุนไพรโรคเก๊าท์ที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก เป็นยาสมุนไพรที่ช่วยในการแก้ปวด ซึ่งได้รับการนำมาใช้ในวงการแพทย์อายุรเวทมานานหลายร้อยปี นอกจากนี้รากขมิ้นผง ยังมีศักยภาพช่วยในการป้องกันอาหารอักเสบได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นอกจากการบรรเทาอาการโรคเก๊าแล้ว รากขมิ้นผง ยังมีประสิทธิภาพที่ดีในการบรรเทาอาการปวดข้อ พร้อมกับบรรเทาอาการตึงปวดไปทั่วข้อต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเป็นโรคเก๊า
 3.พริกป่น มีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ และสามารถนำมาใช้ในการรักษาอาการของโรคเก๊าได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาการ และยังช่วยในการบรรเทาอาการปวดได้อีกด้วย
   4.ขิง ขิงเป็นหนึ่งในยาสมุนไพรสามัญประจำบ้าน ที่ได้รับการพิสูจน์จากห้องทดลองแล้วว่า สามารถช่วยในการบรรเทาอาการของโรคเก๊า โดยเพียงแค่คุณเติมขิงลงไปในอาหารมื้อปกติของตัวเอง การดื่มชาขิง หรือแม้แต่การนำรากขิงที่หั่นแล้ววางลงบนบริเวณที่เกิดอาการเจ็บปวด
 5.แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีในการรักษาอาการของโรคเก๊า เพียงแค่คุณรัประทานแอปเปิ้ลตามปกติ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคเก๊าให้น้อยลง

         6.น้ำมะนาว ช่วยในการบรรเทาโรคเก๊า เพียงแค่คุณทำการผสมน้ำมะนาวครึ่งแก้วเข้ากับน้ำเปล่า แล้วดื่มเป็นประจำ วันละ 2-3 ครั้ง คุณก็จะสามารถเห็นถึงความแตกต่างของอาการปวดที่น้อยลงได้เป็นอย่างดี
7.กล้วย อุดมไปด้วยวิตามินซี การทานกล้วยสามารถช่วยรักษาอาการของโรคเก๊า ด้วยการการเจือจางผลึกที่เกาะอยู่รอบๆกระดูกจากกรดยูริคที่อยู่ภายในกล้วย ทำให้ร่างกายของคุณสามารถกำจัดผลึกที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้นออกจากร่างกายได้โดยง่ายดายมากยิ่งขึ้น
 8.เชอร์รี่ การทานเชอร์สดประมาณวันละ 20 ผล เป็นประจำ หรือการดื่มน้ำผลไม้ที่ทำจากเชอรรี่ ก็สามารถที่จะช่วยลดอาการของโรคเก๊าให้น้อยลงได้เป็นอย่างดี
 9.สับปะรด การทานหรือการดื่มน้ำสับประรด สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคเก๊าได้
10.องุ่น การทานหรือการดื่มน้ำองุ่น สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคเก๊าได้
 สมุนไพรโรคเก๊าท์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวด และป้องกันอาการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยลงอย่างน่ามหัศจรรย์ อีกทั้งยังหาได้ง่ายใกล้ตัวคุณ ในราคาที่ถูกอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดกำลังรู้สึกทุกข์ทรมานกับอาการของโรคเก๊า ก็สามารถนำเคล็ดลับการรักษาตัวเองโดยการใช้สมุนไพรเหล่านี้ไปใช้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความชิ้นนี้ จะสามารถช่วยบรรเทาอาการของคุณให้น้อยลง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ปวดกระดูก สัญญานอันตรายที่คุณอาจคาดไม่ถึง

         ความเจ็บปวด ไม่สบายตัว ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะต่างๆ เป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ในบรรดาความเจ็บปวดเหล่านั้น อาการปวดกระดูกือว่าเป็นหนึ่งในความร้ายแรงสูงสุด เพราะอาการปวดกระดูกนั้นแตกต่างจากการปวดกล้ามเนื้อ ไม่ว่าคุณจะย้าย เปลี่ยนท่านั่งท่านอน หรืออยู่นิ่งๆไม่เคลื่อนไหวไปไหน อาการปวดกระดูกก็จะยังคงอยู่เช่นเดิม และที่สำคัญ อาการปวดกระดูกนี้ ยังเชื่อมโยงเกี่ยวพันอยู่กับโรคที่ส่งผลต่อการรทำงานตามปกติ หรือโครงสร้างโดยรวมของกระดูกอีกด้วย ถ้าหากชะล่าใจปล่อยให้อาการปวดกระดูกยังคงมีอยู่ต่อไปโดยไม่ทำการดูแลแก้ไขอย่างถูกวิธีล่ะก็ ในอนาคตอันใกล้ โรคที่ร้ายแรงเกี่ยวเนื่องกันอยู่ก็อาจพร้อมปรากฏตัวขึ้นมาเยือนร่างกายของคุณอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

