ดึงศักยภาพแฝงในร่างกายให้เกินร้อย ด้วยสารอาหารบำรุงประสาท

         ระบบประสาท ถือเป็นหนึ่งในอวัยวะที่มีความสลับซัซ้อนมากที่สุด และยังมีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกาย เนื่องขากต้องคอยทำหน้าที่ควบคุม นำคำสั่งจากสมองไปยังอวัยวะต่างๆให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกัน เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันต่างๆ เป็นไปได้อย่างลุล่วงมากที่สุด ถ้าหากไม่มีการบำรุงประสาทที่มากเพียงพอ ก็จะทำให้การทำงานเหล่านั้นด้อยประสิทธิภาพลง อีกทั้งยังมีการสะสมความเครียด จนกระทั่งก่อให้เกิดผลเสียต่างๆตามมา ซึ่งในปัจจุบันก็มีสารอาหารที่น่าสนใจหลายชนิด ที่มีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงประสาทอย่างน่าสนใจที่ควรทราบ มีดังต่อไปนี้

สารอาหารบำรุงประสาทที่ควรเติมเต็มในชีวิตประจำวัน
 1.แอลธีอะนีน กรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้มากในชาเขียว มีคุณสมบัติสำคัญในการช่วยผ่อนคลายระบบประสาทจากความตึงเครียด ด้วยการผลิต Gamma Amino Acid (GABA) สารอาหารที่ทำหน้าที่เป็นสารสื่อปราทประเภทยับยั้ง สร้างสมดุลของสารเคมีในสมอง ให้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย ส่งผลให้นอนหลับสบายมากยิ่งขึ้น
 2.วิตามินบีรวม จากการศึกษาพบว่า วิตามินบีรวมเป็นหนึ่งในสารบำรุงประสาทที่ยอดเยี่ยม ต่อระบบประสาทการสื่อสารภายในสมอง
3.ARA กรดไขมันไม่อิ่มตัว เป็นสารบำรุงประสาทในส่วนจองการมองเห็น โดยการช่วยเสริมสร้างเซลล์ประสาทและสายตา สำหรับแหล่งของสารอาหารตัวนี้ สามารถพบได้จากอาหารทะล ปลาทะเล ปลาทูน่า เป็นต้น
 4.โอเมก้า-3 เป็นสารบำรุงประสาท ที่ช่วยเป็นอย่างมากในการพัฒนาเนื้อเยื่อของระบบประสาท สามารถพบได้มากในปลาทะเล และปลาน้ำจืดบางชนิด
 5.โอเมก้า-6 ช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ประสาท สามารถพบได้มากจากน้ำมันพืช เป็นต้น
6.ลูทีน ช่วยในการบำรุงระบบประสาทของดวงตา
7.ทอรีน เป็นสารบำรุงประสาท ที่ช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท เนื้อสมอง และกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย สามารถพบได้มากจาก เนื้อสัตว์ ปลาทูน่า หอย และไข่ เป็นต้น

         8.สังกะสี ช่วยในการเสริมสร้างประสาทส่วนกลางในสมอง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
 9.วิตามินบี 12 ช่วยในการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ให้มีประสิทธิภาพดีมากยิ่งขึ้น
 10.วิตามินบี 5 ช่วยในการถ่ายทอดสัญญานประสาทเมื่อเกิดการกระตุ้น สารอาหารนี้พบมากในเนื้อวัว สัตว์ปีก ปลา และธัญพืชชนิดต่างๆ
 11.วิตามิน E ช่วยปกป้องกรดไขมัน ที่เป็นส่วนประกอบของเยื่อหุ้มเซลลืประสาท ไม่ให้ถูกทำลายจากปฎิกริยาออกซิเดชั่น
12.วิตามิน C ช่วยส่งเสริมการทำงานของสารสื่อประสาทให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
 ถ้าหากระบบประสาทขาดการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอด้วยสารอาหารเหล่านี้ ก็จะทำให้ระบบประสาทขาดความสมบูรณ์พอที่จะทำงานได้อย่างเมประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง ซึ่งในชีวิตประจำวัน การที่จะสามารถรับประทานอาหารที่ให้สารบำรุงประสาทเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์นั้นออกจะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากทีเดียว สำหรับใครที่กำลังมองหาสารอาหารเหล่านี้โดยเฉพาะ แล้วไม่ค่อยมีเวลาไปจับจ่ายซื้อหาอาหารที่ตลาดด้วยตัวเองจริงๆ ก็อาจจะใช้วิธีหาซื้ออาหารเสริมมารับประทานอย่างพอเหมาะ ก็ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดเช่นกัน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

10 อาหารบำรุงสุขภาพ ภายใต้ราคาน้อยกว่า 35 บาท

         ถึงแม้ว่าในปัจจุบันราคาอาหารต่างๆ จะสูงมากขึ้นตามราคาน้ำมันโดยรวมของโลก แต่คุณก็ยังจำเป็นที่จะต้องใช้จ่าย เพื่อซื้อหาอาหารที่ช่วยในการบำรุงสุขภาพของตัวเอง ถึงแม้พวกมันจะมีราคาที่เพิ่มมากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า “ราคา” จะกลายเป็นปัญหาสำคัญ ในการปิดกั้นตัวเลือกในการซื้อหาอาหารบำรุงสุขภาพของคุณ อันที่จริง ถ้าหากทำการศึกษาดีๆแล้ว คุณจะสามารถพบอาหารบำรุงสุขภาพในราคาที่ถูกมากกว่า 35 บาท ได้ตามท้องตลาดทั่วไปอย่างมากมายจนแทบไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว ซึ่งราคาของอาหารบำรุงสุขภาพอาจจะแตกต่างกันออกไปบ้าง ตามฤดูกลา และช่วงเวลาเก็บเกี่ยวว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ สำหรับอาหารบำรุงสุขภาพที่น่าสนใจ ภายใต้ราคาแสนถูกเหล่านั้น มีดังต่อไปนี้

อาหารบำรุงสุขภาพ ในราคาแสนถูกที่เหมาะกับร่างกายของคุณ
1.แอปเปิ้ล เหมะอย่างยิ่งสำหรับเป็นอาหารขบเคี้ยว หรือเป้นส่วนผสมของสลัดผัก แอปเปิ้ล 1 ผล มีปริมาณ 117 แคลอลี่ ไฟเบอร์ 5 กรัม วิตามินซี 17% และโพแทสเซียม 7% ที่เหมาะสมสำหรับร่างกาย
   2.กล้วย เหมาะในการเป็นอาหารว่าง จัดรวมกับสลัดผลไม้ หรือนำไปทำเป็นโยเกิร์ต สมูทตี้ ได้อย่างยอดเยี่ยม กล้วยมีปรมาณ 121 แคลลอลี่ เส้นใยอาหาร 3.5 กรัม โพแทสเซียม 14%  โพแทสเซียม 20% และคุณค่าจากวิตามินซี
 3.แครอทหัวเล็ก เหมาะในการเป็นส่วนผสมของสลัด หรือเตรื่องเคียง ข้อมูลทางโภชนาการของแครอทหัวเล็ก มีปริมาณ 27 แคลอลี่ เส้นใยอาหาร 2 กรัม และวิตามินซี 7 %
 4.ถั่วกระป๋อง เหมาะในการนำไปทำสลัดที่เต็มไปด้วยสีเขียว และถั่วที่เลือกนั้น ควรมีปริมาณของโซเดียมน้อย และมีสำดำ สีขาว และสีเขียวเท่านั้น ถั่วกระป๋องสามารถให้พลังงาน 120 แคลอลี่ โปรตีน 6 กรัม และแคลเซียม 6% และ 10% ของธาตุเหล็ก
 5.มะเขือเทศกระป๋อง เหมาะในการนำไปเป็นเครื่องปรุงอาหารได้มากมายหลายเมนู ซอสมะเขือเทศจะให้คุณค่าทางอาหารประมาณ 25 แคลอลี่ ไฟเบอร์ 1 กรัม 15% ของวิตามิน A และ 15 % ของวิตามิน C
 6.ส้ม เหมาะสำหรับเป็นขนมขบเคี้ยว หรือเป็นส่วนประกอบของอาหารจานสลัด ส้มขนาด 8 ออนซ์ จะมีปริมาณ 106 แคลลอลี่ เส้นใย 5.5 กรัม วิตามิน A 10% วิตามินซี 17% โฟเลต 9% แคลเซียม และโพแทสเซียม 12%

         7.ลูกแพร์ เหมาะเป็นขนมขบเคี้ยว สลัดผักผลไม้ และอาหารที่ทานคู่กับชีส ลูกแพร์ขนาดใหญ่หนึ่งผล มีปริมาณ 133 แคลอลี่ เส้นใยอาหาร 7 กรัม วิตามินซี 16 % และโพแทสเซียม 8%
 8.ถั่วฟักยาว เหมาะสำหรับใช้ทำสลัด อาหารประเภทต้ม และเครื่องเคียง ข้อมูลทางโภชนาการของถั่วฝักยาว มีปริมาณ 195 แคลอลี่ โปรตีน 14 กรัม เส้นใยอาหาร 6 กรัม ธาตุเหล้ก 24% แมกนีเซียมและโปรแทสเซียม 10%
9.ข้าวบาร์เลย์แบบแห้ง เหมาะสำหรับใช้ในการประกอบอาหาร มีคุณค่าทางอาหาร 199 แคลอลลี่ เส้นใยอาหาร 9 กรัม เส้นใยที่สามารถละลายน้ำได้ 6 กรัม โปรตีน 8% และธาตุเหล็ก 8 %
 10.โยเกิร์ตรสธรรมชาติ เหมาะสำหรับการนำไปทำสมูทตี้ หรือทานตามปกติ โยเกิร์ตที่บรรจุอยู่ในภาชนะ และวางขายอยู่ทั่วไปนั้น มีคุณค่าทางอาหาร 130 แคลอลี่ โปรตีน 13 กรัม แคลเซียม 45% และเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด
 อาหารบำรุงสุขภาพเหล่านี้ หาซื้อได้ง่าย อีกทั้งยังมีราคาที่แสนถูก ดังนั้นใครที่กำลังกังวลในเรื่องของอาหารการกิน ว่าจะไม่ได้รับอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกายของตัวเองนั้น คงไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอีกต่อไปอย่างแน่นอน

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

กลุ่มอาการ โรค NCDs ภัยเงียบไร้อาการ ที่คร่าชีวิตคนไทยกว่า 73% ต่อปี

         กลุ่มอาการโรค Non-Communicable Diseases (NCDs) หรือ “กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง” เป็นชื่อเรียกของกลุ่มโรคที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อ ไม่ได้เกิดขึ้นจากเชื้อโรค ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัส คลุกคลี หรือติดต่อผ่านพาหะนต่างๆ เหมือนกับโรคติดต่อปกติโดยทั่วไป ในอดีตเชื่อกันว่ากลุ่มอาการโรค NCDs เป็น “โรคของคนรวย” แต่ที่จริงแล้ว กลุ่มอาการของโรค NCDs เป็นโรคที่ “คุณสร้างเอง/Life style diseas” หรือ เป็นโรคที่เกิดจากการใช้วิถีชีวิตอย่างไม่ระวัง ซึ่งเป็นโรคที่สามารถพบได้จากกับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในหมู่ “ผู้สูงอายุ” ที่มักเกิดขึ้นจากการสะสมต้นเหตุของโรคเอาไว้ด้วยการทำร้ายตัวเองตั้งแต่ในวัยหนุ่มสาว แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนที่มีอายุน้อย ก็มีแนวโน้มที่จะป่วยเป็นโรคในกลุ่มอาหาร NCDs สูงมากขึ้นเรื่อยๆ และ 1 ใน 4 ของผู้ที่เสียชีวิต อยู่ในช่วงอายุน้อยกว่ 60 ปี

สาเหตุหลักๆของการเกิดกลุ่มอาการโรค NCDs สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ
         1.พฤติกรรมการใช้ชีวิต มาจากปัจจัยต่างๆภายในร่างกาย ส่วนใหญ่มักเกิดจากลักษณะการใช้ขีวิต ที่นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย ทานอาหารรสหวาน มัน เค็ม จัดจนเกินไป ความเครียด เป็นต้น
         2.โรคที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงานของร่างกาย เป็นโรคที่มักพบในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป โดยที่ร่างกายเกิดความผิดปกติในการสันดาปอาหารในกลุ่มให้พลังง่น เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
         3.ปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรม และอายุที่เพิ่มมมากขึ้นจะก่อให้เกิดปัญหาการเสื่อมสภาพของการทำงานอวัยวะต่างๆตามธรรมชาติ
ถึงแม้ว่ากลุ่มอาการโรค NCDs จะเป็นโรคติดต่อไม่เรื้อรัง แต่ถ้าหากไม่ได้รับการควบคุมรักษาอย่างถูกต้อง อาการของโรคเหล่านี้ก็จะค่อยๆรุนแรงมากขึ้นทีละน้อย แต่กลุ่มอาการโรค NCDs สามารถเกิดขึ้นพร้อมๆกันเป็นกลุ่มโรคได้ทีละหลายโรค ดังนั้นในหลายครั้งผู้ป่วยจึงมักมีอาการของโรคที่หลากหลาย และส่งผลต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก
 จากการศึกษาขององค์กรอนามัยโลก (WHO) ให้ความสำคัญกับกลุ่มอาการโรค NCDs อยู่ในระดับของปัญหาที่มีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี พ.ศ.2554 กลุ่มอาการโรค NCDs ได้คร่าชีวิตของประชากรโลกโดยรวมมากกว่าสาเหตุการตายอื่นๆรวมกันมากดึง 36.2 ล้านคน ต่อปี  หรือคิดเป็น 63% ของประชากรโลก ที่น่าตกใจคือ กว่า 80% ของผู้ที่เสียชีวิต เกิดขึ้นกับคนที่อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนาสำหรับในประเทศไทย จากสถิติเมื่อปี พ.ศ.2552 พบว่า มีผู้ป่วยจากกลุ่มอาการโรค NCDs กว่า 14 ล้านคน นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตของประชากรในประเทศไทย มากถึง 300,000 คน หรือคิดเป็น 73% ของผู้ที่เสียชีวิตทั้งหมด สถิติการเสียชีวิตดั่งกล่าว แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตมากกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งโลก และมีแนวโน้มว่าจะสูงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย

6 กลุ่มอาการโรค NCDs ที่มีอัตราผู้ป่วยเสียชีวิตสูงสุด
 กลุ่มอาการของโรค NCDs ที่มีอัตราผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ได้แก่  โรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ คิดเป็น 48% ของผู้เสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อทั้งหมด รองลงมาคือโรคมะเร็ง 21% โรคถุงลมโป่งพอง รวมโรคปอดเรื้อรังและหอบหืด 12% และโรคเบาหวาน 4 %
         1.กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ (Cardiovascular & Cerebrovascular Diseases ) ในปี  พ.ศ.2548 ประชากรโลก 17.5 ล้านคน เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ 80% อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา และเป็นประชากรในกลุ่มวัยแรงงาน  ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้ทำนายเอาไว้ว่า ในปี พ.ศ.2573 ประชากรโลกจะเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ มากขึ้นเป็นกว่า 23 ล้านคน โดย 85% จะเกิดขึ้นกับประชากรของประเทศที่กำลังพัฒนา
         2.กลุ่มโรคมะเร็ง (Cancer) เป็นกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องกับการเจริยเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ ด้วยการแบ่งตัวและเจริญเติบโตอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกลายเป็นเนื้องอกร้าย ที่รุกรานเข้าสู่ร่างกายข้างเคียง มะเร็งอาจสามารถแพร่กระจายไปยังร่างกายส่วนอื่นที่อยู่ห่างไกลออกไปได้ ผ่านระบบน้ำเหลือง หรือกระแสเลือด
         3.กลุ่มโรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) มีผู้ป่วยกว่า 80 ล้านคน ทั่วโลก และมีอัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ยถึงปีละ 3 ล้านคน เป็นประชากรไทยเกือบ 1 แสนคน สำหรับสาเหตุหลักๆร้อยละ 90 คือ การสูบบหุรี่ โรคถุงลมโป่งพองจะส่งผลทำให้ปอดมีสภาพคล้ายกับลูกโป่งที่เคยเป่ามาแล้ว ตีบ และแคบ เมื่อทำการหายใจ ทำให้เกิดลมค้างอยู่ที่ปอดบีบออกไม่หมด ทำให้ไม่สามารถหายใจได้เต็มปอด อึดอัด แน่นหน้าอก ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยไม่พอต่อการใช้งาน
         4.กลุ่มโรคเบาหวาน (Diabetes Mellitus) จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 6.9 % หรือประมาณ 3.2 ล้านคน มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง โดยเฉพาะประชากรชายที่มีน้ำตาลในเลือดสูง เพียง 56.7% ที่รู้ตัว และมีเพียง 21.1% ที่สามารถควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือดได้
         5.กลุ่มโรคความดันโลหิตสูง (Hypertension) เมื่อค่าความดันโลหิตตัวบนเท่ากับหรือสูงกว่า 140 มม. ปรอท และค่าความดันโลหิตตัวล่างเท่ากับ หรือสูงกว่า 90 มม. ปรอท จะก่อให้เกิดแรงเลือดกระทำต่อผลนังหลอดเลือดที่มากเกินกว่ามาตราฐาน จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 21.4 % เป็นโรคความดันโลหิตสูง แต่มีอัตราของคนที่รับรู้ และการเข้ารับการรักาทางการแพทย์ที่ต่ำ ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตในที่สุด
         6.กลุ่มโรคอ้วนลงพุง (Obesity) เป็นภาวะอ้วน ที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะกับส่วนเอว เนื่องจากมีไขมันสะสมอยู่ในช่องท้องมากจนเกินควร ส่งผงให้หน้าท้องยื่นออกมาอย่างชัดเจน สามารถเกิดขึ้นได้กับทั้งคนที่มีน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์มาตราฐาน และที่มากกว่ามาตรฐาน ซึ่งโรคอ้วนลงพุง มักที่ตะทำให้เกิดความผิดความผิดปกติอื่นๆของร่างกายร่วมด้วยอีกหลายโรค อาทิเช่น ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง และระดับไขมันในเลือดสูง เป็นต้น จากผลสำรวจในปี พ.ศ.2552 พบว่า ประชากรไทยวัยผู้ใหญ่กว่า 19.4 % หรือเกือบ 9 ล้านคน มีภาวะไขมันคอเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งประชากรไทยเกือบ 1 ใน 3 เข้าข่ายภาวะน้ำหนักเกิน และอีกกว่า 8.5 % เข้าข่ายป่วยเป็นโรคอ้วน และจากการสำรวนสุขภาพและพฤติกรรมเสี่ยงของคนไทยที่มีอายุมากกว่า 15 ปี ขึ้นไป พบว่า มีสัดส่วนของผู้ที่เป็นโรคอ้วนในช่วงเวลา 20 ปี ที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเพศชาย ที่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง (ปี พ.ศ.2535 – 2552) มากขึ้นถึง 4 เท่า

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เส้นทางสายธรรมชาติบำบัด ลดความดันสูง บำรุงโลหิตให้เป็นปกติ

         “โรคความดันโลหิตสูง” เป็นโรคที่เบียดเบียนสุขภาพของคนส่วนใหญ่ในโลก เพีงแค่ชาวอเมริกันประเทศเดียว ประชากรกว่า 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่วัยทำงาน ก็ต้องเผชิญหน้ากับโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคอันตรายนี้ ก็เป็นเรื่องแสนใกล้ตัวจนยากที่จะสามารถหลีกเลี่ยงได้ อาทิเช่น อาหาร ความเครียด และขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น
 เมื่อความดันโลหิตสูงมากขึ้น ความเสี่ยงในปัญหาสุขภาพด้านต่างๆก็จะพลอยมากขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลืองสมอง โรคหัวใจล้มห้ลว โรคไต เป็นต้น ซึ่งโรคความดันโลหิตสูง จำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจระดับความรุนแรง ซึ่งแพทย์จะได้ให้คำแนะนำ รวมไปถึงวิธีการรักษาที่เหมาะสมสำหรับตัวคุณมากที่สุด

เส้นทางสายธรรมชาติบำบัด สมุนไพรลดความดัน
 ท่ามกลางวิธีการลดความดันโลหิตสูงมากมาย ให้กลับมาสู่สภาวะปกตินั้น การรักษาและบรรเทาอาการโดยใช้สมุนไพรบำรุงโลหิตนั้น เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน การรักษาแบบดั้งเดิมโดยใช้สุนไพรบำรุงโลหิตนี้ ถึงแม้จะได้ผลลัพธ์ที่ดี แต่คุณควรทำการปรึกษากับแพทย์ก่อนนำมาใช้ เพราะสมุนไพรบำรุงโลหิตบางตัว หากนำมาใช้ในปริมาณมากๆ อาจจะก่อให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ เมื่อคุณใช้ร่วมกับยาอื่นๆ ซึ่งสมุนไพรบำรุงโลหิต ที่ช่วยลดปรับความดันให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ มีดังต่อไปนี้
   1.โหระพา สมุนไพรบำรุงโลหิตแสนอร่อย กลิ่นฉุน ที่คุณสามารถพบได้บ่อยครั้งในอาหารไทย โหระพามีคุณสมบัติช่วยในการบำรุงโลหิต ลดความดันโลหิตให้น้อยลง ดังนั้นการเพิ่มมันลงในมื้ออาหารของคุณจึงเป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะสามารถช่วยลดความดันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 2.อบเชย หนึ่งในสมุนไพรเครื่องเทศที่ช่วยเพิ่มรสชาติความอร่อยให้กับอาหาร ในขณะเดียวกันมันก็สามารถช่วยทำให้ความดันโลหิตของคุณลดน้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่มของคนที่เป็นโรคเบาหวาน การทานอบเชยเป็นประจำทุกวัน สามารถช่วยลดความดันโลหิตของคุณให้น้อยลงได้อย่างดีเยี่ยม
 3.กระเทียม สมุนไพรกลิ่นฉุนจัดนี้ นอกจากจะช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร และกลิ่นไม่พึงประสงค์ในลมหายใจของตัวคุณ มันยังช่วยลดความดันโลหิต ด้วยการผ่อนคลาย ขยายหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของโลหิตเป็นไปได้อย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น