สาเหตุของอาการปวดกระดูก
มีหลายเงื่อนไขที่นำไปสู่อาการปวดกระดูก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักที่จะมีสาเหตุ ดังต่อไปนี้
 1.การบาดเจ็บ เป็นสาเหตุหลักๆอย่างหนึ่งของการเกิดอาการปวดกระดูกขึ้น โดยปกติแล้วอาการบาดเจ็บที่มีการกระทบกระทั่งรุนแรง อย่างเช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ มักที่จะทำให้เกิดการแตกหักของกระดูก และนำไปสู่อาการปวดกระดูกขึ้นในระยะยาว
2.ขาดแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับกระดูก เช่น แคลเซียม วิตามินดี เป็นต้น การขาดแร่ธาตุเหล่านี้จะนำไปสู่การเกิดโรคกระดูกพรุน ซึ่งเป็นโรคทางกระดูกที่สามารถพบได้บ่อยๆ ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนี้ในระยะปลายมักจะต้องทนกับอาการปวดกระดูก

โรคร้ายแรงที่มักแฝงตัวมากับอาการปวดกระดูก
 เมื่อเกิดดอาการปวดประดูกขึ้นบ่อยๆครั้ง โดยไม่ยอมหายไปตามระยะเวลาที่ผ่านไป อาการปวดกระดูกเหล่านั้น อาจจะเป้นสัญญานอันตรายในการก่อตัวของโรคต่างๆ ที่ควรระวัง อาทิเช่น
         1.โรคมะเร็งกระดูก การลุกลานมของมะเร็งที่เริ่มต้นจากอวัยวะบางส่วนของร่างกาย สามารถที่จะลุกลามแพร่ไปยังกระดูก อาทิเช่น โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งต่อมไทรอยด์ และมะเร็งต่อมลุกหมาก เป็นต้น มะเร็งกระดูกจะทำให้เกิดอาการปวดกระดูกอย่างรุนแรง เนื่องจากเซลล์มะเร็งจะไปรบกวนโครงสร้างปกติของกระดูก รบกวนการส่งเลือดไปหล่อเลี้ยงกระดูก ทำให้เนื้อเยื่อภายในกระดูกเริ่มตาย ก่อให้เกิดอาการปวดกระดูกขึ้น
2.โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นภายในไขกระดูก โดยปกติแล้วไขกระดูกจะทำหน้าที่เป็นรับผิดชอบในการผลิตเซลล์กระดูก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมักจะมีอาการปวดกระดูกร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณขา

การดูแลรักษาตัวเองเมื่อมีอาการปวดกระดูก
 เมื่อรู้สึกปวดกระดูกบริเวณใดก็ตามเป็นเวลาติดต่อกันหลายๆวัน และอาการไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น คุณควรไปปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทันที โดยเฉพาะหากอาการปวดกระดูกเกิดขึ้นพร้อมกับการสูญเสียน้ำหนัก ความเมื่อยล้า และความอยากอาหารที่ลดน้อยลงไป อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดอาการบาดเจ็บโดยตรงไปยังกระดูก อย่ามัวชะล่าใจ แต่ควรรีบไปเข้ารับการรักษาทางการแพทย์อย่างเหมาะสโดยเร็วที่สุด
   สำหรับการดูแลตัวเองเมื่อเกิดอาการปวดกระดูกขั้นพื้นฐาน ในกรณีของคนที่ป่วยเป็นโรคกระดูกพรุน สามารถที่จะบรรเทาอาการปวดด้วยการเสริมแร่ธาตุที่จำเป็นอย่างแคลเซียม และวิคามินดี แต่ถ้าหากเกิดขึ้นในกรณีที่เกี่ยวเนื่องกับโรคมะเร็ง จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรักษาโรคมะเร็งไปพร้อมกับการบรรเทาอาการปวดปวดกระดูกที่เกิดขึ้น ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษาที่ค่อนข้างนานเลยทีเดียว

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

นอนหลับยาก สาเหตุ และแนวทางการแก้ไขด้วยตัวเอง

         เมื่อคุณประสบปัญหาการนอนหลับในเวลากลางคืน หรือตื่นขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งตลอดทั้งคืน สิ่งเหล่านี้มักถูกเรียกรวมๆกันว่า “โรคนอนไม่หลับ” ซึ่งเป็นโรคที่สร้างความยากลำบาก หลับยาก และส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกาย และจิตใจของคุณเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอาการปวดหัวในตอนกลางวันบ่อยๆ
 คนส่วนใหญ่ ในบางจุดของชีวิตมักที่จะต้องประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับ ตามสถิตของสถาบันสุขภาพแห้งชาติ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 25 ของประชากร มีปัญหาการนอนไม่หลับ นอนหลับยากบ้างเป็นครั้งคราว แต่ในด้านสรีระวิทยาแล้ว ร่างกายของผู้ใหญ่จำเป็นที่จะต้องได้รับการนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวัยละ 8 ชั่วโมง แต่สำหรับคนที่นอนหลับสนิท หากได้นอนหลับประมาณ 6-7 ชั่วโมง ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้สึกสดชื่น พร้อมสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน

อาการหลับยาก นอนไม่หลับ ส่งผลต่อสุขภาพและชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง?
 อาการหลับยาก นอนกไม่หลับ มักจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่างกาย และจิตใจได้มากมายหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
 1.อาการปวดหัวบบ่อยๆ
2.หงุดงหิดง่าย
3.รู้สึกเมื่อยล้าตลอดทั้งวัน
4.ตื่นง่ายจนเกินไป
5.ตื่นบ่อยครั้ง ตลอดทั้งคืน
6.พลังงานโดยรวมของร่างกายต่ำในแต่ละวัน
7.รอยคล้ำใต้ตา

สาเหตุพื้นฐานที่ก่อให้เกิดปัญหาหลับยาก นอนไม่หลับ
มีหลายเหตุผลมากมายที่นำไปสู่การเกิดปัญหาหลับยาก นอนไม่หลับ รวมไปถึงนิสัยการนอน วิถีการใช้ชีวิต และเงื่อนไขทางการแพทย์ ซึ่งหลายสิ่งเหล่านี้สามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากอาการหลับยาก นอนไม่หลับรุนแรง ขอแนะนำให้คุณรีบไปพบแพทย์ เพื่อขอคำปรึกษาที่เหมาะสมกับอาการของตัวเองจะดีที่สุด โดยทั่วๆไปแล้ว อาการหลับยาก นอนไม่หลับ มักจะมีความเกี่ยวพันกับสาเหตุต่างๆ ดังต่อไปนี้
 1.แรงกระตุ้นที่มากจนเกินไปก่อนเข้านอน อาทิเช่น การออกกำลังกาย การเล่นวีดิโอเกม การชมภาพยนตร์ เป็นต้น
2.การดื่มคาเฟอีนมากจนเกิยไป
3.ถูกรบกวนด้วยเสียงดัง
4.ห้องนอนอนอึดอัด ไม่ปลอดโปร่ง
5.ความตื่นเต้น
6.นอนกลางวันมากจนเกินไป
7.ขาดการสัมผัสกับแสงแดด
8.ปัสสาวะบ่อย
9.ความเจ็บปวดทางกาย
10.ความเครียด และความวิตกกังวล
11.ยาบางชนิดที่แพทย์สั่ง
เช่น ยารักษาต่อมไทรอยด์ ยาที่มีส่วนผสมของอีเฟดรีน หรือ phenylpropanolamine เป็นต้น
12.ความหิว

โรคเกี่ยวข้องกับอาการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก
 ในบางคน อาการนอนไม่หลับ อาจจะมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของการนอนหลับ เช่น
         1.การหยุดหายใจในขณะหลับ โรคอุดตันในทางเดินหายใจ ทำให้ตลอดทั้งคืน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเหล่านี้ต้องตื่นขึ้นมบ่อยครั้ง จากอาการสำลัก
         2.กลุ่มอาการขาไม่อยู่สุข ทำให้เกิดอาการเสียวซ่าน หรืออาการปวด จากการที่ขามีการย้ายตำแหน่งอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางการนอนหลับอย่างสนิทของคุณ
 3.ความล่าช้าในการนอนหลับ คนที่นอนผิดเวลาจนเคยตัว นอนดึกจนเคยชิน จะทำให้ไม่รู้สึกง่วงเมื่อถึงเวลาควรเข้านอนในตอนกลางคืน พวกเขาจะง่วงก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่ตัวเองเคยนอน เช่น 02.00 น. เป็นต้น วงจรการนอนหลับที่ยุ่งยากนี้ ทำให้การตื่นเช้าเพื่อไปเรียน หรือทำงาน มีความยากลำบาก และเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวัน
 นอกจากนี้ยังมีอาการป่วยอื่นๆ ที่สัมพันธ์กับอาการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก ไม่ว่าจะเป็น การงอกของฟัน หรือแก็ซในกระเพาะอาหาร หรือปัญหาในระบบทางเดินอาหารเป็นต้น

การรักษา บรรเทาอาการนอนไม่หลับ นอนหลับยากด้วยตัวเอง
 การรักษาอาการนอนไม่หลับ นอนหลับยาก ขึ้นอยู่กับสาเหตุของมัน ในบางกรณีการเยียวยารักษาด้วยตัวเองที่บ้าน หรือเพียงแค่ทำการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตให้เรียบง่ายมากยิ่งขึ้น ก็สามารถที่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพของการนอนหลับให้ดีมากยิ่งขึ้นได้เช่นกัน นอกจากนี้คุณยังสามารถนำข้อแนะนำด้านล่างนี้ ไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการหลับสนิทที่มากขึ้นได้ ดังต่อไปนี้
 1.หลีกเลี่ยงการดื่มคาเฟอีน และเครื่องดื่มแอลกฮออล์อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน
 2.ฟังเพลงผ่อนคลายก่อนนอน
 3.ถ้าต้องการหลับพักผ่อนในตอนกลางวัน ไม่ควรเกิน 30 นาที
   4.หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะกระตุ้นประสาทของคุณให้ตื่นตัวก่อนนอน
 5.อาบน้ำอุ่นก่อนเข้านอน
 6.ให้แน่ใจเสมอว่าห้องนอนของคุณมืด และมีความเย็นมากพอ
 7.ปรับการตารางการใช้ชีวิต ให้การนอนหลับของคุณเป็นปกติเหมือนกับคนอื่นๆทั่วไป