         4.ลาเวนเดอร์ กลิ่นหอมของลสเวนเดอร์ ได้ถูกนำมาใช้ผสมกับน้ำหอมเพื่อให้ได้กลิ่นที่หอมสดชื่น ก่อให้เกิดความผ่อนคลาย สมุนไพรบำรุงโลหิตชนิดนี้ ยังช่วยลดความดันโลหิตให้น้อยลง โดยเพียงแค่นำดอกลาเวนเดอร์มาวางเอาไว้ใต้หมอน หรือใช้น้ำมันลาเวนเดอร์มาวางเอาไว้ข้างๆเตียงในขณะที่คุณนอนหลับก็ได้เช่นกัน
5.โรสแมรี่ กลิ่นหอมของโรสแมรี่ สามารถช่วยให้คุณผ่อนคลาย และลดความดันโลหิตให้น้อยลงอย่างได้ผล สำหรับวิธีใช้ก็เพียงแค่คุณนำน้ำมันโรสแมรี่ มาวางเอาไว้ใกล้ เพื่อให้สามารถสูดกลิ่นที่แสนสดชื่นของมันในขณะที่นอนหลับได้อย่างเต็มที่เท่านั้น
 6.กรงเล็บแมว หรือ Cat’s Claw เป็นยาสมุนไพรในตำราของจีนโบราณ ที่มักถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูง จากการศึกษาพบว่า กรงเล็บแม เป็นยาสำหรับรักษาความดันโลหิตสูง โดยทำห้าที่ในช่องแคลเซียมในเซลล์ ซึ่งคุณอาจจะสามารถหาซื้อสมุนไพรกรงเล็บแมวนี้ ได้จากร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพทั่วไป
 7.กระวาน หรือ Cardamom เป็นสมุนไพรจากอินเดีย ที่มักถูกนำมาใช้ในการปรุงอาหารของเอเชียใต้ การศึกษามากมายตรวนสอบผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสุขภาพของคนที่รับประทานกระวาน พบว่า การทานกระวานในชีวิตประจำวันเป็นระยะเวลานานหลายเดือน สามารถเห็นผลลัพธ์สัมพันธ์กับค่าความดันโลหิตที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

4 สุดยอดสมุนไพรบำรุงตับ

         ถ้าพูดถึงโรคตับ ก็บอกได้เลยว่ามีหลายชนิด ที่พบบ่อยก็ได้แก่ โรคตับแข็ง มะเร็งตับ ฝีในตับ ไวรัสตับอักเสบ และโรคตับอักเสบ เป็นต้น ซึ่งโรคเกี่ยวกับตับนั้นเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย พิษของยาบางชนิด การดื่มสุราเป็นประจำ การรับประทานอาหารสุกๆดิบๆ ฯลฯ
         จะเห็นได้ว่าตับเป็นอวัยวะภายในร่างกายที่ถูกทำร้ายได้ง่าย ดังนั้น การบำรุงตับให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญ วันนี้เราได้รวบรวมสุดยอดสมุนไพรบำรุงตับมาให้ท่านผู้อ่านได้รู้จัก แต่ขั้นแรกไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับหน้าที่ของตับกันก่อน จะได้รู้ว่าทำให้เราถึงต้องบำรุงตับ

 

ทำไมถึงต้องบำรุงตับ
         ตับมีหน้าที่สำคัญหลายประการ ได้แก่ การสร้างน้ำดี ซึ่งออกมาในลำไส้ ช่วยให้อาหารประเภทไขมันถูกย่อย และดูดซึมง่ายขึ้น เก็บสำรองอาหาร โดยเก็บเอากลูโคส (GLUCOSE) ไปสะสมไว้ในเซลล์ตับ ในสภาพของกลัยโคเจน (GLYCOGEN) และจะเปลี่ยนกลัยโคเจนกลับออกมาเป็นกลูโคสในกรณีที่ร่างกายต้องการใช้ได้ทันที สะสมวิตามินเอ ดี และวิตามินบี 12 นอกจากนี้ยังกำจัดสารพิษที่ลำไส้ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับก็จะทำลายสารพิษบางชนิด ทั้งนี้ สารพิษบางชนิดก็อาจเข้าไปทำลายเซลล์ตับ เช่นแอลกอฮอล์ (ALCOHOL) คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (CARBON TETRACHLORIDE) และคลอโรฟอร์ม (CHLOROFORM) เป็นต้น
         ตับยังทำหน้าที่สร้างวิตามินเอจากสารแคโรตีน (สารสีส้มที่มีอยู่ในแครอตและมะละกอ) ธาตุเหล็กและทองแดงจะถูกเก็บสะสมอยู่ที่ตับ เช่นเดียวกับวิตามิน เอ ดี และบีสิบสอง สร้างองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด อาทิเช่น ไฟบริโนเจน (FIBRINOGEN) และโปรธรอมบิน (PROTHROMBIN) เป็นต้น

         และยังสร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด อันได้แก่ เฮปาริน (HEPARIN) ทำหน้าที่ในการกินและทำลายเชื้อโรคโดยมีเซลล์แมกโครฟาจ (MACROPHAGE) ที่อยู่ในตับ ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า คุฟเฟอร์เซลล์ (KUPFFER’S CELL) สุดท้ายหน้าที่ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเป็นแหล่งพลังงานสร้างความร้อนให้แก่ร่างกาย เห็นหรือยังว่าตับมีหน้าที่สำคัญมากมายในกระบวนต่างๆของร่างกาย จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องบำรุงตับ

สมุนไพรบำรุงตับ
         1.ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่มีมาแต่โบราณ และจัดเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาและบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้หลายต่อหลายโรค และยังใช้รักษาโรคตับอักเสบได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังไม่มีผลข้างเคียงให้ต้องกังวล โดยมีสรรพคุณยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสตับอักเสบ และช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อตับขึ้นมาใหม่ เพื่อทดแทนเนื้อเยื่อตับส่วนที่เสียหาย บรรเทาอาการตัวร้อนจากอาการกำเริบของไข้ที่เกิดจากความผิดปกติของตับ
         2.โสมเกาหลี เป็นสมุนไพรบำรุงตับที่จะช่วยป้องกันโรคตับอักเสบ และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส ช่วยขจัดสารพิษและแอลกอฮอล์ในตับ หากปล่อยสารพิษเหล่านี้ติดต้างในตับ อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อตับอักเสบและมะเร็งตับในที่สุด นอกจากนี้ยังช่วยในการเจริญอาหาร และระบบเผาผลาญ ระบบขับถ่ายดีขึ้น

         3.มะขามป้อม ผลไม้รสเปรี้ยวและอุดมไปด้วยวิตามินซี แม้จะมีรสขมและฝาด แต่มะขามป้อมยังถือเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคไวรัสตับอักเสบอีกด้วย อย่างไรก็ดี สตรีตั้งครรภ์ที่ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ ห้ามใช้มะขามป้อมรักษาและบรรเทาอาการของโรค เนื่องจากทำให้ทารกในครรภ์แท้งได้
         4.ลูกใต้ใบ ใช้บำรุงตับ ลดอาการตับอักเสบ สร้างความสมดุลของไขมันในตับ หมอยาชาวจีนเชื่อว่า ถ้ากินลูกใต้ใบติดต่อกันหนึ่งสัปดาห์จะช่วยกำจัดพิษออกจากตับ มีผลทำให้สายตาดี บำรุงตับ รักษาอาการดีซ่าน ซึ่งก็คล้ายกับหมอยาพื้นบ้านไทยและหมออายุรเวทอินเดียที่มีควมเชื่อว่า ลูกใต้ใบเกิดมาเพื่อตับ ใช้ต้มกินเป็นยาเพื่อแก้ดีซ่าน แก้ตับอักเสบ ตัวเหลือง ตาเหลือง ซึ่งมีรายงานการศึกษาวิจัยพบว่าสารสกัดจากลูกใต้ใบมีฤทธิ์ป้องกันไม่ให้ตับถูกทำลายจากสารพิษ

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เทคนิควิธี รักษาไมเกรน แสนง่าย ด้วยตัวเอง

         อาการปวดหัวไมเกรน ยังคงเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ ถึงแม้หลายๆคนจะพยายามหลักเลี่ยงปัจจัยต่างๆ รวมไปถึงการดำเนินชีวิต ที่คอยกระตุ้นให้เกิดอาการไมเกรนขึ้น มักส่งผลกระทบเป็นอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน การรักษาไมเกรน บรรเทาอาการของมันให้น้อยลง ย่อมส่งผลดีต่อชีวิตประจำวันของคุณอย่างแน่นอน แต่ครั้นจะให้เดินทางไปทำการปรึกษษกับแพทย์ หรือตามหาซื้อยาบรรเทาอาการทุกครั้งที่เกิดอาการปวดหัวไมเกรนขึ้น ในทางปฎิบัติก็คงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้นการรักษาไมเกรนเบื้องต้นด้วยตัวเอง เพื่อบรรเทา และป้องกันอาการปวดไม่ให้เกิดขึ้นนั้น จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับวิธีการรักษาไมเกรนด้วยตัวเองเบื้องต้นอย่างง่ายๆที่น่าสนใจนั้น มีดังต่อไปนี้

วิธีรักษาไมเกรนเบื้องต้น อย่างง่ายๆด้วยตัวเอง
บทความชิ้นนี้ได้ทำการรวบรวมเทคนิค และวิธีบรรเทารักษาไมเกรนอย่างง่ายๆ จากทั่วทุกมุมโลกเอามาไว้ให้คนที่กำลังมีอาการไมเกรนเกิดขึ้นกับตัวเอง ได้นำไปใช้เพื่อบรรเทาอาการให้น้อยลง ซึ่งมีวิธีที่น่าสนใจต่างๆ ดังต่อไปนี้
 1.อุณหภูมิร้อน-เย็น คุณสามารถใช้ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง หรือกระเป๋าใส่น้ำร้อน ประคบในบริเวณที่เกิดอาการปวดหัวไมเกรน อาบน้ำร้อน-เย็น หรือการแช่มือ-เท้า ลงในน้ำร้อน หรือเย็น วิธีการนี้จะสามารถช่วยบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี
 2.นวดกดจุด เป็นวิธีที่จำเป็นจะต้องขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ หรือการศึกษานวดกดจุดอย่างถูกวิธีในระดับหนึ่งก่อนการปฎิบัติจริง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น สำหรับการนวดกดจุดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการรักษาไมเกรน คือ การนวดศรีษะ นักวิจัยในประเทศบลาซิล พบว่า การนวดเส้นประสาทบริเวณท้ายทอย ในพื้นที่ด้านหลังของศรีษะที่ฐานของกะโหลก ช่วยลดอาการปวดหัวไมเกรนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การนวดกดจุดในบริเวณอื่นๆ อาทิเช่น นวดกดจุดที่มือ และที่เท้า ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการไมเกรนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
 3.น้ำมันกลิ่นลาเวนเดอร์ กลิ่นธรรมชาติของลาเวนเดอร์ เป็นที่ทาบกันดีว่ามีคุณสมบัติช่วยในการลดอาการปวดหัว รวมไปถึงรักษาไมเกรน โดยการสูดดมตามปกติ หรือการผสมน้ำมันลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ลงไปในถ้วยน้ำเดือด แล้วทำการสูดดมไอที่ระเหยขึ้นมา
 4.น้ำมันสะระแหน่ เป็นยาตามธรรมชาติ ที่แสดงคุณสมบัติให้เห็นมานักต่อนักแล้วว่า มีประโยชน์ในการลดอาการปวดหัว และความเครียดให้น้อยลง โดยการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิดตให้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงช่วยเปิดทางให้ออกซิเจนเข้าสู่กระแสเลือดได้ดีมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

         5.น้ำมันโหระพา สมุนไพรกลิ่นหอม เป็นน้ำมันตามธรรมชาติที่ทำหน้าที่ในการช่วยคลายกล้ามเนื้อ ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการรักษาอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นจากความเครียด และความแน่นตึงของกล้ามเนื้อ
6.แก้ไขด้วยอาหาร หนึ่งในวิธีการเยียวยาอาการไมเกรนที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อาหารบางชนิดมีส่วนเกี่ยวกันกับอาการปวดหัว ความถี่ และความรุนแรงของอาการไมเกรน ซึ่งอาหารที่ส่งผลกระทบเหล่านั้นได้แก่ นม ช็อกโกแลต เนยถั่ว ถั่วลิสง ผลไม้บางชนิด อย่างอะโวคาโด กล้วย และส้ม หัวหอม เนื้อสัตว์ที่มีไนเตรด เช่น เบคอน ฮอทด็อก อาหารที่ผงชูรส กรดอะมิโนที่พบในไวท์แดง รวมไปถึงอาหารที่มีการหมักดอง เป็นต้น ถ้าหากคุณต้องการที่จะหลีกเลี่ยงอาการปวดหัวไมเกรน ก็จำเป็นที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยงการทานอาหารเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
 7.Feverfew เป็นสมุนไพรที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีประสิทธิภาพช่วยในการรักษาอาการปวดหัว วิธีพื้นบ้านนี้ได้รับความนิยมในช่วงปี 1980 ในประเทศอังกฤษ จากการวิจัยพบว่า ผู้ใช้ยาสมุนไพรนี้ร้อยละ 70 มีอาการปวดหะวไมเกรนลดน้อยลงกว่าเดิม ด้วยคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับยาแอสไพริน

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

เคล็ดลับ บำรุงร่างกายให้สมดุล ด้วยการสร้างค่า PH ในตัวเอง

         ท่ามกลางวิธีบำรุงร่างกาย และดูแลรักษาสุขภาพมากมาย ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพเชื่อว่า หนึ่งในกุญแจความลับที่ไขสู่ความแข็งแรงของสุขภาพนั้น ขึ้นอยู่กับการสร้างสมดุลค่า PH ในร่างกาย มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการบำรุงร่างกายของตัวเอง เนื่องจาก “กรด” เป็นศูนย์กลางของสุขภาพ ที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งบทความในวันนี้ จะขอพาคุณผู้อ่านทุกท่าน ไปทำความรู้จักกับการสร้างสมดุลกรด PH ในร่างกาย พร้อมกับไขความลับว่า กรด PH สามารถช่วยในการบำรุงร่างกายได้จริงๆหรือ?