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

อาการนอนไม่หลับ…แก้อย่างไรดี

         การนอนไม่หลับไม่ใช่โรคร้ายแต่อย่างใด มันเป็นปัญหาสุขภาพอย่างหนึ่งที่จะทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหนังสือ หน้าที่การงาน รวมถึงความสัมพันธ์กับผู้อื่น ทั้งนี้ แต่ละคนอาจมีความรู้สึกต่อการนอนไม่หลับได้หลายแบบ เช่น อาการนอนหลับยาก กว่าจะหลับสนิทก็ใช้เวลานาน หรือบางคนหลับๆตื่นๆ นอนหลับไม่สนิทเสียทีเดียว เป็นต้น วันนี้เรามาดูกันว่า จริงๆแล้วอาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ อย่างไร

ทำไมถึงมีอาการนอนไม่หลับ
         1.ปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น ภาวะตึงเครียดในชีวิต สูญเสียบางในอย่างในชีวิต เป็นต้น
         2.การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม เช่น แสงสว่างมากเกินไป เสียงดัง อุณหภูมิร้อนเกินไป การเปลี่ยนที่นอนและการเดินทางข้ามเส้นแบ่งเวลาโลก การทำงานกะดึก เป็ต้น 

         3.ปัญหาจากโรคของการนอนหลับโดยตรง เช่น การเคลื่อนไหวแขนขาที่ผิดปกติขณะหลับ การขาดลมหายใจระหว่างการนอนหลับเป็นพักๆ           
         4.ความผิดปกติทางสรีรวิทยา ของผู้ป่วยที่มีความไวกว่าธรรมดา เช่น ภาวะตื่นตัวสูงและตื่นเต้นง่าย           
         5.โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรคในกลุ่มกังวล โรคจิต เป็นต้น      
         6.อาการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น สมองเสื่อม ความผิดปกติของฮอร์โมน อาการปวดการไอเรื้อรัง การหายใจลำบาก การตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อย ๆ            
         7.การใช้ยาหรือสารบางชนิด

วิธีแก้อาการนอนไม่หลับ
         1.เลี่ยงอาหารทำให้เกิดลม รวมถึงสิ่งที่ทำให้ท้องอืด ท้องเฟ้อ เช่น น้ำอัดลม ถั่ว มันเทศ หัวหอมใหญ่ พริกหยวก บล็อกโคลี่ มันแกว ข้าวโพด กล้วยหอม และควรงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนนอน เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม รวมทั้งขนมหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว
         2.หยุดรับประทานก่อนนอน 2 ชั่วโมง ควรหลีกเลี่ยงการเข้านอนในขณะที่อาหารกำลังย่อยอยู่ ควรปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่างน้อย 2 ชั่วโมงหลังอาหารค่ำ หรือหากอยากให้ย่อยไว แนะนำให้เดินเล่นในบ้าน จะทำให้กระเพาะทำงานได้ดีขึ้น

         3.อาบน้ำอุ่น หากนอนไม่หลับเป็นประจำ แนะนำให้อาบน้ำอุ่นโดยค่อยๆเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก 35 ถึง 39 องศาเซลเซียส น้ำอุ่นสามารถกล่อมประสาทให้ง่วงนอนได้ หรืออีกวิธีคือให้แช่เท้าในน้ำอุ่นจะช่วยผ่อนคลายเส้นประสาท เส้นโลหิต หลอดน้ำเหลือง ทำให้หลับได้ดีขึ้น
         4.รับประทานน้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น น้ำผึ้งเล็กน้อยผสมในน้ำอุ่น หรือชาสมุนไพร จะช่วยทำให้หลับง่ายขึ้นนั่นเอง เพราะมีการใช้น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อนๆ มาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว ทั้งนี้ อย่าลืมว่าควรบริโภคก่อนที่จะนอนประมาณ 2 ชั่วโมง
         5.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 30 นาที ช่วงเช้าตรู่หรือตอนเย็น จะช่วยลดความตึงเครียดทางร่างกายและอารมณ์ ช่วยให้หลับได้เร็ว ทั้งยังทำให้ตื่นเร็วขึ้น กระนั้นก็ดี ไม่ควรออกกำลังกายช่วงใกล้เข้านอน เพราะอาจรบกวนการนอนหลับได้
         6.หากิจกรรมสร้างความผ่อนคลาย ถ้าเข้านอนนาน 15-30 นาที แล้วยังไม่หลับให้ลุกขึ้นจากที่นอน แล้วทำกิจกรรมซึ่งให้ความเพลิดเพลิน เช่น ฟังเพลงหรืออ่านหนังสือ และกลับมานอนใหม่ แต่ควรหลีกเลี่ยงการดูทีวี ฟังข่าว เล่นคอมพิวเตอร์ เพราะจะเร้าความรู้สึกตื่นตัวในขณะที่อยากหลับ ที่สำคัญอย่านอนอยู่บนเตียงโดยไม่หลับจนถึงเช้า เพราะจะกระตุ้นให้เกิดความวิตกกังวล