ค่า PH คืออะไร?
 ค่า PH ย่อมาจาก พลังงานของไฮโดรเจน เป็นมาตราวัดค่าความเข้มข้นของไฮโดรเจนที่อยู่ภายในร่างกาย โดยการอ่านช่วงของค่า PH จะอยู่ระหว่าง 1-14 ถ้าหากร่างกายมีค่า PH เท่ากับ 7 ถือว่าเป็นกลาง ถ้าหากค่า PH น้อยกว่า 17 ก็จะมีฤทธิ์เป็นกรดและด่าง แต่ค่า PH ที่เหมาะสมสำหรับร่างกายของมนุษย์จริงๆจะอยู่ที่ 7.30-7.45 ซึ่งคุณสามารถที่จะทดสอบระดับค่า PH ของตัวเองได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเพียงแค่ใช้กระดาษลิปมัน กับน้ำลาย หรือปัสสาวะแรกในตอนเช้า ก่อนที่จะรัปประทานอาหาร หรือดื่มอะไร

ค่า PH ที่สมดุล ดีต่อสุขภาพอย่างไร?
 สมดุลของค่า PH นั้น ดีต่อสุขภาพ และการบำรุงร่างกาย โดยร่างกายที่อยู่เหนือความเป็นกรดนั้น จะช่วยทำให้ร่างกายกลับไปมีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยสร้างสมดุลให้กับระบบอื่นๆภายในร่างกายอีกด้วย ซึ่งสมดุลค่า PH ช่วยบำรุงร่างกาย ดังต่อไปนี้
1.ระบบย่อยอาหาร โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารส่วนใหญ่ เช่น อาหารไม่ย่อย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด กรพในกระเพาะ รวมไปถึงแร่ธาตุต่างๆไม่เพียงพอในลำไส้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นจากกาที่ร่างกายขาดสมดุลของค่า PH ทั้งสิ้น
 2.ระบบไหลเวียนโลหิต ความเป็นกรดเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจ เนื่องจากไขมันดีที่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของหัวใจ อาจถูกทำลายไปด้วยสภาพของความเป็นกรด ซึ่งอาจนำไปสู่อาการหัวใจวายขึ้นในที่สุด
   3.ระบบภูมิคุ้มกัน สภาพแวดล้อมที่เป็นกรด เหมาะเป็นอย่างยิ่งในการผสมพันธุ์เชื้อโรคชนิดที่ไม่จำเป็นต้องใช้ออกซิเจน ในขณะที่ระดับของไฮโดรเจนที่สูง และอุดมสมบูรณ์ ก็เป็นการช่วยเพาะกันธุ์แบคทีเรียที่ไม่ดี ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านำไปสู่การเกิดอาการป่วยที่มากขึ้น

         4.ระบบทางเดินหายใจ ร่างกายของคนเราต้องการกาซออกซิเจนใหม่ และล้างก็ษซคาร์บอนไดออกไปจากร่างกาย แต่ในสภาพของกรดที่มากจนเกินไป จะทำให้การทำงานของเมือกผิดปกติ ในบางครั้งปอดก็จะติดเชื้อไวรัส หรือสร้างเชื้อโรคขึ้นในปอด จนนำไปสู่การเกิดโรคหวัด โรคหลอดลมอักเสบ และโรคหอบหืด เป็นต้น
 5.ระบบไขข้อ โรคไขข้ออักเสบ และโรคข้อเข่าเสื่อม เกี่ยวพันกับความไม่สมดุบของกรด และด่างภายในร่างกาย กรดจะสร้างความเสียหายให้กับกระดูกอ่อน ทำให้เกิดความแห้งกร้าน อาการระคายเคือง ส่งผลต่อการฟื้นฟูข้อต่อ
 6.ระบบประสาท กรดจะส่งผลต่อระบบประสาท โดยการทำลายพลังงานที่จำเป็น ส่งผลให้ร่างกาย อารมณ์ และจิตใจ อ่อนแอลง
 7.ระบบกล้ามเนื้อ เมื่อความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้นในเซลล์กล้ามเนื้อ มันก็จะเข้าไปขัดขวางการสลายการเผาผลาญกลูโคสและออกซิจเนให้กลายเป็นพลังงาน ทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังเป็นการยากที่จะส่งออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ ส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ หลังจากออกกำลังกายหนัก
จากข้อมูลในเบื้องต้นที่ได้กล่าวถึงไปแล้วจะเห็นได้ว่า การบำรุงร่างกายอย่างถูกต้องนั้น จำเป็นที่จะต้องควบคุมสมดุลความเป็นกรด PH ภายในร่างกาย คุณจึงจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในสุขภาพของคุณอย่างแท้จริง

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

ออฟฟิศ ซินโดรม เมื่ออาชีพพนักงานบริษัททำลายร่างกายของคุณ

         งานในออฟฟิส หลายคนอาจจะมองว่าเป็นอาชีพในฝัน เพราะเพียงแค่นั่งทำงานง่ายๆอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ภายในห้องแอร์เย็นๆ โดยมีเวลาการเข้าออกงานที่ชัดเจน สม่ำเสมอ ไม่ต้องตะลอนออกไปข้างนอกเหมือนกับงานใช้แรงงานกลางแจ้ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทำงานภายในสำนักงานอาจจะไม่ “ปลอดภัย” อีกต่อไป เพราะอาชีพนี้ ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆทั้งทางร่างกาย การสะสมความเครียดทางจิตใจ ที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพโดยรวมของคุณได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
 การนั่งทุกวัน เป็นหนึ่งในบ่อเกิดสำคัญที่ทำให้เกิดโรคภัยต่างๆ การวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อคุณต้องนั่งทำงานเป็ยเวลายาวนานกว่า 8 ชั่วโมง ต่อวัน เป็นส่วนใหญ่ คุณมักที่จะต้องผจญกับความเสี่ยงที่สูงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคไต และความผิดปกติของมวลกล้ามเนื้อ หรือที่มักเรียกกันอย่างติดปากว่า โรคออฟฟิศ ซินโดรมนั่นเอง

         โดยพื้นฐานร่างกายของมนุษย์ การหมั่นยืดเส้นยืดสายเป็นระยะระหว่างวัน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น และการเคลื่อนไหวโดยรวมของร่างกายให้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าหากคุณมัวแต่คุ้นเคยกับการนั่งจมอยู่กับโต๊ะทำงานตลอดทั้งวัน ความหนาแน่นของมวลกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นมา ก็จะทำให้คุณเกิดอาการปวดตามส่วนต่างๆของร่ากาย ไม่ว่าจะเป็นต้นคอ หลัง ไหล่ สะโพก หรือแขน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสัญญานแสดงให้เห็นว่า ร่างกายของคุณกำลังถูกคุกคามโดยโรคออฟฟิศ ซินโดรม ซึ่งเป็นโรคสมัยใหม่ที่กำลังเป็นปัญหาของคนที่จำเป็นจะต้องใช้เวลาทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นระยะเวลานานๆ ตลอดทั้งวัน แต่โรคออฟฟิศ ซินโดรม ก็สามารถบรรเทา และหลีกเลี่ยงได้ ขอเพียงแค่คุณปฎิบัติตัวตามขั้นตอนง่ายๆ ดังต่อไปนี้