         7.เข้านอนและตื่นนอนตรงเวลาทุกวัน เพื่อให้เกิดความเคยชิน หากลุกจากเตียงทันทีเมื่อตื่นอย่างตรงเวลา การสัมผัสแสงแดดอ่อนตอนเช้า และออกกำลังกายเบาๆ หลังตื่นนอน 10-15 นาทีก่อนทำกิจกรรมอื่น จะช่วยให้สมองและร่างกายตื่นตัว สามารถปฏิบัติกิจกรรมต่างๆได้ดี และเมื่อได้เวลาเข้านอนก็จะหลับได้อย่างสนิทมากขึ้น
         หากนำเคล็ดลับนี้ไปใช้คุณก็จะนอนหลับสนิทได้ทุกวัน ซึ่งมีผลวิจัยชี้ว่าขณะหลับเซลล์สมองจะหดตัวลงร้อยละ 60 ทำให้กระบวนการน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังที่ถูกส่งมาจากเนื้อเยื่อสมอง เพื่อกำจัดของเสียออกไปทำงานได้ดีขึ้นกว่าตอนตื่นถึง 10 เท่า ดังนั้น การนอนหลับให้สนิทอย่างเพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ ใครที่นอนไม่ค่อยหลับจึงควรหาวิธีแก้ไขให้ได้โดยเร็ว

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ยาเบาหวาน มีอะไรบ้าง และต้องใช้อย่างไรให้ถูกต้อง

         เบาหวาน…เป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หายขาด แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติได้ ด้วยวิธีการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และใช้ยาเบาหวาน สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขเหมือนคนทั่วไป ทั้งนี้ ในเรื่องของการใช้ยาเบาหวาน จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ยาฉีดอินซูลิน และยารับประทาน

1.ยาเบาหวานแบบฉีดอินซูลิน
         เป็นยาที่ใช้ฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณต้นขา หรือหน้าท้อง วันละ 1-4 ครั้งก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง ซึ่งควรหมุนเวียนเปลี่ยนที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนังแทนการฉีดซ้ำที่เดิม แต่ยังคงอยู่ในบริเวณผิวหนังเดียวกัน เช่น ฉีดบริเวณต้นขา ก็เปลี่ยนตำแหน่งแทงเข็มโดยให้ยังคงอยู่ที่บริเวณต้นขา

         อินซูลินมีทั้งชนิดที่เป็นน้ำใสและน้ำขุ่น หากต้องใช้ทั้ง 2 ชนิด ผู้ป่วยต้องใช้กระบอกฉีดยาดูดอินซูลินชนิดน้ำใสก่อน แล้วจึงดูดยาอินซูลินชนิดน้ำขุ่น เข้ามาผสมในกระบอกฉีดยาเดียวกัน จากนั้นจึงนำไปฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ข้อสำคัญคือ อินซูลินที่ยังไม่เปิดใช้ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่ไม่ใช่ช่องแช่แข็ง เมื่อจะใช้จึงนำออกมาจากตู้เย็น และนำไปคลึงระหว่างฝ่ามือทั้งสองข้างเพื่อให้อินซูลินมีอุณหภูมิเท่ากับอุณหภูมิกายก่อนนำไปฉีด
         อย่างไรก็ดี ยาเบาหวานประเภทฉีดยังไม่เป็นที่นิยมของคนไทยมากนัก เนื่องจากคนในบ้านเรามักไม่ชอบการฉีดยาและมักจะยอมฉีดก็ต่อเมื่อไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้จากการรับประทานยาแล้วเท่านั้น ยาเบาหวานชนิดรับประทานจึงเป็นที่รู้จักและนิยมของคนไทยมากกว่า

2.ยาเบาหวานแบบรับประทาน
         1) ยาก่อนอาหาร ยากลุ่มนี้ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายพร้อมที่จะใช้พลังงานจากแป้งและน้ำตาล โดยกระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมา ณ เวลาที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหลังจากรับประทานอาหาร โดยทั่วไปแล้วยารุ่นเก่ามักแนะนำให้ใช้ก่อนอาหารประมาณ ๓๐ นาที ส่วนยารุ่นใหม่สามารถใช้ก่อนอาหารทันทีได้ขึ้นอยู่กับความเร็วในการกระตุ้นตับอ่อนของยาแต่ละตัว ยาเบาหวานก่อนอาหาร ก็อย่างเช่น Chlorpropamide, Gliclazide, Gliquidine, Glimepiride, และ Repaglinide เป็นต้น
         เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ก่อนอาหารแล้ว จำเป็นต้องรับประทานทานอาหารหลังกินยาเสมอ ไม่เช่นนั้นฮอร์โมนอินซูลินที่ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าระดับปกติ จนอาจเกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่นเดียวกับกรณีลืมกินยา ไม่ควรกินยาหลังอาหารแทน เพราะยาจะออกฤทธิ์ในช่วงที่ระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงไปแล้ว จึงทำให้ระดับน้ำตาลลดต่ำลงไปมากกว่าเดิม โอกาสเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดจะต่ำกว่าระดับปกติจะมากขึ้น