วิธีการบรรเทา และหลีกเลี่ยงอาการออฟฟิศ ซินโดรมอย่างง่ายๆด้วยตัวเอง
สำหรับวิธีการบรรเทา และหลีกเลี่ยงอาการออฟฟิศ ซินโดรมนั้น มีอยู่หลายวิธีเลยทีเดียว แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว วิธีที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากนั้น มีดังต่อไปนี้
1.ลดความหนาแน่นของกล้ามเนื้อคอและไหล่ เริ่มจากการค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปมองบนเพดาน จากนั้นยืดแขนทั้งสองออกไปข้างหน้า พร้อมกับการบีบหัวไหล่เข้าหาแขน จากนั้นเหวี่ยงแขนทั้งสองไปด้านข้าง สลับซ้าย-ขวา ให้มากที่สุด ทำซ้ำ 10 ครั้ง เป็นจำนวนหลายๆครั้งต่อวัน

         2.ลดความหนาแน่นของกล้ามเนื้อสะโพก เป็นวิธีการออกกำลังกายลดอาการออฟฟิศ ซินโดรม โดยเริ่มต้นจากท่ายืน ลดสะโพกลงขนกว่าเข่าขวาจะสัมผัสกับพื้น โดยให้ต้นขาซ้ายมีการขนานกับพื้น บิดตัวไปทางซ้ายเล็กน้อย ทำค้างเอาไว้ 15-30 วินาที แล้วทำสลับซ้ำกับขาด้านตรงกันข้าม โดยทำเป็นประจำ 3-4 ครั้ง ต่อวัน
 3.ลดความหนาแน่นของกล้ามเนื้อข้อมือ ทำการยืดแขนทั้งสองข้างของไปข้างหน้า ในลักษระประสานมือเอาไว้ด้วยกัน ยกแขนชี้ไปทางเพดาน แล้วใช้มือซ้ายทำการดึงผ่ามือ และนิ้วมิข้างขวาของคุณกลับไปยังหัวไหล่ ทำค้างเอาไว้ 10 วินาที จากนั้นให้ย้ายไปทำซ้ำในฝั่งตรงกันข้าม ควรทำเป็นประจำ ทุกๆหนึ่งชั่วโมง เมื่อคุณจำเป็นที่จะต้องใช้คอมในระยะเวลานานๆ
อย่างที่ได้กล่าวถึงไปแล้วในตอนต้น โรคออฟฟิศ ซินโดรม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการไม่ค่อยได้ลุกขยับตัวยิดเส้นสายตามสมควร ดังนั้นในขณะที่ทำงานคุณจึงควรลุกออกจากเก้าอี้ไปคุยกับเพื่อนบ้าน หาน้ดื่ม เข้าห้องน้ำ หรือเดินไปติดต่อประสานงานกับฝ่ายอื่นๆภายในออฟฟิศ กิจกรรมง่ายๆเหล่านี้ ก็สามารถที่จะช่วยลดอาการออฟฟิศ ซินโดรม ที่จะเกิดขึ้นกับตัวคุณให้น้อยลงได้ตามธรรมชาติแล้ว

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รวมวิธีธรรมชาติ ที่จะช่วยให้คุณนอนหลับโดยไม่ต้องพึ่งพายานอนหลับ

         คนจำนวนมากมายเหลือคณานับในโลกใบนี้ ที่จำเป็นจะต้องใช้ใบสั่งยายานอนหลับจากแพทย์ เพื่อให้สามารถแน่ใจว่าตัวเองสามารถที่จะนอนหลับได้ครบตามระยะเวลาที่เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากได้ออกมาทำการเตือนว่า ยานอนหลับนั้น มีผลช้างเคียงอันไม่พึงประสงค์มากมาย ทำให้การใช้ยานอนหลับนั้น จำเป็นที่จะต้องจำกัดการใช้งานเอาไว้ไม่ให้มากจนเกินไป
 ถ้าหากคุณกำลังมีความผิดปกติในการนอนหลับ คุณอาจจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญสักคน แต่คนส่วนใหญากลับไม่ทราบว่า อาการนอนไม่หลับนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพายานอนหลับเสมอไป ยังมีทางเลือกอื่นๆที่สามารถช่วยทำให้คุฤณนอนหลับได้ โดยเฉพาะการใช้วิธี “พฤติกรรมบำบัด” ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากททั่วโลกในปัจจุบัน

พฤติกรรมบำบัด ศาสตร์สำหรับคนที่นอนไม่หลับโดยเฉพาะ
 สำหรับคนที่มีปัญหานอนไม่หลับ สามารถทำตามคำแนะนำที่อิงจากการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และสถิติจากการศึกษาผู้ที่นอนไม่หลับทั่วโลก ดังต่อไปนี้
 1.เมื่อรู้สึกว่านอนไม่หลับให้ลุกออกจากเตียง ถ้าหากคุณรู้สึกว่าตัวเองกำลังนอนไม่หลับ กระสับกระส่าย เป็นเวลา 20-40 นาที หลังจากการเข้านอน อย่าพึ่งทำการพึ่งพายานอนหลับ แต่ให้ลองลุกออกจากเตียง ไปทำอย่างอื่นเป็นเวลาประมาณ 30-60 นาที จนกระทั่งรู้สึกว่าตัวเองง่วงจากความเหนื่อยจริงๆ แต่ให้ระวังรูปแบบกิจกรรมที่คุณลุกขึ้นไปทำ ไม่ให้มีความตื่นเต้นจนเกินไป เพราะมันจะยิ่งทำให้คุณตาสว่างมากยิ่งขึ้น
 2.ลองผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นเทคนิคที่ได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ.1915 โดยมีหัวใจสำคัญคือ การผ่อนคลายความเครียดที่เกิดขึ้นภายในกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย ด้วยการออกกำลังกายที่เรียบง่าย ซึ่งวิธีนี้เกี่ยวพันเป็นอย่างมากกับการทำให้นอนหลับอย่างสินทดีมากยิ่งขึ้น
3.ทำสมาธิ จากการศึกษาเคล็ดลับการทำสมาธิในปี 2009 พบว่า การทำสมาธิมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการต่อสู้กับโรคนอนไม่หลับ เพียงแค่การทำสมาธิขั้นพื้นฐานอย่างการกำหนดลมหายใจ ก็เพียงพอที่จะช่วยทำให้คุณสามารถนอนหลับได้ดีมากยิ่งขึ้น

         4.อาบน้ำอุ่น ช่วยเพิ่มอุณภูมิให้กับร่างกายของคุณเล็กน้อย ซึ่งนั่นเป็นเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยทำให้การนอนหลับของคุณเป็นไปได้อย่างดีมากยิ่งขึ้น ในการศึกษาขนาดเล็กเมื่อปี 1985 พบว่า คนที่ใช้เวลาอาบน้ำอุ่นก่อนเข้านอน นอกจากจะสามารถตื่นได้อย่างรวดเร็วขึ้นแล้ว ยังนอนหลับได้ง่ายมากขึ้นอีกด้วย
 5.ออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงแรงให้ผลในการนอนหลับที่ดี มากกว่าเพียงการออกกำลังกายเล็กๆน้อยๆ โดยเฉพาะการฝึกโยคะ ที่นับเป็นยานอนหลับชั้นดี
 6.เปลี่ยนห้องนอนให้ปลอดโปร่ง ห้องนอนของคุณจำเป็นที่จะต้องปลอดโปร่งและสะดวกสบายที่สุด ความเงียบสงบ เครื่องเรือนสีขาว อากาศที่ค่อนข้างเย็นสบาย และความสะอาดโดยรวม สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่สามารถช่วยทำให้คุณนอนหลับได้อย่างสนิทมากยิ่งขึ้น
 7.น้ำมันหอมระเหย จากการศึกษาในปี 2005 พบว่า กลิ่นลาเวนเดอร์ ส่งผลช่วยทำให้คุณหลับลึกมากยิ่งขึ้น และจากการศึกษาอื่นๆก็ยังสนับสนุนผลการวิจัยเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
ข่าวดีสำหรับคนที่เลือกการบำบัดอาการนอนไม่หลับด้วยวิธีเหล่านี้คือ พวกมันมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการช่วยทำให้นอนหลับ และยังเป็นการช่วยปรับนาฬิกาภายในร่างกายให้มีความปกติมากยิ่งขึ้น แต่ข่าวร้ายคือ วิธีการเหล่านี้โดยส่วนใหญ่ยังไม่ได้ถูกรับรองด้วยองค์การอาหารและยา ซึ่งจะเห็นได้ว่าวิธีทางธรรมชาติ ให้ผลดีมากกว่ายานอนหลับ ที่มักส่งผลร้ายต่อร่างกาย และเวลาในร่างกายโดยรวม