         2) ยาพร้อมอาหาร ยาลดน้ำตาลในเลือดกลุ่มนี้ทำหน้าที่ออกฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด จึงควรรับประทานพร้อมกับมื้ออาหาร โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้พร้อมกับอาหารคำแรก ยากลุ่มนี้ ได้แก่ Acarbokse (ชื่อทางการค้า Glucobay) และ Voglibose (ชื่อทางการค้า Basen FDT)
         ระยะเวลาก่อนอาหารหรือหลังอาหารนานๆ ยากลุ่มนี้จะไม่เจอกับน้ำตาลที่ย่อยและพร้อมจะดูดซึมอยู่ในลำไส้เล็ก ดังนั้น ถ้าลืมใช้ยานี้พร้อมอาหาร อาจสามารถรับประทานยาหลังอาหารได้ทันที แต่ประสิทธิผลของยาจะน้อยกว่าการใช้ยาพร้อมอาหาร สำหรับมื้อที่ไม่ได้รับประทานอาหารก็ไม่จำเป็นต้องกินยากลุ่มนี้
         3) ยาหลังอาหาร จะออกฤทธิ์ช่วยทำให้อวัยวะต่างๆ ใช้น้ำตาลในกระแสเลือดที่ดูดซึมหลังรับประทานอาหารเพื่อไปเก็บสะสมหรือเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ดีขึ้น จึงสามารถใช้ยากลุ่มนี้หลังอาหารได้ทันที ทั้งนี้ ยาหลังอาหารมีหลายกลุ่มด้วยกัน ผู้ป่วยหลายคนอาจต้องใช้ยามากกว่า 1 ชนิด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิผลในการรักษามากขึ้น ตัวอย่างยาเบาหวานที่รับประทานหลังอาหาร เช่น Pioglitazone, Metformin, Saxagliptin, Sitagliptin, Vildagliptin เป็นต้น 
         เนื่องจากยาเบาหวานล้วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งมีความละเอียดอ่อนมาก หากใช้ไม่ถูกต้องอาจส่งผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้น ควรใช้ยาภายใต้คำสั่งของแพทย์เท่านั้น ที่สำคัญคือควรระมัดระวังในการรับประทานอาหาร เพราะควบคุมอาหารก็เป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาโรคเบาหวาน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

7 วิธีดูแลตัวเอง เมื่อมะเร็งตับมาเยือน

         มะเร็งตับเป็นโรคที่มีความร้ายแรง ส่งผลร้ายต่อชีวิตคนเป็นจำนวนมาก ลักษณะอาการของมะเร็งจะปรากฏสัณญาณที่แสดงออกทางร่างกาย โดยมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เป็นมะเร็งตับก็คือการดื่มแอลกอฮอล์ ถึงแม้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัดว่าแอลกอฮอล์เป็นสารก่อมะเร็งโดยตรง แต่หลักฐานการศึกษาส่วนใหญ่ พบว่าผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับมากกว่าผู้ที่ไม่ดื่มหลายเท่า

         รวมทั้งการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะถ้าผู้ที่สูบบุหรี่นั้นเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังหรือตับแข็งอยู่ก่อนแล้ว จะมีอัตราเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับเพิ่มขึ้น 8 เท่า มากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ทั้งนี้ เมื่อค้นพบอาการแล้วต้องวินิจฉัยว่าใช่มะเร็งหรือไม่ หากในชีวิตประจำวันพบความผิดปกติในร่างกายจำเป็นจะต้องดำเนินการตรวจให้ทันเวลา ไม่งั้นอาจสายเกินแก้

วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นมะเร็งตับ
         ผู้ป่วยมะเร็งตับต้องมีความพร้อมต่อการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยสิ่งสำคัญก็คือการมีกำลังใจ ห้ามท้อแท้เด็ดขาด เพราะหากสิ้นหวังเมื่อไหร่ มะเร็งตับก็จะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดูแลรักษาทั้งร่างกายและจิดใจเป็นอย่างดี ซึ่งวิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นมะเร็งตับมีดังนี้
         1.เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยมีหลักเกณฑ์คือ เลือกรับประทานข้าวกล้อง ธัญพืชไม่ขัดสี แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้แน่นท้องมากขึ้นได้ ผู้ป่วยมะเร็งตับสามารถเลือกรับประทานผักใบเขียวได้ทุกชนิด แต่หากมีอาการท้องอืดมากควรเลือกผักที่ไม่มีเส้นใยมากนักคือ กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักบุ้งจีน เป็นต้น

         นอกจากนี้ยังควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตตามปกติ แต่ต้องเลือกชนิดย่อยง่าย หากรับประทานได้น้อย อาจดื่มน้ำหวานเพิ่มเพื่อป้องกันน้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย และอาหารที่ขาดไม่ได้เลยก็คือผลไม้ โดยควรเลือกรับประทานที่มีเนื้อไม่แข็งหรือมีเส้นใยมากจนเกินไป เช่น กล้วย ชมพู่ หากรับประทานผลไม้สดลำบาก อาจดื่มน้ำผลไม้แทนได้ ที่สำคัญควรนำผลไม้มาปอกเปลือกเองแทนการซื้อแบบที่ปอกไว้แล้ว ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อได้
         โปรตีนจากเนื้อสัตว์และนมก็เป็นสิ่งที่ผู้ป่วยควรรับประทานให้มาก ทั้งนี้ สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการทางระบบประสาทที่มีผลแทรกซ้อนมาจากตับ เช่น ซึม การควบคุมตนเองผิดปกติ ควรได้รับโปรตีนในปริมาณที่จำกัดภายใต้การดูแลของนักกำหนดอาหาร
         2.แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็กๆ แต่ให้รับประทานบ่อยครั้งขึ้น กล่าวคือจากเดิมรับประทานอาหาร 3 มื้อ ได้แก่ เช้า กลางวัน และเย็น ก็เพิ่มเป็นเช้า สาย กลางวัน บ่าย เย็น และก่อนนอน
         3.ไม่อาบน้ำที่อุ่นจัดและเย็นจัด หรืออาบน้ำนานเกินไป และควรใช้โลชั่นทาบำรุงผิวหลังอาบน้ำเป็นประจำ เพื่อไม่ให้ผิวแห้ง หากมีอาการคันมากควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ เพื่อสั่งจ่ายยาทาหรือรับประทานแก้คัน
         4.พยายามทำตัวให้กระตือรือร้น และสดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ อย่าทำตัวสิ้นหวัง หมดอาลัยตายอยาก เพราะจะยิ่งทำให้บั่นทอนกำลังใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการต่อสู้กับโรคร้ายอย่างมะเร็งตับ นอกจากนี้ ยังควรผ่อนคลายความเครียด ด้วยการอ่านหนังสือ ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ ทำสมาธิ หรืองานอดิเรกอื่นๆทำ รวมถึงการท่องเที่ยวในสถานที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง พักผ่อนให้เพียงพอ
         5.หลังการรักษาควรตรวจร่างกายตามปกติ เอกซเรย์ ทีซีสแกน ฯลฯ ตามที่แพทย์นัด เพื่อเฝ้าระวังการกลับมาเป็นซ้ำ รวมถึงเพื่อกำหนดแนวทางในการลดหรือป้องกันอาการข้างเคียงจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้น

         6.หากมีอาการผิดปกติต้องรีบพบแพทย์ เช่น มีไข้สูง คลื่นไส้อาเจียนมาก ท้องเสียรุนแรง มีจุดเลือดออกตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกจากอวัยวะต่างๆ ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที
         7.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตามที่สภาพร่างกายเอื้ออำนวย โดยควรทำการบริหารข้อต่อและกล้ามเนื้อบ่อยๆ เพื่อลดอาการข้างเคียงจากปัญหาข้อยึดติด อย่างไรก็ตาม ก่อนออกกำลังกายควรทราบก่อนว่ามีอะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ หรือปรึกษาแพทย์ถึงแผนการออกกำลังกายก็จะถือเป็นการดี
         อย่างไรก็ดี มะเร็งตับเป็นโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน เนื่องจากในระยะเริ่มแรกอาการไม่เด่นชัด กว่าจะรู้สึกถึงอาการผิดปกติก็เป็นระยะสุดท้ายแล้ว ทำให้การรักษายากยิ่งขึ้น ดังนั้น สิ่งที่จะช่วยรักษามะเร็งตับได้อย่างประสิทธิภาพ คือการตรวจวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะแรก จึงจำเป็นที่จะต้องสังเกตตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าสุขภาพร่างกายมีส่วนไหนผิดปกติหรือไม่ แล้วรีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาให้ทันท่วงที

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

5 สมุนไพรมะเร็ง พิชิตโรคร้าย ได้ผลชะงัด

         “มะเร็ง” หนึ่งในโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก โดยมีรายงานการเสียชีวิตปีละเฉียด 8 ล้านคนทั่วโลก และเป็นสาเหตุการตายสูงสุดติดอันดับ 1 ของคนไทยต่อเนื่องมานานนับสิบปี โดยโรคมะเร็งมีหลายชนิด มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็สามารถเป็นมะเร็งได้ทั้งนั้น และถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะรุดหน้าไปไกล แต่สถิติการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็ง ดูจะไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลงเลย
         ดังนั้น การดูแลสุขภาพของตัวเองให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยวันนี้เราได้รวบรวมสมุนไพรมะเร็ง ที่จะมาพิชิตโรคร้ายนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักกัน แม้จะไม่สามารถรักษามะเร็งให้หายขาดได้ในเร็ววัน แต่สมุนไพรมะเร็งจะเป็นตัวช่วยทำให้ชีวิตของคุณดีขึ้น เพราะสามารถต่อต้านและฆ่าเชื้อมะเร็งได้หลายชนิด