 

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.

รวมมิตร สมุนไพรโรคเก๊าท์ บรรเทาอาการปวดและอักเสบ

         กระบวนการรักษาสุขภาพจากธรรมชาติ สร้างความน่าประทับใจแก่มนุษย์ได้เสมอ โดยเฉพาะบรรดาสมุนไพรโรคเก๊าท์ ที่มีคุณสมบัติช่วยลดบรรเทาอาการปวด และอาการบวม ที่เกิดขึ้นจากโรคเก๊าได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิธีการรักษาในลักษณะนี้ ได้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนเลยทีเดียว ซึ่งบทความในวันนี้จะขอพาคุณผู้อ่านที่รักในสุขภาพทุกท่าน ไปทำความรู้จักกับสมุนไพรโรคเก๊าท์ ที่มีประโยชน์ดปฌนอย่างมากในการบรรเทาอาการโรคเก๊าที่แสนน่ารำคาญของคุณ

สมุนไพรสำหรับบรรเทาอาการโรคเก๊า
 สมุนไพรโรคเก๊าท์ มีอยู่มากมายหลายประเภท และส่วนใหญ่แล้วสมุนไพรโรคเก๊าท์ มักที่จะสามารถหาได้อย่างง่ายๆ จนหลายคนมองข้ามประสิทธิภาพของมัน ซึ่งสมุนไพรโรคเก๊าท์ ที่น่าสนใจ มีดังต่อไปนี้
1.น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ มีคุณสมบัติในการช่วยสร้างความเป็นด่างในร่างกาย ด้วยกรดมาลิ ที่จะช่วยละลายกาฝากที่สร้างความเจ็บปวดตามข้อกระดูก พร้อมกับกรดยูริคที่ช่วยกำจัดพวกมันออกจากร่างกาย
2.รากขมิ้นผง ผงรากขมิ้นเป็นสมุนไพรโรคเก๊าท์ที่มีประสิทธิภาพเป็นอย่างมาก เป็นยาสมุนไพรที่ช่วยในการแก้ปวด ซึ่งได้รับการนำมาใช้ในวงการแพทย์อายุรเวทมานานหลายร้อยปี นอกจากนี้รากขมิ้นผง ยังมีศักยภาพช่วยในการป้องกันอาหารอักเสบได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นอกจากการบรรเทาอาการโรคเก๊าแล้ว รากขมิ้นผง ยังมีประสิทธิภาพที่ดีในการบรรเทาอาการปวดข้อ พร้อมกับบรรเทาอาการตึงปวดไปทั่วข้อต่างๆ ที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเป็นโรคเก๊า
 3.พริกป่น มีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ และสามารถนำมาใช้ในการรักษาอาการของโรคเก๊าได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาการ และยังช่วยในการบรรเทาอาการปวดได้อีกด้วย
   4.ขิง ขิงเป็นหนึ่งในยาสมุนไพรสามัญประจำบ้าน ที่ได้รับการพิสูจน์จากห้องทดลองแล้วว่า สามารถช่วยในการบรรเทาอาการของโรคเก๊า โดยเพียงแค่คุณเติมขิงลงไปในอาหารมื้อปกติของตัวเอง การดื่มชาขิง หรือแม้แต่การนำรากขิงที่หั่นแล้ววางลงบนบริเวณที่เกิดอาการเจ็บปวด
 5.แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีในการรักษาอาการของโรคเก๊า เพียงแค่คุณรัประทานแอปเปิ้ลตามปกติ เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากโรคเก๊าให้น้อยลง

         6.น้ำมะนาว ช่วยในการบรรเทาโรคเก๊า เพียงแค่คุณทำการผสมน้ำมะนาวครึ่งแก้วเข้ากับน้ำเปล่า แล้วดื่มเป็นประจำ วันละ 2-3 ครั้ง คุณก็จะสามารถเห็นถึงความแตกต่างของอาการปวดที่น้อยลงได้เป็นอย่างดี
7.กล้วย อุดมไปด้วยวิตามินซี การทานกล้วยสามารถช่วยรักษาอาการของโรคเก๊า ด้วยการการเจือจางผลึกที่เกาะอยู่รอบๆกระดูกจากกรดยูริคที่อยู่ภายในกล้วย ทำให้ร่างกายของคุณสามารถกำจัดผลึกที่ไม่พึงประสงค์เหล่านั้นออกจากร่างกายได้โดยง่ายดายมากยิ่งขึ้น
 8.เชอร์รี่ การทานเชอร์สดประมาณวันละ 20 ผล เป็นประจำ หรือการดื่มน้ำผลไม้ที่ทำจากเชอรรี่ ก็สามารถที่จะช่วยลดอาการของโรคเก๊าให้น้อยลงได้เป็นอย่างดี
 9.สับปะรด การทานหรือการดื่มน้ำสับประรด สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคเก๊าได้
10.องุ่น การทานหรือการดื่มน้ำองุ่น สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคเก๊าได้
 สมุนไพรโรคเก๊าท์เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวด และป้องกันอาการอักเสบที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยลงอย่างน่ามหัศจรรย์ อีกทั้งยังหาได้ง่ายใกล้ตัวคุณ ในราคาที่ถูกอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว สำหรับคุณผู้อ่านท่านใดกำลังรู้สึกทุกข์ทรมานกับอาการของโรคเก๊า ก็สามารถนำเคล็ดลับการรักษาตัวเองโดยการใช้สมุนไพรเหล่านี้ไปใช้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความชิ้นนี้ จะสามารถช่วยบรรเทาอาการของคุณให้น้อยลง

สำหรับใครที่มีปัญหาข้างต้นต้องการหา ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในเรื่อง สารต้านอนุมูลอิสระ และความเสื่อมของระบบในร่างกาย สมรรถภาพ มะเร็ง เบาหวาน ลดสิว กระ จุดด่างดำ ฝ้า แก่ก่อนวัย และปัญหาผิว ทางเว็บไซต์ขอแนะนำให้ดูคลิปรายการ และคลิปคุณหมอ เรื่องสารสกัด ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน) ด้านล่างนี้ได้เลย หรือ PDF รายละเอียดสินค้า

AESTA – ASTAXANTHIN (แอสตาแซนธิน ออร์แกนิกเข้มข้น นำเข้าจากญี่ปุ่น)
Beauty24 Co.,Ltd.