 

สมุนไพรมะเร็ง พิชิตโรคร้าย
         1.บักบก รศ.ดร.อุษณีย์ วินิจเขตคำนวณ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับเภสัชกรมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ทำการวิจัยบัวบกเพื่อหาสารต้านมะเร็งลำไส้ใหญ่ พิสูจน์กลไกการออกฤทธิ์ โดยนำใบบัวบกมาตำคั้นเอาน้ำ สกัดสารสำคัญนำไปป้อนหนูที่ถูกกระตุ้นจนเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบว่าเซลล์ที่ผิดปกติลดขนาดลง นอกจากนี้ ยังช่วยบำรุงสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้ความดันโลหิตสูง แก้ช้ำใน เป็นต้น โดยที่นิยมกันมากก็คือการดื่มน้ำบำรุงสุขภาพ
         2.มังคุด ราชินีผลไม้ไทยอย่าง “มังคุด” มีคุณประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็ง โดยจากผลการทดลองในห้องแล็บของศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุชัดว่า สูตรสารธรรมชาติ BIM ที่ผสมผสานสารสกัด GM-1 จากมังคุด ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทยคิดค้นขึ้น ช่วยสร้างเม็ดเลือดขาวชนิด Th1  ที่ทำหน้าที่สร้างภูมิต้านทานในการกำจัดโรคในเซลล์ อาทิ เซลล์มะเร็ง เชื้อรา แบคทีเรีย รวมถึงไวรัส ซึ่งเม็ดเลือดขาว Th17 ภูมิคุ้มกันที่ช่วยป้องกันเชื้อโรคนอกเซลล์ หรือแม้แต่การเกิดเซลล์มะเร็ง ตามที่นักภูมิคุ้มกันวิทยาได้ศึกษาไว้ โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ
         3.น้ำทับทิม จากงานวิจัยทางการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา พบว่าในน้ำทับทิมมีสารต้านนอนุมูลอิสระหลายชนิด และมีประสิทธิภาพสูงมาก โดยพบว่าสารจากน้ำทับทิม สามารถลดภาวะการแข็งตัวของเส้นเลือดจากไขมันในเลือดสูงได้ อีกรายงานยังสรุปว่าทำให้เส้นเลือดที่หนาตัวและมีไขมันสะสม ซึ่งเป็นเส้นเลือดที่ไม่ดี มีความหนาตัวลดลง และลดไขมันที่สะสมลง รวมทั้งยังมีงานวิจัยอีกว่าทั้งในรูปน้ำสดและผ่านการหมักมีฤทธิ์ในการยับยั้งของเซลล์มะเร็งได้จริง

         4.ขมิ้นชัน นักวิจัยชาวอินเดียได้ทดลองพบว่าสารสกัดขมิ้นสามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งมดลูก และเซลล์มะเร็งน้ำเหลือง และพบว่าตัวสำคัญในการออกฤทธิ์นี้คือ เคอร์คิวมิน (Curcumin) นั่นเอง ขมิ้นมีศักยภาพในการต้านมะเร็ง เนื่องจากมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ต้านการเกิดมะเร็ง ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างเป็นปกติ ป้องกันการแพร่กระจายของมะเร็ง ทำให้เซลล์มะเร็งตายและป้องกันการตายของเซลล์ปกติ
         5.หญ้าปักกิ่ง หรือในชื่อภาษาจีนว่า “เล้งจือเช่า” หรือคนในบ้านเราเรียกว่า “หญ้าเทวดา” เป็นยามีรสจืด เย็น มีสรรพคุณในการยับยั้งโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งในคอ มะเร็งตับ มะเร็งมดลูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว การตรวจวิเคราะห์ในห้องแล็บพบว่า ลำต้นหญ้าปักกิ่งมีสารกลุ่มกลัยโคสพิงโกไลบิตส์ เป็นสารต้านมะเร็งระยะต้น ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคภูมิแพ้ โรคความดันและเบาหวาน สามารถใช้รักษาร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้ ทั้งยังช่วยลดอาการข้างเคียงจาการฉายแสง ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉายแสงอีกด้วย
         อย่างไรก็ตาม การใช้สมุนไพรมะเร็งควรคำนึงถึงผลกระทบกับการรักษาในแผนปัจจุบันด้วย โดยอาจเข้าไปเพิ่มฤทธิ์หรือลดฤทธิ์ของยาแผนปัจจุบันได้ เช่น ทำให้เม็ดเลือดต่ำลง ติดเชื้อง่ายขึ้น เลือดออกง่ายขึ้น มีผลข้างเคียงของยามากขึ้น จนอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วย ดังนั้น ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนที่จะใช้สมุนไพรมะเร็ง เพื่อป้องกันผลข้างเคียงและให้ได้รับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเท่าที่จะทำได้

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.